๘๖

ฝ่ายเง่าคี้บ้านอยู่เมืองโอย ใจรักจะเป็นทหารจึงไปหัดมวยแก่อาจารย์ผู้หนึ่ง ครั้นหัดได้แล้วก็กลับมาบ้าน มารดาแจ้งดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่เง่าคี้ผู้บุตรว่าวิชาอื่นดีๆ ไม่หัด อันวิชามวยนี้เป็นวิชาอย่างตํ่าหาดีไม่ เง่าคี้ได้ฟังมารดาว่าดังนั้นมีความน้อยใจนัก นึกโกรธแต่จะทำมารดานั้นไม่ได้ จึงเอี้ยวคอก้มลงกัดต้นแขนข้างขวาของตัวจนโลหิตไหล แล้วว่าตั้งแต่วันนี้มารดากับข้าพเจ้าขาดกัน จะไปอยู่เมืองอื่นแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นขุนนางก็ไม่กลับมาให้เห็นหน้าสืบไป มารดาได้ฟังมีความสงสารนัก จึงร้องไห้แล้วห้ามว่าเจ้าอย่าทิ้งมารดาเสียเลย เง่าคี้ไม่ฟังถ้อยคำหนีไปอยู่เมืองฬ่อ จึงไปหาศิษย์ของจูชื่อเซงฉํ่าขอเรียนวิชาหนังสือ เซงฉํ่าก็สอนให้ เง่าคี้กระทำความเพียรดูหนังสือทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดถึงหกปี

ขณะนั้นมีขุนนางคนหนึ่งชื่อซันกู อยู่เมืองเจ๋เที่ยวมาเมืองฬ่อเห็นเง่าคี้หมั่นเรียนหนังสือก็ชอบใจ จึงเอาลูกสาวมายกให้เป็นภรรยาเง่าคี้ เซงฉํ่าอาจารย์จึงว่าแก่เง่าคี้ว่า มารดาของท่านก็ชราแล้ว ท่านมาอยู่กับเราถึงหกปีทำไมจึงไม่ไปเยี่ยมเยือนมารดาเล่า เง่าคี้จึงตอบว่าข้าพเจ้ากับมารดาขาดกันแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นขุนนางก็ไม่กลับไปหามารดาให้เห็นหน้าข้าพเจ้า เซงฉํ่าจึงว่าท่านพูดจาอย่างนี้หาดีไม่ อันธรรมดาตัวเป็นบุตรจะตัดมารดาเสียนั้นเห็นชอบอยู่หรือ

ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้น มีคนมาบอกเง่าคี้ว่ามารดาท่านตายเสียแล้ว เง่าคี้ได้แจ้งว่ามารดาตายก็ลุกออกมายืนแหงนหน้าดูอากาศก็ร้องไห้แล้วเอามือเช็ดนํ้าตากลับเข้ามาดูหนังสืออยู่ดังเก่า เซงฉํ่ารู้ว่ามารดาเง่าคี้ตาย เง่าคี้เพิกเฉยเสียหานุ่งผ้าขาวตามธรรมเนียมให้มารดาไม่ แล้วก็ไม่ไปเยี่ยมศพตามประเพณีที่ถือมาแต่บุราณนั้น เซงฉํ่าก็โกรธเง่าคี้จึงว่ากับพวกศิษย์ว่า ตั้งแต่วันนี้ไปเง่าคี้กับเราขาดกันมิใช่ศิษย์อาจารย์กันสืบไปแล้ว เง่าคี้รู้ว่าเซงฉํ่าโกรธก็ไปจากบ้านเซงฉํ่าเที่ยวเรียนตำราพิชัยสงครามในสำนักอาจารย์อื่นอีกสามปี

มีขุนนางคนหนึ่งชื่อกงหงี มาพูดเล่นกันกับเง่าคี้ถึงเรื่องกองทัพและตั้งค่ายตามตำราพิชัยสงคราม เห็นว่าเง่าคี้มีปัญญารู้ขนบธรรมเนียมการเป็นอันมาก กงหงีจึงเข้าไปแจ้งกับฬ่อมกก๋งเจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังก็มีความยินดีนักจึงหาเง่าคี้เข้ามาตั้งให้เป็นที่ไตหู ครั้นเง่าคี้เป็นขุนนางขึ้นแล้วก็จัดหาหญิงสาวๆ มาเป็นภรรยาน้อย สำหรับพูดเล่นเจรจาตามความสบาย

ขณะนั้นมีขุนนางผู้หนึ่งชื่อซันหัวอยู่ในเมืองเจ๋คิดขบถฆ่าเจ้าเมืองตายแล้วก็ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองเจ๋ จึงจัดทแกล้วทหารกับเครื่องศัสตราวุธเสร็จแล้วก็ยกทัพมาตีเมืองฬ่อ กงหงีขุนนางเมืองฬ่อรู้ว่าเมืองเจ๋ยกทัพมา ก็เข้าไปแจ้งความฬ่อมกก๋ง ฬ่อมกก๋งจึงปรึกษากงหงีว่าใจของท่านจะเห็นใครในเมืองเราที่จะออกไปต้านทานทัพเมืองเจ๋ได้ กงหงีจึงตอบว่าข้าพเจ้าเห็นแต่เง่าคี้ผู้เดียวที่จะสู้รบทัพเมืองเจ๋ได้ ฬ่อมกก๋งจึงว่ากับกงหงีว่า เง่าคี้ที่ท่านว่ามานี้เราก็เห็นดีด้วย ฬ่อมกก๋งนั้นว่าแต่ปากหากนํ้าใจไม่อยากให้เง่าคี้ออกไปรบ จึงว่ากับกงหงีว่าเง่าคี้เป็นบุตรเขยซันกูขุนนางเมืองเจ๋ เราไว้ใจหาได้ไม่ กงหงีก็ลากลับมาบ้าน ขณะนั้นเง่าคี้มาคอยฟังราชการอยู่ที่บ้านกงหงี กงหงีมาถึงเง่าคี้นั่งอยู่ เง่าคี้จึงถามกงหงีว่าท่านเข้าไปแจ้งข่าวทัพนั้น ฬ่อมกก๋งพูดจากับท่านเป็นประการใดบ้าง กงหงีจึงบอกว่าเราเข้าไปว่าจะขอให้ท่านเป็นแม่ทัพ ฬ่อมกก๋งว่าภรรยาท่านเป็นบุตรขุนนางในเมืองเจ๋ ครั้นท่านได้เป็นแม่ทัพแล้วจะกลับคบคิดกับชาวเมืองเจ๋ ฬ่อมกก๋งยังแคลงท่านอยู่ เง่าคี้จึงว่าซึ่งฬ่อมกก๋งสงสัยเรานั้น เราจะทำให้สิ้นแคลงเราท่านอย่าวิตกเลย แล้วเง่าคี้ก็ลามาบ้านจึงแจ้งความแก่ภรรยาว่า ฬ่อมกก๋งตั้งให้เราเป็นแม่ทัพไปต้านทานทหารเมืองเจ๋ เจ้าจะช่วยเราคิดอ่านประการใดบ้าง ภรรยาจึงว่าข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงหาเข้าใจในการศึกไม่ เง่าคี้จึงว่าฬ่อมกก๋งไม่ไว้ใจเราว่าเจ้าเป็นบุตรขุนนางเมืองเจ๋ เราจึงมาง้อขอศีรษะไปให้ฬ่อมกก๋งเห็นจริงจึงจะสิ้นสงสัย ภรรยาได้ฟังเง่าคี้ว่าดังนั้นก็ตกใจนัก หาทันพูดจาประการใดไม่ เง่าคี้ก็เอากระบี่ตัดศีรษะภรรยาห่อแพรแดงไปให้ฬ่อมกก๋ง จึงแจ้งความว่า ข้าพเจ้าตัดศีรษะภรรยามาให้ท่านทั้งนี้ จะให้สิ้นสงสัยข้าพเจ้าหาเข้ากับชาวเมืองเจ๋ไม่ ฬ่อมกก๋งเห็นศีรษะภรรยาเง่าคี้ดังนั้นหามีความสบายไม่ พอกงหงีเข้าไปหาฬ่อมกก๋งเห็นเง่าคี้ตัดศีรษะภรรยามาให้ฬ่อมกก๋งดังนั้นจึงว่ากับฬ่อมกก๋งว่า เง่าคี้ฆ่าภรรยาเสียครั้งนี้หมายจะให้ท่านสิ้นสงสัยตั้งให้เป็นแม่ทัพ ถ้าท่านหาตั้งไม่เง่าคี้จะน้อยใจไปเข้าเสียกับเมืองเจ๋ ฬ่อมกก๋งได้ฟังกงหงีว่าเห็นชอบด้วยจึงตั้งให้เง่าคี้เป็นแม่ทัพ ให้อี้ลิ้วเป็นปีกขวา ให้ซินเซียงเป็นปีกซ้ายคุมทหารสองหมื่นยกไปรับทัพเมืองเจ๋ เง่าคี้เป็นแม่ทัพมาครั้งนั้นมิได้ขี่เกวียนขี่ม้า เดินปนกันมากับพวกทหารเลว จะกินจะนอนก็คล้ายกันเหมือนพวกทหารทั้งปวงนั้น เง่าคี้เห็นใครเจ็บไข้ก็เอาใจใส่ไปรักษามิให้ผู้อื่นดูแล กระทำทั้งนี้จะให้ทหารในกองทัพเห็นว่าใจเง่าคี้ดีจึงหาถือยศศักดิ์เหมือนแม่ทัพทั้งปวงไม่

ฝ่ายซันหัวเจ้าเมืองเจ๋มีนายทหารสองคน คนหนึ่งชื่อซันคีคนหนึ่งชื่อตวนผง ยกมาตั้งอยู่ตำบลนํ้าพีเป็นเขตแดนเมืองฬ่อ แจ้งกิตติศัพท์ว่าฬ่อมกก๋งให้เง่าคี้เป็นแม่ทัพยกมา ซันหัวหัวเราะแล้วคิดว่าเง่าคี้คนนี้ แต่ก่อนนั้นมาลอบกระทำชู้กับบุตรหญิงซันกูขุนนางในเมืองเราแล้วพาหนีไปอยู่เมืองฬ่อ เง่าคี้ทำทั้งนี้เป็นคนหาสติปัญญาไม่ที่ไหนจะสู้เราได้ ขณะนั้นเง่าคี้เดินทัพมาถึงตำบลนํ้าพี เห็นพวกเมืองเจ๋มาตั้งมั่นอยู่แล้วจึงสั่งให้ทหารตั้งค่ายลงห่างค่ายเมืองเจ๋ประมาณเส้นหนึ่ง ซันหัวจึงให้ทหารกองสอดแนมไปสืบ ณ ค่ายเง่าคี้จะทำเป็นประการใดบ้าง ทหารก็คำนับลาไปสืบดูได้ความแล้วกลับมาแจ้งแก่ซันหัวว่า ข้าพเจ้าเห็นเง่าคี้จะกินจะนอนนั้นก็ปนอยู่กับทหารเลวหาเหมือนแม่ทัพทั้งปวงไม่ ซันหัวได้ฟังดังนั้นจึงว่าเง่าคี้ทำดังนี้หาสมควรเป็นแม่ทัพนายกองไม่ เห็นจะเสียทีเราเป็นมั่นคง คิดแล้วจึงเรียกเตียวทิวทหารสนิทมากระซิบสั่งว่า จงรับอาสาเราไปยังค่ายเง่าคี้แล้วทำเป็นพูดจากับเง่าคี้ว่าเราให้มาแจ้งความกับเง่าคี้ว่า เรายกทัพมาครั้งนี้คือเจ้าเมืองเจ๋ ซันกูซึ่งเป็นบิดาภรรยาเง่าคี้นั้นก็เป็นญาติสนิทกันกับเรา เง่าคี้กับเรานับว่าเป็นพี่น้องของเราด้วยกัน อย่าให้เง่าคี้เห็นด้วยเจ้าเมืองฬ่อเลยจงเลิกทัพกลับไปเถิด แล้วกำชับว่าจงสังเกตดูในกองทัพเง่าคี้ว่าทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งนั้นจะมีมากหรือน้อยสักเท่าใด เตียวทิวทหารก็ลารีบมายังค่ายเง่าคี้ จึงแจ้งแก่นายประตูว่าเราจะขอเข้าไปหาเง่าคี้แม่ทัพ นายประตูก็เข้าไปแจ้งแก่เง่าคี้ว่ามีทหารมาแต่ค่ายเมืองเจ๋จะเข้ามาคำนับท่าน เง่าคี้แจ้งดังนั้นก็เห็นซันหัวจะให้มาสอดแนมดูผู้คนในค่ายเราเป็นมั่นคง คิดดังนั้นแล้วจึงจัดแจงคนที่ชรากับเด็กเป็นอันมากถือเครื่องศัสตราวุธสำหรับทหารอยู่ในค่าย ทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งนั้นให้ซ่อนตัวเสีย จัดแจงเสร็จแล้วจึงสั่งให้รับเตียวทิวเอาเข้ามาในค่าย

