วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ดร

บ้านซินนะมอน ฮอลล์, ปีนัง.

วันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖

ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัดถ์ฉะบับลงวันที่ ๒๔ มีนาคม อ่านเพลิดเพลิน กถามรรคที่จะทูลในสัปดาหะนี้มี ๒ เรื่อง คือเรื่องข่าวเล่าลือเกี่ยวกับอังกฤษและญี่ปุ่นเรื่อง ๑ กับรายงานการที่ได้ไปดูโรงเรียนคอนเวนต์เรื่อง ๑ นอกจากนั้นมีเรื่องปกิรณกะอีกเล็กน้อย

การเล่าลืออะไรต่ออะไรต่างๆมันคล้ายกับวิทยุกระจายเสียง คนอยู่ใกล้ต้นขั้วได้ยินมากไม่ขาดวัน อยู่ห่างออกไปก็ได้ยินน้อยเข้า เพียงปีนังยังไม่พ้นกระแสเสียงลือ แต่พอผ่อนห่างออกไป ด้วยมีหนังสือพิมพ์ข่าวส่งออกมาจากกรุงเทพฯสัปดาหะละ ๒ ครั้ง แต่หม่อมฉันก็ไม่ใคร่เอาใจใส่ เพราะอ่านแต่หนังสือบางกอกไตมส์อย่างเดียว แต่คนอื่นเขารับหนังสือพิมพ์ภาษาไทยอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง เวลาพบปะก็มักเล่าสู่กันฟัง กระแสเสียงข่าวลือจึงเข้าหูด้วยประการฉะนี้ แต่ข่าวลือที่มีมาแต่ก่อนมันไม่แปลกปลาดเหมือนเรื่องที่ลือเกี่ยวกับอังกฤษและญี่ปุ่นซึ่งเกิดในตอนนี้ เพราะเลยลามไปถึงหนังสือพิมพ์ฝรั่งที่สิงคโปร์ ปีนัง ตลอดจนไปในประเทศอังกฤษเอาใจใส่ขึ้นมาด้วย ที่ในกรุงเทพฯ ก็น่าจะเปนเรื่องที่อื้อฉาวและตกใจกันถึงอย่างเอก เพราะมีผู้ถามออกมาถึงหม่อมฉันกว่ารายหนึ่ง ว่าอยู่ที่ปีนังนี้เห็นจะปลอดภัยแหละหรือ จึงชวนให้พิจารณาว่าเหตุใดจึงเกิดเลื่องลือกันว่าอังกฤษกับญี่ปุ่นเกิดรบกันที่เมืองสิงคโปร์ มูลเหตุที่ลือเห็นจะเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เพราะทางเสตรทไม่มีวี่แววเมื่อก่อนข่าวออกมาจากกรุงเทพฯ และหม่อมฉันได้เห็นในหนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ ว่าหนังสือพิมพ์ประชาธิปตัยลงข่าวก่อนเพื่อน อ้างว่าได้ทราบจากผู้ส่งข่าวบอกไปจากเมืองสิงคโปร์ เมื่อคิดดูโดยปกติก็น่าหัวเราะ เพราะมันไม่มีเหตุอันใดที่จะเปนจริงได้ดังคำลือ แต่ปลาดที่กลับเลื่องลือกันแพร่หลายจนเลยลามถึงต่างประเทศ หม่อมฉันพิจารณาเห็นว่าเรื่องนี้มันจะไม่ใช่ข่าวลืออันเกิดความสำคัญผิด มันจะเปนข่าว (ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเรียกว่า) “หลอน” คือเกิดขึ้นโดยเจตนาจะให้มีข่าวเลื่องลือเช่นนั้นเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ของผู้โฆษณาข่าวนั้น เปรียบความง่าย ๆ ถ้าหากเจ้าของหนังสือพิมพ์เปนผู้ปั้นข่าวขึ้นก็เพื่อจะให้ขายหนังสือพิมพ์ของตนได้มาก เพราะคนตื่นอยากรู้เรื่องแพร่หลาย พระองค์ท่านเสด็จอยู่ใกล้ต้นขั้วจงทรงพิจารณาดูเถิด หนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ดูเอาใจใส่ในข่าวลือเรื่องนี้ ควรทรงพิจารณาประกอบ

เมื่อวันที่ ๒๖ หลวงชีแกมาเชิญหม่อมฉันไปดูโรงเรียนคอนเวนต์ ไปด้วยกันกับหญิงเหลือ แกพาเที่ยวเดินดูอยู่สัก ๒ ชั่วโมง จนหม่อมฉันนึกขึ้นว่าชะรอยจะเปนกรรมที่หม่อมฉันเคยพาคนเที่ยวเดินดูพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครตามมา แต่ก็สนุกดี เปนแต่เหนื่อย แต่ไม่เบื่อ และได้ความรู้ที่ยังไม่รู้มาแต่ก่อนหลายอย่างดังจะทูลรายงานต่อไป คือ การในคอนเวนต์จัดเปน ๔ แผนกต่างกัน