เตียวทิวก็เข้าไปหาเง่าคี้ เง่าคี้เห็นเตียวทิวเดินเข้ามาก็ทำลุกออกไปต้อนรับจับมือมาให้นั่งที่สมควร แล้วจึงถามเตียวทิวว่า ท่านมาหาเรานี้ด้วยเหตุผลเป็นประการใดหรือ เตียวทิวจึงว่าให้เง่าคี้ฟังตามซันหัวสั่งมาทุกประการแล้วถามเง่าคี้ว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านฆ่าภรรยาเสีย อาสาเจ้าเมืองฬ่อมาเป็นแม่ทัพจริงดังเขาว่าหรือ เง่าคี้จึงว่าเขาลือนั้นหาจริงไม่ เราได้เรียนหนังสือรู้ดีและชั่วจะฆ่าภรรยาเสียนั้นก็ไม่ควร ภรรยาป่วยหนักตายเอง แล้วแกล้งอุบายว่า ซึ่งนายท่านเป็นเจ้าเมืองใหญ่ให้มากล่าวเป็นไมตรีกับเราผู้น้อยนั้นเราขอบใจนัก เราจะทำตามถ้อยคำเลิกทัพกลับไปเมืองฬ่อ เตียวทิวเห็นเง่าคี้เสียทีประนีประนอมต้องกลอุบายของนายดังนั้นมีความยินดีนักก็คำนับจะลามาค่าย

เง่าคี้จึงห้ามว่าท่านอยู่สนทนาพูดกับเราให้สบายสักสามวันจึงค่อยไป จึงสั่งให้คนใช้ยกโต๊ะเข้ามาตั้งแล้วเชิญให้เตียวทิวกินโต๊ะร่วมกัน เตียวทิวเสพสุราพลางๆ ชายตาดูทแกล้วทหารและการงานในค่ายเง่าคี้ เห็นแต่ทหารชรากับเด็ก อายุประมาณสิบสามสิบสี่ขวบหาสมควรเป็นทัพใหญ่ไม่ จึงคิดว่าซันหัวนายเราติเตียนเง่าคี้ว่าหามีสติปัญญาไม่นั้น ก็เห็นสมควรกับคำซันหัวทำนายไว้ ครั้นเตียวทิวอยู่ที่ค่ายเง่าคี้ครบสามวันแล้ว เตียวทิวก็ลากลับมาค่าย จึงแจ้งความที่ได้พูดจาล่อลวงเง่าคี้แลเห็นทหารในค่ายมีอยู่แต่คนแก่ๆ กับเด็กเป็นอันมาก

ซันหัวได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่ากับเตียวทิวว่า เง่าคี้เป็นคนหาสติปัญญามิได้ดังนี้เราหากลัวไม่ ซันหัวมีความประมาทไม่คิดจัดแจงระวังค่ายคู เพราะคิดว่าเง่าคี้เสียทีเชื่อถ้อยคำจึงนอนใจอยู่ เง่าคี้ครั้นเห็นเตียวทิวกลับไปแล้วก็สั่งอี้ลิ้วเป็นปีกขวาซินเซียงเป็นปีกซ้าย ตระเตรียมทหารและเครื่องศัสตราวุธครบมือกัน เง่าคี้เป็นทัพใหญ่ ครั้นเวลาดึกประมาณสามยาม ก็ยกออกมาจากค่ายรีบไปถึงตำบลน้ำพี ก็ให้อี้ลิ้วซินเซียงพาทหารเข้าโจมตีค่ายซันหัวเป็นสามารถ ขณะนั้นซันหัวอยู่ในค่ายได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงมา ก็ถามทหารว่าเสียงอันใดเอิกเกริกหนักหนา ทหารจึงบอกว่าเง่าคี้ยกทัพมาตีค่าย

ซันหัวได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจนักด้วยมิได้ตระเตรียมทหารไว้ ซันกี๋ตวนเผงทหารเมืองเจ๋ก็ถือง้าวจะมารบ พอเง่าคี้ตีหักค่ายเมืองเจ๋ได้ ซันกี๋กับตวนเผงก็พากันหนีไป ซันหัวแม่ทัพเห็นทหารเง่าคี้ตีค่ายแตกแล้วก็หนีออกจากค่ายกลับไปเมืองเจ๋ เง่าคี้ได้ทีก็พาทหารติดตามจะจับซันหัวไปถึงแดนเมืองเจ๋ก็หาทันไม่ พบแต่พวกทหารเมืองเจ๋ เง่าคี้ก็ฆ่าเสียเป็นอันมากแล้วยกกลับมายังเมืองฬ่อ เข้าไปแจ้งกับฬ่อมกก๋งให้ฟังทุกประการ ฬ่อมกก๋งมีความยินดีนักจึงตั้งเง่าคี้เป็นเสียงเขงขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองฬ่อ เง่าคี้ก็คำนับลามาบ้าน

ฝ่ายซันหัวครั้นมาถึงเมืองเจ๋คิดโกรธเตียวทิวนักจึงว่าแก่เตียวทิวว่า เหตุใดท่านบอกแก่เราว่าทหารเง่าคี้มีแต่คนชราหาเข้มแข็งไม่ เราคิดว่าท่านมีสติปัญญาอยู่บ้างหลงเชื่อท่าน หาได้ระมัดระวังตัวไม่ เราจึงเสียค่ายแก่เง่าคี้แตกทัพมา เตียวทิวเห็นซันหัวขัดเคืองตกใจนัก คำนับแล้วจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าหาทันพิจารณาเสียอุบายเง่าคี้จนท่านเสียทัพได้ความลำบากนั้นข้าพเจ้าผิดแล้ว ขอท่านจงงดโทษข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเถิด ซันหัวได้ฟังเตียวทิวรับสารภาพผิดดังนั้นสิ้นความโกรธ จึงคิดว่าเง่าคี้สติปัญญาเสมอซุนบู๊จู๋ แล้วจึงว่า ถ้าเง่าคี้มีชีวิตอยู่ในเมืองฬ่อตราบใด เราอยู่เมืองเจ๋จะนอนจะกินหามีความสุขไม่ แล้วปรึกษาเตียวทิวว่าจำจะคิดไปเกลี้ยกล่อมเง่าคี้ เอาเงินและทองกับผู้หญิงไปให้เง่าคี้ในเมืองฬ่อ เราเห็นว่าเง่าคี้คงรักเงินทองและผู้หญิง ก็จะหาทำอันตรายกับเราไม่ เตียวทิวจึงตอบซันหัวว่า ซึ่งเราเอาของไปให้เง่าคี้นั้นข้าพเจ้าเป็นคนผิดอยู่ จะขอทำราชการแก้ตัวนำเอาสิ่งของไปให้เง่าคี้ในเมืองฬ่อ ซันหัวได้ยินนั้นเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทองพันตำลึงกับหญิงรูปงามสองคนมอบให้กับเตียวทิวแล้วกำชับว่า เราคิดอ่านการทั้งนี้ ท่านอย่าให้ผู้ใดได้รู้เป็นสองหู เมื่อท่านกลับมาแต่เมืองฬ่อพบผู้คนที่เดินตามทางแล้วจึงทำเป็นพูดจาว่าเง่าคี้กับเมืองเราก็เป็นไมตรีกันแล้ว เตียวทิวก็คำนับลาซันหัวออกมาจัดแจงแต่งตัวเป็นพ่อค้าพาหญิงสองคนกับทองพันตำลึงไปให้เง่าคี้ที่เมืองฬ่อ แล้วแจ้งความตามคำซันหัวสั่งทุกประการ

เง่าคี้ได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงตอบเตียวทิวว่า ถ้าเมืองเจ๋ไม่มาทำอันตรายแก่เมืองฬ่อ เมืองฬ่อก็หาทำอันตรายกับเมืองเจ๋ไม่ เตียวทิวได้ฟังเง่าคี้ว่าดังนั้นก็คำนับลามาจากบ้านเง่าคี้ ครั้นออกมาพันประตูเมืองฬ่อแล้ว ก็พูดจากับคนเดินทางไปมาว่าเง่าคี้รับสิ่งของและผู้หญิงของซันหัวเจ้าเมืองเจ๋ แล้วว่าตั้งแต่นี้ไปเมืองฬ่อกับเมืองเจ๋เป็นไมตรีกันแล้ว กิตติศัพท์อันนี้รู้ไปถึงฬ่อมกก๋ง ฬ่อมกก๋งโกรธจึงว่าเง่าคี้คนนี้แต่ก่อนเราก็แคลงอยู่หาให้เป็นแม่ทัพไม่ รู้อยู่ว่านานไปจะเข้ากับเมืองเจ๋ ถ้าละไว้จะทำอันตรายแก่เราเป็นมั่นคง จึงสั่งให้ทหารไปจับตัวเง่าคี้มาฆ่าเสีย เง่าคี้ครั้นแจ้งว่าฬ่อมกก๋งจะให้จับตัวดังนั้นตกใจนัก ทิ้งบุตรภรรยาเสียลอบหนีไปอยู่เมืองงุย

ฝ่ายงุยหวนตั้งแต่ให้ไซบุนป้าไปรักษาเมืองเงียบโต๋ก็ให้คนไปสอดแนมดูรู้ว่าไซบุนป้ามีสติปัญญา จัดแจงบ้านเมืองเป็นสุขกว่าแต่ก่อนก็ยินดีนัก จึงคิดว่ายังแต่เมืองไซหอยังหามีผู้ใดรักษาไม่ จึงปรึกษาด้วยเต๊กอ๋องว่า ครั้งก่อนท่านช่วยคิดอ่านให้ไซบุนป้าไปรักษาเมืองเงียบโต๋ เมืองเงียบโต๋ก็เป็นสุขแล้ว บัดนี้เมืองไซหอซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นของเราก็ใกล้กับเมืองจิ๋นหามีผู้ใดอยู่รักษาไม่ ท่านจงช่วยคิดหาคนที่มีสติปัญญาอย่างไซบุนป้าให้เราสักคนหนึ่ง เต๊กอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้จักอีกคนหนึ่งชื่อเง่าคี้มีสติปัญญาและฝีมือเป็นอันมาก เดิมเป็นขุนนางนายทหารอยู่เมืองฬ่อ บัดนี้มาอยู่ในแดนเมืองเรา งุยหวนก็ดีใจจึงสั่งให้เต๊กอ๋องไปเกลี้ยกล่อม เต๊กอ๋องก็คำนับลามาขึ้นเกวียนออกไปหาเง่าคี้ เง่าคี้ครั้นเห็นเต๊กอ๋องมาจึงถามว่าไตหูจะมาธุระอะไร เต๊กอ๋องจึงว่างุยหวนรู้ว่าท่านมีสติปัญญาจึงให้เรามาเชิญเข้าไปทำราชการ เง่าคี้อยากจะเป็นขุนนางก็ยอมไป เต๊กอ๋องก็พาเง่าคี้กลับมาหางุยหวน งุยหวนจึงถามเง่าคี้ว่า เดิมท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่เมืองฬ่อเหตุใดจึงหนีมาอยู่เมืองเราเล่า เง่าคี้ได้ฟังงุยหวนถามดังนั้นจึงแจ้งความว่าฬ่อมกก๋งเจ้าเมืองฬ่อเป็นคนเบาความหาพิจารณาผิดและชอบไม่จะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินท่าน งุยหวนจึงว่า เต๊กอ๋องสรรเสริญว่าท่านมีสติปัญญามาก เราจะให้ท่านไปอยู่รักษาเมืองไซหอท่านจะยอมหรือไม่ เง่าคี้จึงตอบว่าท่านกรุณาแก่ข้าพเจ้าจะให้ไปอยู่รักษาเมืองไซหอนั้น ข้าพเจ้าจะขอทำราชการอาสาท่านจนตราบเท่าสิ้นชีวิต งุยหวนได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนักจึงตั้งเง่าคี้ให้เป็นไซหอซูผู้รักษาเมืองไซหอ เง่าคี้ก็คำนับลาพาบ่าวไพร่ไปอยู่เมืองไซหอ แล้วก็จัดแจงซ่อมแปลงประตูป้อมกำแพงหอรบซึ่งปรักหักพังนั้นให้บริบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วซ้อมหัดฝึกปรือทแกล้วทหารให้ชำนาญในขบวนรบต่างๆ จึงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกเมืองหนึ่งเป็นเมืองด่านไว้คอยรับทัพเมืองจิ๋นชื่อเมืองเง่าเซีย

ฝ่ายเจ้าเมืองจิ๋น ครั้งนั้นจิ๋นเลงก๋งได้เป็นเจ้าเมือง จิ๋นเลงก๋งตายมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซูสิบยังเด็กอยู่หาควรว่าราชการไม่ ขุนนางทั้งปวงจึงยกสมบัติให้อาจิ๋นเลงก๋งได้ครองเมืองจิ๋นชื่อว่าจิ๋นกันก๋ง ครั้นจิ๋นกันก๋งตายบุตรจิ๋นกันก๋งได้สมบัติชื่อจิ๋นฮุยก๋ง จิ๋นฮุยก๋งตายมีบุตรคนหนึ่งชื่อสุดจู สุดจูได้สมบัติในเมืองแทนบิดา ขณะนั้นซูสิบบุตรจิ๋นเลงก๋งเจ้าเมืองเดิมนั้นเติบใหญ่ขึ้นแล้วจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า สมบัติอันนี้เป็นของบิดา ครั้นบิดาเราตายท่านทั้งปวงตั้งกันก๋งเป็นเจ้าเมือง ครั้นกันก๋งตายหายกสมบัติให้เราไม่ กลับเอาไปยกให้ลูกหลานกันก๋งสืบกันมาถึงสามแผ่นดินแล้วท่านจะคิดอ่านประการใด ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงก็นิ่งอยู่หาตอบซูสิบไม่ ภายหลังพวกขุนนางมาประชุมกันปรึกษาจะฆ่าสุดจูเสีย จะเอาสมบัติยกให้ซูสิบ ครั้นคิดกันเสร็จแล้วพอเวลาสุดจูออกว่าราชการขุนนางทั้งปวงก็จับสุดจูฆ่าเสีย จึงตั้งซูสิบให้เป็นเจ้าเมืองจิ๋นชื่อจิ๋นฮวนก๋ง

ฝ่ายเง่าคี้รู้ว่าเมืองจิ๋นคิดการขบถดังนั้น ก็จัดแจงทแกล้วทหารยกทัพไปตีเขตแดนเมืองจิ๋น ได้ห้าหัวเมืองใกล้กับแดนเมืองไซหอที่เง่าคี้อยู่รักษานั้น กิตติศัพท์ซึ่งเง่าคี้ได้หัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองจิ๋นห้าตำบล เมืองหัน เมืองเตียว เกรงฝีมือเง่าคี้นัก ก็จัดเครื่องบรรณาการมาเป็นไมตรีกับงุยหวนเจ้าเมืองงุยแล้วก็ลาไป งุยหวนจึงว่ากับลีเค็กว่าเราได้เง่าเอี๋ยง ไซบุนป้า เง่าคี้ เป็นคนมีสติปัญญามาทั้งสามคนนี้ได้เพราะเต๊กอ๋อง เต๊กอ๋องมีความชอบในเราเป็นอันมาก ควรเราจะตั้งเต๊กอ๋องเป็นเสียงก๊กขุนนางผู้ใหญ่ ลีเค็กได้ฟังงุยหวนยกความชอบเต๊กอ๋องดังนั้นไม่เห็นด้วยจึงว่า ท่านว่าสติปัญญาเต๊กอ๋องนั้นข้าพเจ้าจะสู้งุยบุนเสงหาได้ไม่ ขอท่านจงเอางุยบุนเสงมาตั้งเป็นที่เสียงก๊กเถิด งุยหวนได้ฟังลีเค็กหัดทานดังนั้นยังนิ่งตรึกตรองอยู่หาพูดประการใดไม่ ลีเค็กก็คำนับลางุยหวนกลับบ้าน พอพบเต๊กอ๋องเข้าที่กลางทาง เต๊กอ๋องจึงถามลีเค็กว่างุยหวนจะตั้งผู้ใดเป็นที่เสียงก๊ก ลีเค็กจึงตอบว่างุยหวนจะตั้งงุยบุนเสงเป็นที่เสียงก๊ก เต๊กอ๋องได้ฟังดังนั้นตกใจนักจึงตอบลีเค็กว่า เราก็ได้ทำความชอบไว้กับงุยหวนเป็นอันมาก ได้แนะนำให้เง่าเอี๋ยงไปตีเมืองตงสัน ให้ไซบุนป้าไปทำนุบำรุงเมืองเงียบโต๋ เง่าคี้ไปรักษาเมืองไซหอ ความชอบเราก็มีต่องุยหวนอยู่ดังนั้น ทำไมท่านว่าจะตั้งงุยบุนเสงให้เป็นเสียงก๊กนั้นเราหาเห็นด้วยไม่ ลีเค็กจึงว่าท่านไม่รู้หรืองุยบุนเสงทำความชอบไว้เหมือนกัน ได้ชักชวนปกจูแฮหนึ่ง ซันจูสองหนึ่ง ตวนอุมกหนึ่ง สามคนนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก หัวเมืองใหญ่ทั้งปวงก็นับถือคนทั้งสามเรียกว่าซินแส เราเห็นว่าความชอบงุยบุนเสงจะมากกว่าท่าน เต๊กอ๋องจึงว่ากับลีเค็กว่าซึ่งเราได้พูดจาเกินไปนั้นเราขออภัยเถิด ครั้นพูดกันแล้วต่างคนต่างลาไปที่อยู่

ฝ่ายซันหัวเจ้าเมืองเจ๋แจ้งว่างุยหวนได้ที่ปรึกษาและนายทหารไว้เป็นอันมาก ซันหัวคิดเกรงงุยหวนเจ้าเมืองงุยอยู่ จึงแต่งเครื่องบรรณาการให้คนนำไปให้งุยหวนไว้เป็นทางไมตรี จึงสั่งว่าให้งุยหวนเห็นแก่ทางไมตรี ถ้าเจ้าเมืองงุยขึ้นไปเมืองหลวงเมื่อใด จงช่วยทูลขอตราตั้งเจ๋อ๋องให้เราด้วย คนใช้ก็คำนับรับเอาสิ่งของเครื่องบรรณาการไปเมืองงุย ครั้นถึงเมืองงุยจึงเข้าไปหางุยหวนคำนับแล้วแจ้งความว่า ซันหัวนายข้าพเจ้าแจ้งความว่าท่านมีใจโอบอ้อมอารีแก่ไพร่บ้านพลเมือง จึงให้ข้าพเจ้านำสิ่งของมาให้ขอเป็นทางไมตรีแก่ท่าน แล้วเล่าความซึ่งซันหัวให้ขอตราตั้งตำแหน่งที่เจ๋อ๋องนั้นให้งุยหวนฟังทุกประการ

งุยหวนครั้นได้สิ่งของมีความยินดีนัก จึงว่าซันหัวสั่งมานั้นอย่าให้ซันหัววิตกเลย เราจะช่วยให้สมดังความปรารถนา แล้วงุยหวนจัดคนที่รู้จักขนบธรรมเนียมขึ้นไปเมืองตังจิวขอตราตั้งที่เจ๋อ๋อง ขุนนางคำนับลาไปเมืองตังจิว ขณะนั้นพระเจ้าอุยเลียดอ๋องเสวยราชสมบัติได้สามสิบปีก็สวรรคต พระเจ้าจิวอันอ๋องราชบุตรได้เสวยราชสมบัติสืบมา ขุนนางเมืองงุยก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจิวอันอ๋องกราบทูลว่า งุยหวนให้ข้าพเจ้ามาขอตราตั้งที่เจ๋อ๋อง พระเจ้าจิวอันอ๋องก็พระราชทานให้ ขุนนางก็คำนับลามา ณ เมืองเจ๋ จึงเอาตราเจ๋อ๋องให้กับซันหัวแล้วก็ลามา

ซันหัวครั้นได้เป็นที่เจ๋อ๋องแล้วมีความยินดีนัก จึงคิดว่าพระเจ้าจิวอันอ๋องตั้งเราเป็นที่เจ๋อ๋องแล้ว ถึงเราจะกำจัดคางอ๋องเสียก็หามีผู้ใดจะนินทาเราได้ไม่ ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงให้คางอ๋องเจ้าเมืองเจ๋คนเดิมไปอยู่เมืองไหเสียซึ่งขึ้นกับเมืองเจ๋ ฝ่ายเคียบหลุยเป็นที่เสียงก๊กอยู่ ณ เมืองหันมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเงียมซุยได้สาบานไว้ว่าเป็นพี่น้องกัน ขณะนั้นเงียมซุยอยู่ในเมืองโอย ครั้นแจ้งว่าเคียบหลุยเป็นที่เสียงก๊กอยู่ ณ เมืองหัน เงียมซุยออกจากเมืองโอยมา ณ เมืองหัน จึงไปบ้านเคียบหลุยแจ้งแก่นายประตูว่า เราชื่อเงียมซุยได้สาบานกันไว้กับเคียบหลุยเป็นพี่น้องกัน เราจะเข้าไปคำนับ ขณะเมื่อเงียมซุยยังมาไม่ถึงนั้นเคียบหลุยได้สั่งนายประตูไว้ว่า ถ้าใครมาบอกว่าเป็นเพื่อนฝูงพี่น้องกันกับเราแล้วให้พรางเสีย นายประตูจึงอุบายว่าท่านจงอาศัยอยู่ที่ตึกรับแขกก่อนเถิด เราจะเข้าไปบอกเคียบหลุยให้รู้ก่อน