๑. แผนกเลี้ยงทารก รับลูกอ่อนที่เขาทิ้งหรือที่พ่อแม่ขัดสนเอามาส่งไว้ให้เลี้ยง เวลานี้มีอยู่สัก ๑๕ คน ได้เห็นแต่ขั้นที่แรกรับกำลังปลกเปลี้ยผ่ายผอมเหลือแต่ลมหายใจน่าทุเรศ ต่อขึ้นมาได้เห็นทารกที่แกประคับประคองเลี้ยงค่อยฟื้นขึ้นและถึงขั้นที่อ้วนท้วนเปนปกติ น่าเลื่อมใส

๒. เลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วแต่ใครจะยกให้เลี้ยง มีตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ๖ ขวบจนถึงเปนสาว พวกนี้ที่แกฝึกหัดให้เปนคริสตังสำหรับหนุนจำนวนคริสตังให้มาก ฝึกสอนวิชาอาชีพเปนสำคัญ เลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ จนถึงให้แต่งงานมีครอบครัว

๓. เด็กครึ่งชาติที่พวกเต็มชาติมักรังเกียจ รับเปนนักเรียนชั้นต่ำเรียกค่าเรียนถูก

๔. เด็กนักเรียนชั้นสูงเปนลูกผู้ดีและลูกผู้มีอันจะกิน ถ้าอยู่ประจำเรียกเดือนละ ๓๐ เหรียญ ถ้าไปเรียนเปนเวลาเรียกเดือนละ ๓ เหรียญ ในนักเรียนชั้นสูงพวกนี้มีเด็กไทยถึง ๑๗ คน เปนลูกเจ้าลูกขุนนางก็มี ลูกฝรั่งที่แม่เปนคนไทยก็มี ที่เขาพูดกันว่าส่งลูกมาเรียนปีนังนั้นอยู่ในพวกนี้เอง วิชชาที่สอนใช้หลักสูตรเคมบริชที่รัฐบาลอุดหนุน และสอนฉะเพาะวิชชาแล้วแต่ใครจะเลือกเรียนอีกบางอย่าง คือ การทำครัว ดนตรี และการวาดเขียนเปนต้น มีจำนวนนักเรียนรวมกันว่าราว ๑,๕๐๐ ในโรงเรียนใช้ภาษาอังกฤษเปนภาษากลาง เพราะฉะนั้นเด็กที่มาเรียนปีนังจึงพูดอังกฤษได้คล่องกว่าเรียนในกรุงเทพฯ เพราะถึงนอกเวลาเรียน เพื่อนนักเรียนเปนคนต่างชาติต่างภาษา ต้องพูดกันด้วยภาษาอังกฤษเสมอ แต่กระบวรวิชชาที่สอนก็จะเปนทำนองเดียวกับคอนเวนต์ในกรุงเทพฯนั่นเอง

หม่อมฉันสังเกตเห็นอะไรขึ้นอย่างหนึ่งที่ในโรงเรียนคอนเวนต์ คือประเพณีของพวกมิชชันนารีโรมันคาทอลิก เขาชอบประดับห้องด้วยรูปภาพแสดงศาสนคุณของเขาต่างๆ ไม่ว่าห้องใหญ่ห้องเล็กแม้ที่สุดในครัวไฟก็มีไม้กางเขนกับรูปพระเยซูติดไว้ในห้องเรียน เด็กได้เห็นรูปเช่นนั้นอยู่เสมอ คงจะจูงใจให้เลื่อมใส หรือแม้อย่างต่ำก็อยากรู้คุณของศาสนาคริสตัง ไม่ต้องสอนก็เปนการเกลี้ยกล่อมอยู่ในตัว คิดดูในโรงเรียนของเรา ถ้าคิดทำรูปภาพเรื่องศาสนาติดฝาดูจะดีกว่าติดรูปพวกคณะฟุตบอลและม้าแข่ง แต่เมื่อคิดไปอีกทีก็กลายเปนถอยหลังเข้าคลอง ที่เขาเขียนฝาผนังโบสถ์วิหารแต่โบราณ ก็คงเพื่อประโยชน์อันเดียวกันนั่นเอง

คราวนี้จะทูลเรื่องปกิรณกะต่อไป หม่อมฉันไปสังเกตเห็นอะไรเข้าอย่าง ๑ คือที่ในสวนสำหรับเมืองปีนังนี้เขาทำในหุบเขาน้ำตกปล่อยให้เปนดงไว้รอบข้าง จึงมีฝูงลิงมาอาศัย ทีหลังคนที่ไปเที่ยวสวนมักซื้อกล้วยและถั่วลิสงไปเลี้ยงลิง เลยมีลิงเปนฝูงใหญ่กว่าร้อย คุ้นกับคนจนสามารถขึ้นรถมารับของกินจากมือคนที่บนรถ หม่อมฉันชอบไปเลี้ยงลิงราวสัปดาหะละครั้ง ๑ หรือ ๒ ครั้ง แต่แรกได้สังเกตเห็นลิงแม่ลูกอ่อนซึ่งลูกกำลังเกาะอกพามารับอาหารมีมาก แต่ในหมู่นี้ไม่เห็นลิงแม่ลูกอ่อนเลย จึงมานึกรู้ว่าลิงมันออกลูกเปนฤดูเหมือนอย่างสุนัขที่เขาว่ากันมาแต่ก่อนว่าออกลูกแต่เดือน ๑๒ เวลานี้ลิงลูกอ่อนมันโตไปได้โดยลำพังตัว ลิงแม่ยังไม่มีลูกใหม่จึงไม่มีลิงแม่ลูกอ่อน

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