เงียมซุยก็มาสำนักอยู่ที่ตึกรับแขก คอยเคียบหลุยถึงสามสิบวันก็มิได้เห็นเคียบหลุยออกมา เงียมซุยก็มีความน้อยใจนัก จึงคิดว่าเป็นเพื่อนกันมาแต่ครั้งยากจนอยู่ด้วยกัน รู้ว่าเพื่อนฝูงได้ดีจึงบ่ายหน้ามาพึ่ง เคียบหลุยก็แกล้งบิดพลิ้วเสียมิให้พบพาน ที่หมายมาแต่บ้านก็หาสมคิดไม่ ครั้นจะกลับไปบ้านก็อายแก่ภรรยาและคนใช้ทั้งปวง เคียบหลุยไม่ให้เราพึ่งแล้ว ก็คงจะไปพึ่งผู้อื่นให้พาเข้าทำราชการเป็นขุนนางในเจ้าเมืองหันให้จงได้

เงียมซุยคิดแล้วจึงบอกผู้ซึ่งอยู่รักษาตึกที่สำนักว่า แต่เรามาคอยนายท่านอยู่ถึงเดือนเศษแล้วยังมิได้ไปเที่ยวเตร่แห่งใดเลย วันนี้เราจะไปเที่ยวเล่นให้สบาย นายท่านว่างราชการเมื่อใดเราจึงจะกลับมาหา ว่าแล้วพาคนใช้ลงจากตึกมาขึ้นเกวียนไปตามตลาด ถึงหน้าบ้านใหญ่แห่งหนึ่ง มีกำแพงแก้วล้อมรอบมิได้รู้ว่าเป็นขุนนางผู้ใด เงียมซุยจึงถามผู้ซึ่งรักษาประตูบ้าน ผู้ซึ่งรักษาประตูบ้านบอกว่าบ้านไตหูขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน เงียมซุยแจ้งความดังนั้นก็ดีใจ จึงไปเช่าร้านอาศัยจ่ายของกำนัลได้พอสมควรแล้วจึงไปหาคนสนิทของไตหู ให้พาเข้าไปคำนับไตหู ไตหูไม่รู้จักจึงถามแซ่และชื่อแล้วว่าท่านมาแต่ไหนเอาของมาให้เราทั้งนี้ เงียมซุยจึงบอกชื่อและแซ่แล้วว่าข้าพเจ้ามาแต่เมืองหำเอี๋ยง สมัครจะมาทำราชการอยู่ในเจ้าเมืองหัน แต่ข้าพเจ้ามาสำนักอยู่ ณ บ้านเคียบหลุยก็ช้าอยู่ถึงเดือนเศษแล้วเคียบหลุยก็หาช่วยธุระข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าจึงมาคำนับท่านหวังจะเอาเป็นที่พึ่ง ไตหูได้ฟังก็ยินดีจึงว่าซึ่งท่านอุตส่าห์มาแต่เมืองหำเอี๋ยงสมัครจะมาทำราชการ เคียบหลุยไม่ช่วยทำนุบำรุงท่าน เคียบหลุยก็เป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการ แกล้งเกียดกันเสียฉะนี้หาชอบไม่ เวลาพรุ่งนี้เราจะพาท่านเข้าไปคำนับเจ้าเมือง ให้ตั้งแต่งท่านเป็นขุนนางตามสมควร

เงียมซุยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงแก้ได้เอาทองแท่งออกมาห้าแท่งหนักสามสิบตำลึงให้แก่ไตหูแล้วว่า ท่านกรุณาจะช่วยทำนุบำรุงข้าพเจ้าครั้งนี้ ข้าพเจ้ายินดีหาที่สุดมิได้ และทองคำสามสิบตำลึงข้าพเจ้าให้ท่านเป็นของขอบคุณ ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นขุนนางสมความคิดแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะหาสิ่งของสนองคุณท่านอีก ไตหูรับทองคำสามแท่งไว้แล้วว่า ท่านได้มาพึ่งเรา เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ออกปากว่าจะช่วยท่านแล้ว ก็คงจะว่ากล่าวให้เจ้าเมืองหันให้ตั้งท่านขึ้นเป็นขุนนางให้จงได้ ท่านอย่าวิตกเลย ไตหูให้คนใช้จัดแจงตึกรับแขกให้เงียมซุยอาศัยหลับนอนอยู่เป็นสุข

ครั้นรุ่งเช้าเจ้าเมืองหันออกว่าราชการ ไตหูก็พาเงียมซุยเข้าไปคำนับแล้วแจ้งความว่า เงียมซุยชาวเมืองหำเอี๋ยง ได้ยินกิตติศัพท์ลือไปว่าท่านตั้งอยู่ในสัจธรรมโอบอ้อมอารี ชุบเลี้ยงผู้มีสติปัญญาและบำรุงอาณาประชาราษฎร์อยู่เป็นสุข เงียมซุยสมัครเข้ามาทำราชการให้ข้าพเจ้าพาเข้ามาคำนับท่าน เจ้าเมืองหันได้ฟังดังนั้น ดูรูปร่างและกิริยาเงียมซุยเป็นคนมีสติปัญญา จึงปรึกษาเคียบหลุยซึ่งเป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการว่า เงียมซุยชาวเมืองหำเอี๋ยงมีใจสวามิภักดิ์สมัครมาทำราชการ เราจะตั้งเป็นขุนนางท่านจะเห็นประการใด เคียบหลุยได้ฟังนั้นจึงคิดว่าเงียมซุยไปหาเราถึงบ้านเราไม่ออกมาหา เงียมซุยโกรธเราจึงไปติดสอยบนบานให้ไตหูพาเข้ามา ถ้าเราจะคล้อยตามเจ้าเมืองหัน เจ้าเมืองหันก็คงจะตั้งเงียมซุยขึ้นเป็นขุนนาง นานไปเงียมซุยก็จะเอาความเก่าซึ่งยากจนมาด้วยกันแต่ก่อนบอกเล่าให้ขุนนางทั้งปวงฟัง เราจะได้ความอัปยศ ครั้งนี้เล่าได้ช่องควรกำจัดเงียมซุยแล้ว

เคียบหลุยคิดแล้วจึงตอบเจ้าเมืองหันว่า เงียมซุยคนนี้เป็นชาวบ้านนอกรู้แต่การทำไร่ มิได้รู้ขนบธรรมเนียมราชการแผ่นดิน ซึ่งจะเข้ามาทำราชการเป็นขุนนางนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าเมืองหันได้ฟังก็เห็นชอบ จึงว่ากับไตหูว่าเงียมซุยสวามิภักดิ์มาทำราชการโดยสุจริต ครั้นจะตั้งแต่งเป็นขุนนางตามตำแหน่งเล่า เงียมซุยก็เป็นคนใหม่ต่างเมืองมายังหามีความชอบสิ่งใดไม่ ท่านจงเอาไว้เป็นขุนหมื่นในท่าน ใช้สอยให้รู้ขนบธรรมเนียมก่อน ไตหูก็รับคำ ครั้นออกเวลาว่าราชการแล้วขุนนางทั้งปวงก็ลาเจ้าเมืองหันต่างคนต่างไปบ้าน

เงียมซุยครั้นมาถึงที่อาศัย มีความแค้นเคียบหลุยว่าแกล้งยุยงว่ากล่าวมิให้เจ้าเมืองหันตั้งแต่งเป็นขุนนาง จึงคิดว่าเคียบหลุยเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหัน เคียบหลุยคิดอิจฉาจะกำจัดเราเสียมิให้ทำราชการเมืองนี้ จำจะไปหาผู้ที่มีกำลังมาลอบฆ่าเคียบหลุยเสียจึงจะได้ทำราชการโดยสะดวก เงียมซุยคิดแล้วจึงเข้าไปคำนับไตหูแล้วอุบายบอกว่า ซึ่งท่านมีความกรุณาช่วยทำนุบำรุงพาข้าพเจ้าไปคำนับเจ้าเมืองหัน เจ้าเมืองหันก็มอบให้ข้าพเจ้ามาด้วยท่านใช้สอยพอรู้จักขนบราชการ ข้าพเจ้าจะขอทุเลาลาท่านกลับไปรับบุตรภรรยามาอยู่ให้ท่านใช้สอยสืบไป ไตหูจึงว่าท่านคิดนี้ชอบแล้ว จะไปรับครอบครัวมาก็ตามเถิด เงียมซุยก็คำนับลาออกมาขึ้นเกวียนกับคนใช้สามคนออกจากเมืองหัน เที่ยวไปเป็นหลายเมืองจนมาถึงเมืองเจ๋ เงียมซุยเห็นผู้หนึ่งเป็นคนฆ่าโคขาย และผู้นั้นจักษุทั้งสองกลมแดงดังแสงเลือด หน้าเขียวดังสีคราม หนวดแข็งดังลวดทองแดง รูปร่างโตใหญ่สูงแปดศอกเศษถือขวานโป๊เถาหนักประมาณสามสิบชั่งเศษ ยืนอยู่ริมถนนตลาดดูกิริยาร้ายกาจดังเสือ เงียมซุยจึงแวะเข้าไปพูดจะผูกพันเอาเป็นเพื่อนรัก แล้วถามว่าท่านชื่อใดเป็นชาวเมืองนี้หรืออยู่เมืองอื่นหรือมาค้าขาย ผู้นั้นบอกว่าข้าพเจ้าเป็นแซ่เลียบชื่อเจ้ง สำหรับฆ่าโคขายอยู่ในเมืองนี้ ท่านชื่อใดมาแต่ไหนจึงมารู้จักข้าพเจ้า

เงียมซุยจึงบอกชื่อและแซ่แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองหำเอี๋ยงเที่ยวมาหลายเมืองพึ่งมาถึงนี่ได้พบท่าน มีความรักใคร่เหมือนพี่น้องร่วมมารดา ว่าแล้วชวนเลียบเจ้งไปโรงเกาเหล่า ซื้อหมี่กับสุราเลี้ยงเลียบเจ้ง เลียบเจ้งกับเงียมซุยก็สาบานเป็นเพื่อนรักกัน เลียบเจ้งจึงว่ากับเงียมซุยว่าท่านกับเราก็ได้สาบานเป็นเพื่อนรักร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว แม้นไปภายหน้ามีทุกข์กังวลสิ่งใด เรามิได้คิดแก่เหนื่อยยากจะทำการสนองคุณกว่าจะตาย เงียมซุยได้ทีจึงทำเป็นอุบายกอดเข่าอ้าปากถอนใจใหญ่จนตะเกียบตกจากมือ เลียบเจ้งเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามว่า เราทั้งสองพากันกินสุราหวังจะให้สบาย เหตุใดท่านจึงทำกิริยาทุกข์ตรอมนั่งกอดเข่าฉะนี้ ท่านมีทุกข์ร้อนอยู่ประการใดหรือ

เงียมซุยจึงเล่าความให้ฟังว่าเดิมเราอยู่บ้านป่าแดนเมืองหำเอี๋ยง เรามาหาเคียบหลุยจะให้ช่วยพาเข้าไปทำราชการกับเจ้าเมืองหัน เคียบหลุยล่อลวงเราแล้วแกล้งว่ากล่าวเกียดกันเสีย มิให้เจ้าเมืองหันตั้งเราเป็นขุนนาง เคียบหลุยคนนี้ก็เป็นเพื่อนเล่นกันมากับเราแต่น้อย เคียบหลุยมาทำราชการได้เป็นขุนนางขึ้นแล้วหาคิดถึงเราซึ่งเป็นเพื่อนกันมาแต่ก่อนไม่ เราแค้นนักจึงมาหาท่านหวังจะให้ช่วยไปคิดอ่านฆ่าเคียบหลุยเสีย ถ้าได้สำเร็จความคิดแล้วจะให้ทองคำแก่ท่านร้อยตำลึง

เลียบเจ้งจึงว่าธุระของท่านแต่เพียงนี้ก็พอจะรับได้อยู่ แต่ทุกวันนี้เราเป็นห่วงด้วยมารดาชรานักไม่มีใครจะอยู่ปฏิบัติ เงียมซุยจึงว่าซึ่งท่านมีกตัญญูปฏิบัติมารดาเราก็พลอยยินดีด้วย แม้นขัดสนด้วยเงินทองเราจะช่วยทำนุบำรุง เงียมซุยก็แก้ทองออกจากไถ้หนักสิบตำลึงส่งให้แล้วว่า ท่านจงเอาทองของเราไปซื้อสิ่งของปฏิบัติมารดาท่าน ซึ่งเราให้ทองแก่ท่านด้วยเรารักน้ำใจ เราสองคนจะได้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปกว่าจะตาย เลียบเจ้งได้ฟังก็ดีใจนักรับทองสิบตำลึงไว้แล้วว่า ท่านให้ทองเมื่อยากไร้ขอบคุณยิ่งนัก ถ้าเราสิ้นห่วงด้วยมารดาแล้วก็จะอาสาท่านไปกว่าจะสำเร็จ ท่านมาแต่เมืองไกลไม่มีที่สำนักจงไปอยู่บ้านเราก่อนเถิด เลียบเจ้งก็พาเงียมซุยมาถึงบ้าน เงียมซุยเห็นที่อยู่เลียบเจ้งคับแค้นอยู่ไม่สบาย จึงเช่าร้านอาศัยอยู่หน้าบ้านเลียบเจ้ง เงียมซุยก็ไปเยี่ยมเยียน มีของสิ่งใดดีก็ให้คนใช้เอาไปให้เลียบเจ้งเนืองๆ

ครั้นอยู่มามารดาเลียบเจ้งป่วยเป็นโรคชรา เลียบเจ้งอุตส่าห์ปฏิบัติรักษาพยาบาลทั้งกลางวันกลางคืน โรคก็ไม่บรรเทายิ่งป่วยหนักลงทุกวันก็สิ้นใจตาย เงียมซุยก็จ่ายสิ่งของทำเครื่องศพสิ้นเงินทองเป็นอันมาก เลียบเจ้งฝังศพมารดาแล้วจึงว่ากับเงียมซุยว่า ท่านมีคุณช่วยทำการฝังศพมารดาเราครั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ บัดนี้มารดาก็ตายสิ้นห่วงแล้ว ธุระท่านที่จะให้เราไปลอบฆ่าเคียบหลุยแก้แค้นของท่านนั้น เราก็จะอาสาไปทำการสนองคุณท่านให้สำเร็จ เรามีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง ขอฝากไว้แก่ท่านกว่าเราจะกลับมา เงียมซุยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงให้เงินทองแก่เลียบเจ้งแล้วว่า ท่านจงเอาเงินร้อยตำลึงไปจ่ายเป็นเสบียงกลางทางกว่าจะทำการสำเร็จ อย่าวิตกถึงพี่สาวท่านเลย เราจะรับปฏิบัติบำรุงมิให้ขัดสน เลียบเจ้งรับเงินร้อยตำลึงแล้วก็ไปบอกนางเอ๋งผู้พี่สาวว่า เงียมซุยมีคุณแก่ข้าพเจ้าช่วยทำการศพมารดาจนสำเร็จ บัดนี้เงียมซุยจะให้ไปฆ่าเคียบหลุยขุนนางเมืองหันแก้แค้น ข้าพเจ้าจะลาไปทำการสนองคุณเงียมซุยครั้งนี้จะได้กลับมาช้าหรือเร็วยังไม่แจ้ง เงียมซุยรับอยู่แทนข้าพเจ้าปฏิบัติรักษาท่าน ข้าพเจ้าไปแล้วจะต้องการอะไรจงบอกกล่าวเงียมซุยมาใช้วานเหมือนตัวข้าพเจ้าอยู่นั้นเถิด

นางเอ๋งได้ฟังดังนั้นจึงว่า เคียบหลุยคนนี้ได้ยินกิตติศัพท์เขาลือมาว่าเป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการอยู่ในเมืองหัน เป็นคนมีวาสนาผู้คนใช้สอยระวังรักษาเป็นอันมาก ซึ่งเจ้าจะไปทำร้ายเคียบหลุยแก้แค้นแทนคุณเงียมซุยครั้งนี้อย่าประมาท เร่งระมัดระวังตัวอย่าให้มีอันตราย รักษาชีวิตให้รอดมาถึงบ้านพี่จะได้เห็นหน้าสืบไป เลียบเจ้งคำนับลาออกจากบ้าน เงียมซุยก็ตามไปส่งถึงนอกเมืองเจ๋ ทั้งสองถ้อยทีสั่งความแก่กันแล้ว เงียมซุยก็กลับมาอยู่ปฏิบัติพี่สาวเลียบเจ้ง ณ บ้าน เลียบเจ้งไปตามทางครั้นถึงเมืองหัน เลียบเจ้งจึงเช่าร้านอาศัยอยู่ริมรั้วบ้านเคียบหลุย คอยจะทำร้ายเคียบหลุย วันหนึ่งเวลาคํ่าเลียบเจ้งคิดจะปลอมตนเข้าไปในบ้านเคียบหลุย เห็นนายประตูกองเพลิงตรวจตรามิให้คนแปลกหน้าเข้าบ้าน เลียบเจ้งคอยอยู่จนเวลายามหนึ่งจะปลอมตนเข้าไปมิได้ ครั้นเวลานายประตูปิดประตูบ้าน หมายจะปีนรั้วบ้านเข้าไปทำร้ายเคียบหลุย รั้วบ้านก็สูงแล้วมีคนอยู่รักษาทุกด้าน เลียบเจ้งจนในความคิดก็กลับมาร้านที่อาศัย

ครั้นเวลารุ่งเช้าเลียบเจ้งจึงลับขวานซึ่งเป็นอาวุธสำหรับมือให้คมแล้วซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ ไปคอยอยู่ที่ประตูบ้านหมายจะทำร้ายเคียบหลุย ครั้นเห็นเคียบหลุยออกจากบ้านมีทหารแห่หน้าหลังเป็นอันมาก เลียบเจ้งจะเข้าทำร้ายก็ไม่สมความคิด จึงพลอยเดินปลอมเป็นคนใช้ตามเคียบหลุยไปถึงประตูบ้าน นายประตูสำคัญว่าเป็นคนใช้เคียบหลุยก็มิได้ห้ามปราม เลียบเจ้งก็เข้าไปในบ้านเคียบหลุย บรรดาขุนนางซึ่งมีกิจสุขทุกข์ถ้อยความก็เข้ามานั่งคอยเคียบหลุยพร้อมกันอยู่ ณ ตึกรับแขก เลียบเจ้งก็นั่งอยู่ด้วย

ฝ่ายเคียบหลุยกินข้าวปลาอาหารแล้วจึงกลับออกมา ณ ตึกรับแขก ขุนนางทั้งปวงเสนอความเคียบหลุยก็ตัดสินว่ากล่าวบังคับบัญชาตามประเพณีขุนนางผู้ใหญ่ เลียบเจ้งเห็นได้ทีก็เดินเข้าไปหมายจะทำร้ายเคียบหลุย บรรดาขุนนางทั้งปวงซึ่งนั่งอยู่นั้นเห็นประหลาดต่างคนต่างว่ากล่าวห้ามปราม เลียบเจ้งจึงแกล้งบอกขุนนางว่า เรามีธุระร้อนจะเข้าไปแจ้งความแก่ท่านผู้สำเร็จราชการด้วยการแผ่นดิน จะห้ามเราไว้ไม่ควร ขุนนางทั้งปวงสำคัญว่าจริงต่างคนก็หลีกให้ทางเลียบเจ้ง เลียบเจ้งก็เดินตรงเข้าไป เคียบหลุยเห็นชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่กิริยาองอาจเดินมาเห็นจะทำร้ายก็ตกใจขยับตัวจะลงจากเก้าอี้ เลียบเจ้งก็ชักขวานออกจากกลีบเสื้อวิ่งทะลวงเข้าไปทันที เอาขวานฟันเคียบหลุยคอขาดตาย

ฝ่ายขุนนางและคนใช้เคียบหลุยเห็นดังนั้น ต่างคนร้องบอกนายประตูให้ปิดประตูบ้าน แล้วฉวยได้ไม้ค้อนก้อนศิลาและอิฐทิ้งขว้างถูกเลียบเจ้งเป็นหลายแห่ง เลียบเจ้งวิ่งไล่ฟันขุนนางและพวกคนใช้เคียบหลุยนั้นตายห้าคน ออกมาจะเปิดประตูพวกคนรักษาประตูขว้างด้วยตะบองถูกที่สำคัญ เลียบเจ้งจุกขัดเหลือที่จะทัดทานก็ล้มลงเห็นจะหนีไปไม่พ้น จึงคิดว่าเราก็คงจะตายเป็นแท้แล้วจะให้เขาจับเป็นไปก็จะลำบากตัว เลียบเจ้งหมายจะมิให้ผู้ใดรู้จักหน้า จึงล้วงตาทั้งสองออกเอาขวานฉะหน้าของตัวเสียแล้วเชือดคอตาย ขุนนางทั้งปวงก็พากันไปบอกไตหูขุนนางผู้ใหญ่ ไตหูขุนนางผู้ใหญ่ก็พาขุนนางทั้งปวงเข้าไปคำนับแจ้งความแก่เจ้าเมืองหันทุกประการ เจ้าเมืองหันแจ้งว่าเคียบหลุยตายก็โกรธ สั่งไต้เซียงขุนนางกรมเมืองให้พิจารณาสืบสวนเอาตัวพรรคพวกพี่น้องของอ้ายคนร้ายซึ่งบังอาจฆ่าเคียบหลุยมาฆ่าเสียให้สิ้นแซ่ แต่ศพเคียบหลุยนั้นให้จัดแจงฝังตามตำแหน่งให้สมควรขุนนางผู้ใหญ่

ไต้เซียงก็คำนับลาออกมาสั่งเจ้าพนักงานทำการฝังศพเคียบหลุยแล้วจึงให้เอาศพผู้ฆ่าเคียบหลุยมาไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วกระซิบสั่งคนสนิทว่าให้คอยสอดแนมดูถ้ามีผู้มาร้องไห้รักศพอ้ายคนร้ายก็ให้จับตัวไว้ จะได้ซักไซ้ไล่ความสืบเอาพวกเพื่อนและพี่น้องร่วมแซ่มันมาฆ่าเสีย คนสนิทก็ไปทำตามสั่ง ขณะนั้นชายหญิงชาวเมืองรู้ว่ามีผู้ฆ่าเคียบหลุยขุนนางผู้ใหญ่ตายแล้วผู้ฆ่านั้นฆ่าตัวตายเสียด้วย ต่างคนพากันมาดูศพก็ไม่รู้จักหน้า ดูแล้วต่างเดินเลยไปเสีย กิตติศัพท์นั้นก็ลือเล่ากันต่อไปถึงเมืองเจ๋

ฝ่ายนางเอ๋งได้ยินข่าวลือมาว่า มีผู้ร้ายเข้าไปฆ่าเคียบหลุยขุนนางเมืองหันตายแล้วผู้ฆ่าก็เชือดคอตายเสียด้วย นางเอ๋งตกใจจึงคิดว่าเลียบเจ้งน้องเรารับอาสาเงียมซุยไปเมืองหันหลายวันแล้ว เพลาคืนนี้คิดไปถึงน้องก็ไม่สบายนอนหลับฝันเห็นร้ายว่าฟันหน้าหัก ครั้นรุ่งขึ้นเช้าได้ข่าวร้ายสมกับความที่น้องไปทำการครั้งนี้ จำจะไปดูให้เห็นประจักษ์ก่อน แม้นน้องเราตายจริงเราก็คงจะตายตามไป จะได้พบมารดากับน้องที่เมืองผี คิดแล้วก็ออกจากเมืองเจ๋รีบมาเมืองหัน เที่ยวไต่ถามชาวเมืองหันมาจนถึงที่ทางสามแพร่ง เห็นศพดูประพิมพ์ประพายก็จำได้ว่าเลียบเจ้งผู้น้อง นางเอ๋งก็กอดศพน้องร้องไห้รำพันต่างๆ พวกคนสนิทไต้เซียงซึ่งคอยสอดแนมอยู่เห็นดังนั้นต่างคนวิ่งออกมาจับตัวนางเอ๋งไปคำนับแจ้งความแก่ไต้เซียง ไต้เซียงจึงให้มัดนางเอ๋งเข้าไว้กับเสาศิลาแล้วถามว่า เหตุใดตัวจึงมาร้องไห้รักศพอ้ายคนร้าย อ้ายคนร้ายเป็นญาติพี่น้องของตัวหรือประการใด

นางเอ๋งจึงบอกว่าผู้ตายเป็นน้องของข้าพเจ้า ไต้เซียงจึงซักถามว่าน้องของตัวซึ่งบังอาจได้มาฆ่าผู้สำเร็จราชการแล้วฆ่าตัวเสียด้วย ทั้งนี้มีข้อขัดเคืองเคียบหลุยประการใด หรือผู้ใดใช้สอยมาทำร้ายเคียบหลุย ตัวได้รู้เห็นจงบอกแต่ความจริง นางเอ๋งได้ฟังจึงคิดว่าถ้าจะบอกตามจริงเงียมซุยก็จะพลอยตายด้วย เหตุซึ่งบังเกิดขึ้นครั้งนี้ก็เพราะเทวดาจะแกล้งให้น้องเราตายตามมารดาไป น้องเราก็ตายแล้ว ถึงเราจะอยู่สู้ทนอาชญาไปคงจะตายด้วยลำบาก นางเอ๋งก็นิ่งอยู่ไม่บอกความจริง ไต้เซียงซักไซ้ไต่ถามจะเอาความจริงจงได้ ครั้นนางไม่ให้การไต้เซียงโกรธนักให้ตีนางเอ๋งสามสิบที นางเอ๋งทนอาชญามิได้ก็เอาศีรษะโดนเสาศิลาสมองแตกตาย ไต้เซียงสืบสวนเอาพวกเพื่อนเลียบเจ้งมิได้แล้วก็เข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองหันทุกประการ เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้นจึงว่าพี่สาวอ้ายคนร้ายมันมาร้องไห้รักกัน ครั้นจะสืบเอาพวกเพื่อน หญิงนั้นก็ฆ่าตัวตายตัดความเสียหวังจะให้ความสูญ จะสืบเอาพวกเพื่อนนั้นต่อไปมิได้ แล้วให้เอาศพนั้นออกไปเสียบประจานไว้นอกเมือง อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างมันต่อไป ไต้เซียงก็คำนับลาออกมาให้ทหารเอาศพนางเอ๋งกับเลียบเจ้งออกไปเสียบไว้นอกเมืองตามสั่ง

ฝ่ายเจ้าเมืองงุยจัดแจงขุนนางนายทหารไปครองเมืองน้อยใหญ่มีเขตแดนกว้างขวาง ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ได้อยู่เย็นเป็นสุขมาช้านานหลายปี งุยหวนชราบังเกิดโรคป่วยลง แพทย์ประกอบยารักษาก็ไม่คลาย จึงสั่งงุยบุนเสงขุนนางผู้ใหญ่ให้มีหนังสือบอกไปถึงซีจูเก๊กบุตรซึ่งไปครองเมืองตงสันนั้นให้เร่งรีบมาเป็นการเร็ว งุยบุนเสงก็คำนับลาออกมาแต่งหนังสือเข้าผนึกส่งให้ม้าใช้รีบไปถึงเมืองตงสัน เข้าไปคำนับซีจูเก๊กแล้วแจ้งความตามหนังสือบอกทุกประการ ซีจูเก๊กแจ้งว่าบิดาป่วยหนักก็ตกใจ สั่งขุนนางผู้ใหญ่ให้อยู่รักษาเมือง ครั้นเพลาเช้าซีจูเก๊กก็ขึ้นขี่เกวียนพร้อมทหารแห่หน้าหลังออกจากเมืองตงสันมาเมืองงุย

ฝ่ายงุยหวนป่วยอยู่ที่ข้างใน แต่คอยท่าบ่นถึงซีจูเก๊กทุกเพลา พอซีจูเก๊กมาถึงก็เข้าไปคำนับ เห็นบิดาซูบผอมสิ้นกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงไข้ก็สงสารก้มหน้าลงร้องไห้ งุยหวนพลิกตัวผินหน้ามาเห็นบุตรก็กลั้นนํ้าตามิได้ อุตส่าห์กลั้นความโศกไว้ แล้วว่าบิดาป่วยครั้งนี้ก็เห็นจะไม่ได้อยู่เห็นหน้าเจ้าต่อไปแล้ว และสมบัติในเมืองงุยนี้ บิดาก็อุตส่าห์จัดแจงทำนุบำรุงทแกล้วทหารและขุนนางอาณาประชาราษฎร์มิได้มีความเดือดร้อน ซึ่งเจ้าจะครองเมืองแทนบิดาไปภายหน้า จงทำตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมซึ่งบิดาตั้งแต่งไว้สำหรับเมือง อย่าฟังคำคนยุยง อย่าหลงด้วยถ้อยคำคนโลภ ผู้ใดสัตย์ซื่อมีความชอบในการแผ่นดินจงทำนุบำรุง ผู้ใดทำการให้เสียธรรมเนียม อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อนจงกำจัดเสีย แม้นขุนนางจะปรึกษาด้วยประการสิ่งใด ชอบด้วยการแผ่นดินจึงสั่ง ถ้าไม่ชอบด้วยธรรมเนียมก็ให้ตรึกตรองดูโดยสติปัญญาก่อน งุยหวนสอนบุตรยังมิทันขาดคำ พอลมปะทะขึ้นมาลิ้นกระด้างคางแข็งลืมตาค้างอยู่ขาดใจตาย

ซีจูเก๊กงุยบุนเสงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปคลำดูที่อกรู้ว่าสิ้นใจแล้วก็ร้องไห้รักอื้ออึงขึ้นทั้งข้างหน้าข้างใน ครั้นวายโศกแล้วซีจูเก๊กกับงุยบุนเสงจึงให้ต่อหีบไม้หอมใส่ศพงุยหวนแล้วมีหนังสือบอกหัวเมืองขึ้นทั้งปวงมาพร้อมกันทำการฝังศพตามธรรมเนียมเจ้าเมืองใหญ่ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีงุยบุนเสงขุนนางผู้ใหญ่จึงประชุมขุนนางพร้อม เชิญซีจูเก๊กขึ้นเป็นบูห้อครองเมืองงุยแทนบิดาสืบไป บูห้อก็ทำนุบำรุงขุนนางทแกล้วทหารและอาณาประชาราษฎร์โดยสัตย์ธรรม บ้านเมืองก็ราบคาบเป็นปกติ วันหนึ่งบูห้อออกว่าราชการขุนนางเฝ้าพร้อมกัน งุยบุนเสงจึงว่าแก่บูห้อว่า ข้าพเจ้าทำราชการแต่ครั้งบิดาท่านแรกตั้งเมืองมาจนท่านได้ครองสมบัติ บัดนี้ข้าพเจ้าก็ชราหนักลงจะว่ากล่าวสิ่งใดเคลิ้มเขลาหลงลืมแล้ว จะขอลาออกนอกราชการพึ่งบุญท่านพอมีความสุขกว่าจะตาย บูห้อได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านเป็นคนเก่าทำราชการมาแต่ครั้งบิดาเรา บัดนี้ท่านชราจะออกนอกราชการแล้ว ท่านเห็นผู้ใดที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนท่านต่อไปเล่า งุยบุนเสงจึงว่าบรรดาขุนนางที่ทำราชการมาแต่ครั้งบิดาท่าน ท่านได้ปรึกษาการแผ่นดินแต่ตัวข้าพเจ้ากับเต๊กอ๋อง ข้าพเจ้าเห็นว่าเต๊กอ๋องจะเป็นผู้สำเร็จราชการต่อไปได้ บูห้อจึงว่ากับเต๊กอ๋องว่า ท่านก็เป็นขุนนางเก่าสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินมาช้านาน บัดนี้งุยบุนเสงออกจากที่ ท่านจงเป็นผู้สำเร็จราชการต่อไปเถิด

เต๊กอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้ากับงุยบุนเสงก็เป็นเพื่อนคิดราชการมาจนแก่ชราลงด้วยกันแล้ว ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนงุยบุนเสงต่อไปนั้นเห็นจะทำไปมิได้ อันขุนนางซึ่งท่านใช้สอยอยู่ทุกวันนี้จะจัดเอาที่มีสติปัญญารู้การรอบคอบเห็นแต่ซันบุนผู้เดียวจะเป็นผู้สำเร็จราชการได้ ข้าพเจ้าจะขอเป็นแต่ผู้ช่วยราชการซันบุนไปตามสติกำลัง บูห้อเห็นด้วยจึงมอบตรากับเครื่องยศให้ซันบุนเป็นผู้สำเร็จราชการ

ขณะนั้นเง่าคี้เจ้าเมืองเง่าเซียอยู่นั่นด้วย เห็นเจ้าเมืองงุยตั้งซันบุนเป็นผู้สำเร็จราชการก็น้อยใจ ครั้นเจ้าเมืองงุยเข้าไปที่ข้างในแล้วเง่าคี้จึงทำเป็นจับมือซันบุนแล้วถามเป็นทีสัพยอกว่าท่านได้เป็นผู้สำเร็จราชการนี้ ท่านมีความชอบประการใด ซันบุนจึงตอบว่าความชอบของเราก็ได้ทำไว้บ้างอยู่แต่หาเหมือนท่านไม่ ซึ่งเราได้เป็นขุนนางขึ้นทั้งนี้ ก็เพราะเจ้าเมืองมีความกรุณาปู่และบิดาเราว่าเป็นข้าเก่าคนเดิมได้ใช้สอยมา ซึ่งท่านเห็นว่าเราไม่สมควรจะเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว จงว่ากล่าวให้เจ้าเมืองงุยถอดเสียจากที่ เจ้าเมืองงุยจะได้จัดแจงท่านผู้มีความชอบมากให้เป็นผู้สำเร็จราชการต่อไป ซันบุนว่าแล้วทำหัวเราะทีเย้ยแล้วกลับบ้าน เง่าคี้ได้ฟังซันบุนว่ากล่าวก็อายใจมิได้โต้ตอบ เดินออกมากับขุนนางทั้งปวงไปที่อาศัย และขณะเมื่อซันบุนกับเง่าคี้ว่ากล่าวโต้ตอบกันนั้นขันทีสองคนนั่งอยู่ด้วย ครั้นขุนนางทั้งปวงออกไปจากที่ว่าราชการสิ้นแล้ว ขันทีสองคนจึงเข้าไปคำนับบูห้อที่ข้างใน แล้วแจ้งความซึ่งเง่าคี้กับซันบุนว่ากล่าวกันให้บูห้อฟังทุกประการ

บูห้อได้ฟังจึงคิดว่าเง่าคี้ว่ากล่าวแก่ซันบุนเป็นทีจะยกความชอบของตัว ซึ่งเราตั้งซันบุนเป็นผู้สำเร็จราชการขึ้นเห็นเง่าคี้จะน้อยใจ นานไปเง่าคี้จะเอาใจออกห่างเป็นมั่นคง และเมืองเง่าเซียซึ่งเง่าคี้รักษาอยู่เป็นเมืองหน้าด่านปลายแดน จำจะเอาเง่าคี้เข้ามาใช้ในเมืองเรา จะจัดแจงขุนนางที่มีสติปัญญาเป็นที่วางใจให้ไปรักษาเมืองเง่าเซียจึงจะควร บูห้อคิดแล้วครั้นเพลารุ่งเช้าออกว่าราชการขุนนางพร้อมกัน บู้ห้อเห็นเง่าคี้เข้ามาคำนับจึงว่าแก่เง่าคี้ว่า ท่านก็เป็นขุนนางผู้เฒ่าได้รักษาเมืองเง่าเซียต่างตาต่างใจบิดาเรามาช้านาน จนสิ้นบุญบิดาเราแล้ว เราได้ครองสมบัติสืบมา บัดนี้ขุนนางคนเก่าก็แก่ชราออกนอกราชการเสียเป็นอันมาก เราไม่มีผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษาหารือการบ้านเมืองเลย ท่านจงอยู่ทำราชการในเมืองงุยเถิด เง่าคี้ได้ฟังครั้นจะว่ากล่าวขัดขวางก็เกรงใจบูห้อจะขัดเคืองก็นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ บูห้อก็ตั้งขุนนางคนสนิทผู้หนึ่งเป็นที่ไชหัวแล้วมอบตราและเครื่องยศตามตำแหน่งเจ้าเมือง ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลาออกมาพาบุตรภรรยาพรรคพวกไปรักษาเมืองเง่าเซียตามเจ้าเมืองงุยสั่ง

ฝ่ายเง่าคี้ครั้นพ้นเพลาว่าราชการกลับมาที่อาศัย ภรรยาเง่าคี้เห็นหน้าเง่าคี้ไม่สบาย จึงแต่งโต๊ะและสุรามาตั้งแล้วรินสุราให้เง่าคี้กินพลางถามเง่าคี้ว่า ข้าพเจ้าดูกิริยาท่านไม่สบาย เจ้าเมืองงุยว่ากล่าวสิ่งใดให้ท่านขัดเคืองหรือ เง่าคี้จึงพูดกับภรรยาว่าแต่ข้าทำราชการในเมืองงุย งุยหวนให้ไปรักษาเมืองเง่าเซียเราก็อุตส่าห์จัดแจงซ่องสุมทแกล้วทหารไว้เป็นอันมาก รักษาทางมั่นคง ข้าศึกศัตรูฝ่ายตะวันตกกลัวเกรงฝีมือเราไม่มายํ่ายีแดนเมืองงุย ชาวเมืองงุยจึงได้ทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุขมาจนสิ้นบุญงุยหวน ซีจูเก๊กได้เป็นเจ้าเมืองแทนบิดาขึ้นครั้งนี้ ตั้งซันบุนเด็กหนุ่มขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการให้บังคับเรา ทั้งเมืองเง่าเซียก็ให้ผู้อื่นไปรักษา เราเห็นว่าซีจูเก๊กหาคิดถึงความชอบเราซึ่งได้ทำไว้แต่ก่อนไม่ ข้าน้อยใจนักจะอยู่ทำราชการให้ซันบุนบังคับบัญชาต่อไปก็จะมีแต่ความช้ำใจทุกเวลา ข้าคิดว่าจะอพยพหนีไปอาศัยอยู่แดนเมืองฌ้อ ถ้าบุญของเรายังจะไม่ถึงที่ยากจน เจ้าเมืองฌ้อทราบความก็คงจะรับเราเข้าไปเป็นขุนนาง ภรรยาก็เห็นชอบด้วย เง่าคี้กับภรรยาก็กระซิบสั่งคนใช้สนิทจัดเกวียนบรรทุกสิ่งของ พอเวลาคํ่าเง่าคี้กับภรรยาก็ขึ้นเกวียนพาคนใช้พรรคพวกหนีออกจากเมืองงุย รีบไปทั้งกลางวันกลางคืน ถึงแดนเมืองฌ้อก็เข้าอาศัยบ้านป่าทำมาหากินอยู่เป็นสุข ขณะเมื่อเง่าคี้หนีไปนั้น มีผู้เข้าไปคำนับบอกความแก่เจ้าเมืองงุย เจ้าเมืองงุยจึงสั่งให้ทหารติดตาม ทหารตามเง่าคี้ไปจนพ้นแดนไม่พบเง่าคี้แล้วก็กลับมาแจ้งเจ้าเมืองงุย เจ้าเมืองงุยจึงสั่งขุนนางทั้งปวงว่า เง่าคี้หนีเราไปครั้งนี้ด้วยโกรธว่าเราไม่ให้เป็นผู้สำเร็จราชการ ถ้าเง่าคี้ไปอาศัยอยู่ในเมืองใดก็จะคิดอ่านยุยงเจ้าเมืองนั้นให้ยกทัพมายํ่ายีเรา ท่านทั้งปวงจงกำชับชาวด่านให้ตรวจตราด่านทางให้มั่นคง ซันบุนก็ให้มีหนังสือบอกไปกำชับหัวเมืองด่านตามเจ้าเมืองงุยสั่ง

ฝ่ายฌ้อเจียวอ่องเจ้าเมืองฌ้อ วันหนึ่งออกขุนนางปรึกษาราชการบ้านเมืองและคิดเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาทแกล้วทหาร จึงถามขุนนางทั้งปวงว่าบรรดาผู้มีสติปัญญาในแดนเมืองเรานี้จะมีอยู่ในแห่งใดบ้าง เราจะใคร่ได้มาตั้งแต่งเป็นขุนนาง มีราชการศึกมาจะได้ช่วยกันรักษาเขตแดนเมืองเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ขุนนางผู้หนึ่งจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินข่าวชาวบ้านป่าเข้ามาในเมืองบอกข้าพเจ้าว่า เง่าคี้เจ้าเมืองเง่าเซีย เจ้าเมืองงุยคนใหม่ถอดเสียให้คนอื่นเป็นที่เจ้าเมืองเง่าเซีย เง่าคี้น้อยใจอพยพครอบครัวหนีเจ้าเมืองงุยมาอยู่บ้านป่า ฌ้อเจียวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงว่าเง่าคี้คนนี้เราได้ยินข่าวลือมาช้านานว่ามีฝีมือชำนาญการศึก หัวเมืองทั้งปวงเกรงเง่าคี้เป็นอันมาก บัดนี้เง่าคี้หนีเจ้าเมืองงุยมาก็เป็นบุญเราที่จะได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เทวดาจึงบันดาลดลใจให้เง่าคี้มาอยู่ในแดนเมืองเราไม่พักต้องไปเกลี้ยกล่อม ท่านจงคุมของเครื่องคำนับไปเชิญเง่าคี้ ขุนนางผู้นั้นคำนับลามาจัดสิ่งของเครื่องคำนับตามธรรมเนียมบรรทุกเกวียนออกไปถึงบ้านป่าเข้าหาเง่าคี้ แล้วแจ้งความตามฌ้อเจียวอ๋องสั่ง เงาคี้ก็รับเครื่องคำนับแล้วขึ้นเกวียนมากับขุนนาง ครั้นถึงเมืองขุนนางก็พาเง่าคี้เข้าไปคำนับเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อเห็นเง่าคี้มาคำนับก็ยินดีจึงถามว่า ท่านเป็นเจ้าเมืองเง่าเซีย ท่านทิ้งเมืองเสียมาอยู่แดนเรานี้มีทุกข์ร้อนขัดเคืองกันกับเจ้าเมืองงุยประการใด บัดนี้ท่านก็ได้มาอยู่ในแดนเมืองเรา เราจะตั้งให้ท่านเป็นขุนนาง แล้วก็มอบตราสำหรับที่ไจเสียงกับที่บ้านให้เง่าคี้ เง่าคี้จึงว่าซึ่งท่านตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนางนั้น ข้าพเจ้าก็จะสนองคุณท่านตามสติปัญญาให้ทแกล้วทหารมีกำลังขึ้นจงได้ บ้านเมืองก็จะบริบูรณ์ขึ้น ฌ้อเจียวอ๋องจึงว่าท่านจะบำรุงบ้านเมืองและทหารให้มีกำลังนั้นประการใดจงบอกให้เรารู้ด้วย

เง่าคี้จึงตอบว่า อันเมืองท่านก็กว้างขวางใหญ่โตกว่าหัวเมืองทั้งปวง ทั้งทหารรบก็มีถึงร้อยคน แต่ขัดอยู่ด้วยหามีเสบียงและเงินที่จะแจกทหารนั้นยังน้อยอยู่ จะต้องจัดแจงตั้งธรรมเนียมเสียใหม่จึงจะควร ขอท่านจงถอดขุนนางนอกทำเนียบออกเสียบ้าง ประการหนึ่งเชื้อวงศ์ของท่านที่กินเงินเดือนอยู่นั้นเป็นอันมาก ขอท่านได้ตั้งแต่ห้าชั่วขึ้นไป ถ้านอกนั้นให้ไปหากินเอาเองเกิด เงินในคลังก็จะมากขึ้น จะได้เอามาแจกจ่ายเลี้ยงทหารให้บริบูรณ์ บ้านเมืองก็จะมีความสุขสืบไป ถ้าท่านทำตามถ้อยคำข้าพเจ้าแล้ว แม้นบ้านเมืองหาเป็นสุขไม่ก็ให้ท่านเอาโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด

ฌ้อเจียวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่าท่านจงจัดแจงเอาตามชอบใจเถิด เง่าคี้ก็คำนับลามาที่อยู่ จึงเอาบัญชีเงินเดือนมาอ่านดู ก็รู้ว่าขุนนางนอกทำเนียบและเชื้อวงศ์ที่ห่างลงมากว่าห้าชั่วมีเป็นอันมากก็ลบเสียสิ้น ตั้งแต่นั้นมาเงินทองในคลังก็ค่อยมากขึ้นทุกปี เง่าคี้ให้เลือกคนในเมืองที่มีกำลังมาตั้งให้เป็นทหารแล้วก็ซ้อมหัดอยู่เป็นนิตย์ ถ้าใครดีก็เพิ่มเงินเดือนให้อีก ถ้าชั่วก็ให้ลดเสีย ตั้งแต่นั้นมาขุนนางก็กลัวเกรงเง่าคี้นัก อันการทั้งนี้ก็ลือไปทั่วทุกหัวเมือง

ฝ่ายเมืองจิ้น เมืองจิ๋น เมืองเจ๋ ก็นึกเกรงเมืองฌ้ออยู่ หาได้ยกกองทัพมายํ่ายีกับเมืองฌ้อไม่ ขณะนั้นฌ้อเจียวอ๋องป่วยหนักก็ถึงแก่ความตาย ยังหาได้กระทำฝังศพไม่ พวกซึ่งเง่าคี้ถอดเสียนั้นต่างคนต่างเอาอาวุธมาจะทำร้ายเง่าคี้ เง่าคี้เห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งหนีเข้าไปไนห้องไว้ศพ คนเหล่านั้นก็วิ่งไล่เข้าไปถึงข้างใน เห็นเง่าคี้อยู่ในห้องก็เอาเกาทัณฑ์ยิงเข้าไป เง่าคี้เห็นจะสู้มิได้ก็ยกเอาศพฌ้อเจียวอ๋องขึ้นป้องกันไว้ คนพวกนั้นก็ระดมยิงเข้าไปเป็นอันมาก ลูกเกาทัณฑ์ติดศพฌ้อเจียวอ๋องเป็นหลายลูก ที่ถูกเง่าคี้ติดอยู่หลายเล่ม

เง่าคี้จึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ถึงเราจะตายก็ไม่เสียดายกับชีวิต ซึ่งคนทั้งปวงกระทำร้ายต่อเจ้าดังนี้ โทษก็จะมีแก่ท่าน ท่านจะมิเป็นขบถเสียหรือ พอสิ้นคำลงเง่าคี้ก็ขาดใจตาย คนทั้งปวงได้ฟังเง่าคี้ว่าดังนั้นก็ตกใจต่างคนต่างวิ่งหนีไป ขุนนางทั้งปวงครั้นรู้ว่าฌ้อเจียวอ๋องตายจึงยกไทจูฮิมขึ้นเป็นเจ้าเมืองฌ้อชื่อซกอ๋อง ซกอ๋องก็จัดแจงฝังศพบิดาตามธรรมเนียม อยู่ประมาณสักเดือนเศษ จึงให้ฮิมเลียงฮูผู้น้องคุมทหารไปจับพวกซึ่งยิงศพฌ้อเจียวอ๋องนั้นได้ประมาณพันเศษก็ให้ฆ่าเสียสิ้น

ฝ่ายซันหัวเจ้าเมืองเจ๋ ตั้งแต่ไปขอตราตั้งพระเจ้าเมืองหลวง พระเจ้าเมืองหลวงอนุญาตให้ตามปรารถนา ครั้นได้เป็นอ๋องขึ้นแล้วอยู่ประมาณสองปีก็ป่วยถึงแก่ความตาย ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษาเห็นพร้อมกันตั้งซันหงอผู้บุตรขึ้นเป็นเจ้าเมืองเจ๋แทนบิดา ซันหงอจึงทำการฝังศพเสร็จแล้ว อยู่มาสองสามปีก็เป็นโรคปัจจุบันตาย ซันอินจูผู้บุตรก็ได้เป็นเจ้าเมืองชื่อเจ๋อุยโห ศักราชพระเจ้าจิวอันอ๋องเสวยราชย์ได้สามปี เจ๋อุยโหจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เมืองเราเสบียงและทหารก็บริบูรณ์ควรจะตั้งตัวเป็นอ๋อง อวดอ๋องเป็นแต่เมืองเล็กยังตั้งตัวเป็นอ๋องได้ จำเราจะตั้งขึ้นเป็นอ๋องบ้าง ขุนนางก็เห็นพร้อมกันจึงประกาศแก่หัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองเจ๋นั้นให้เรียกเจ๋อุยอ๋อง กิตติศัพท์ก็ลือไปทุกหัวเมือง

ฝ่ายงุยบูห้อครั้นรู้ว่าเมืองเจ๋ยกตัวขึ้นเป็นอ๋อง จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่าเมืองเราก็บริบูรณ์ด้วยทแกล้วทหารและเขตแดนก็กว้างขวางควรจะเป็นอ๋องแล้ว จึงให้ขุนนางประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นกับเมืองเราให้เรียกว่าอ๋อง ฝ่ายเจ๋อุยอ๋องตั้งแต่ได้เป็นใหญ่แล้วมิได้เอาใจใส่การบ้านเมือง เสพแต่สุราอยู่เป็นนิจ หาหญิงรูปงามมาหัดมโหรีสำหรับจะได้ขับฟังเล่นและเพลิดเพลินอยู่นั้นได้ถึงเก้าปี เมื่อขณะเจ้าเมืองไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมืองนั้น เมืองหัน เมืองงุย เมืองฬ่อ เมืองเตียว ต่างคนก็ต่างมาตีเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองเจ๋อยู่เนืองๆ ผู้ซึ่งอยู่รักษาเมืองออกต่อสู้ก็เหลือกำลังหนีเข้าเมืองปิดประตูเสียรักษาเมืองมั่นไว้ ให้มีหนังสือบอกขึ้นไปแจ้งข้อราชการศึกกับเจ้าเมืองเจ๋เป็นหลายครั้งหาเห็นกองทัพมาช่วยไม่ก็ตั้งมั่นอยู่ กองทัพที่ล้อมเมืองอยู่นั้นขาดเสบียงลงก็เลิกทัพกลับไป แต่กองทัพยกมาตีเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองเจ๋นั้นเนืองๆ ก็ได้บอกข้อราชการไปแจ้งกับเจ๋อุยอ๋องเป็นหลายครั้ง แต่หนังสือบอกไปค้างอยู่ในเมืองเจ๋เป็นอันมาก หามีขุนนางผู้ใดผู้หนึ่งที่จะอาจเอาเนื้อความเข้าไปบอกกับเจ๋อุยอ๋องไม่ ต่างคนต่างก็ปรับทุกข์กันอยู่ทุกคน

ขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งแซ่โจชื่อกี๋ เป็นคนชำนาญดีดขิม มีฝีมือกว่าคนทั้งปวง วันหนึ่งโจกี๋เข้าไปหาเจ๋อุยอ๋อง จึงเดินถือขิมเข้ามาถึงประตูเห็นประตูปิดก็ร้องเรียกผู้รักษาประตูให้เปิดรับ นายประตูจึงถามว่าท่านชื่อใดมีธุระจะมาหาอุยอ๋องหรือ โจกี๋จึงบอกว่าเราชื่อกี๋จะเข้าไปดีดขิมให้อุยอ๋องฟัง นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่อุยอ๋องทุกประการ เจ๋อุยอ๋องได้ฟังมีความยินดีนัก ก็ให้ไปรับโจกี๋เข้ามายังที่ข้างในแล้วเชิญให้นั่งที่สมควร จึงสั่งให้จออิวขุนนางยกโต๊ะมาตั้งไว้จะได้วางขิม โจกี๋ก็เอาขิมวางลงบนโต๊ะ จึงจัดแจงสายให้เสมอกันแล้วนั่งนิ่งอยู่ อุยอ๋องจึงว่าท่านบิดสายขิมนั้นเราก็รู้ว่าท่านเป็นคนดี แล้วทำไมจึงไม่ดีดไปเล่าเราอยากจะใคร่ฟัง หรือว่าขิมของท่านเอามาไม่สู้ดี เราจะได้จัดแจงหามาเปลี่ยนให้ใหม่

โจกี๋จึงว่าขิมที่ข้าพเจ้าเอามานี้ดีนัก แล้วซินแสที่ทำขิมอันนี้ดีกว่าคนทั้งปวง ทั้งอาจารย์ที่บอกเพลงขิมเล่าก็ดีประดุจเทพยดา ถ้าแม้ดีดขึ้นให้ท่านฟังแล้ว เกรงแต่ท่านจะไม่ชอบใจ อุยอ๋องจึงว่าซึ่งท่านสรรเสริญครูที่ทำขิมว่าดีนั้น จะดีประการใดท่านจงเล่าอธิบายให้เราฟังก่อน โจกี๋จึงว่าขิมอันนี้อาจารย์ของข้าพเจ้าทำไว้สำหรับจะได้ดีดสั่งสอนรักษาใจ ให้ตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตมิให้ฉ้อตระบัดกัน อันขิมนี้เมื่อจะบังเกิดขึ้นนั้น แต่ครั้งแผ่นดินกษัตริย์ทรงพระนามชื่อพระเจ้าฮกฮีให้ทำไว้สำหรับแผ่นดินสืบกันต่อๆ มา ขิมนั้นยาวสองศอกสิบสี่นิ้ว ที่กลางกว้างสิบเอ็ดนิ้ว มีสายอยู่ห้าเส้น เส้นใหญ่สองเส้น เส้นเล็กสามเส้น ทำด้วยธาตุทั้งห้าคือดินนํ้าลมไฟทอง เมื่อครั้งแผ่นดินห้องสินนั้น บุนอ๋องเติมเข้าสายหนึ่งชื่อว่ากุน แปลคำไทยว่ากษัตริย์ พระเจ้าบูอ๋องเติมเข้าสายหนึ่งเรียกฉิน คำไทยว่าขุนนาง กษัตริย์ทั้งสองพระองค์แสร้งทำไว้เป็นปริศนาหวังจะให้กษัตริย์กับขุนนางซื่อตรงรักใคร่สืบไปเบื้องหน้าเหมือนกับขิมสองสายซึ่งร่วมคันอันเดียวกันนั้น ขอท่านจงตรึกตรองดูแต่ควรเถิด

เจ๋อุยอ๋องได้ฟังดังนั้นดีใจนัก จึงถามว่าซึ่งท่านรู้จักครูทำขิมและครูที่ดีดขิมนั้น ท่านก็คงดีกว่าคนทั้งปวงอีก ท่านจงดีดให้เราฟังสักหน่อย โจกี๋จึงว่าซึ่งท่านให้ข้าพเจ้าดีดขิมให้ท่านฟังนั้น ครั้นข้าพเจ้าจะไม่ดีดเล่าท่านก็จะโกรธ ถ้าจะดีดก็หาต้องการไม่ เจ๋อุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าซึ่งตัวสรรเสริญครูที่ดีดขิมดีแล้วฝึกสอนมาเหตุใดตัวจึงว่าดังนี้ โจกี๋หัวเราะแล้วจึงว่าซึ่งท่านโกรธข้าพเจ้านั้นก็เหมือนกันกับท่านไม่เอาใจใส่ในการบ้านเมือง ขุนนางและราษฎรเขาก็โกรธเหมือนท่านโกรธข้าพเจ้า

เจ๋อุยอ๋องได้ฟังก็รู้ว่าโจกี๋จะมาว่าด้วยการเมือง จึงว่าเวลาวันนี้ก็เย็นอยู่แล้ว ท่านจงไปอยู่ที่ตึกนั้นก่อนเถิด ต่อเวลาเช้าจึงเข้ามาปรึกษากันยังที่ว่าราชการ โจกี๋ก็ลาไปยังตึกที่อยู่ ครั้นเพลาเช้าเจ๋อุยอ๋องก็อาบนํ้าชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้วก็ออกมายังที่ว่าราชการ จึงให้คนไปเชิญโจกี๋เข้ามาจึงจัดแจงให้นั่งที่สมควร โจกี๋ก็คำนับเจ๋อุยอ๋องตามธรรมเนียมแล้ว เจ๋อุยอ๋องจึงว่าท่านจะว่ากล่าวสั่งสอนข้าพเจ้าประการใด ข้าพเจ้าจะกระทำตามคำท่านทุกประการ

โจกี๋จึงว่าอันเมืองเจ๋ทุกวันนี้ก็ร่วงโรยหาบริบูรณ์เหมือนแต่ก่อนไม่ ด้วยท่านเสพสุราเสียเป็นเก้าปีสิบปีไม่ออกว่าราชการบ้านเมืองเลย จนเมืองงุยเมืองหันเมืองเตียวเมืองฬ่อ มาตีหัวเมืองขึ้นของท่านหลายครั้งท่านก็หารู้ไม่ บัดนี้ขอให้ท่านเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญามาตั้งไว้เป็นขุนนาง ประการหนึ่งให้ฝึกหัดทหารให้ชำนาญในการรบ แล้วให้ราษฎรทำนาเอาข้าวขึ้นยุ้งไว้จะได้เป็นเสบียงเลี้ยงไพร่ เจ๋อุยอ๋องได้ฟังคำโจกี๋ว่าก็ยินดีนัก จึงว่าท่านมาสั่งสอนเราทั้งนี้อุปมาเหมือนหนึ่งเราอยู่ที่มืด ท่านช่วยจูงออกมาที่สว่าง จึงตั้งให้โจกี๋เป็นที่ไจเสียงแล้วให้เงินทองกับที่บ้าน โจกี๋ก็คำนับลามาที่อยู่

ขณะนั้นซุนอูคูนช่างเจรจา ครั้นรู้ว่าโจกี๋เป็นที่ไจเสียงจึงมาหาโจกี๋ที่บ้าน โจกี๋ครั้นเห็นซุนอูคูนมาก็ออกไปต้อนรับถึงประตูตึก ซุนอูคูนก็เดินขึ้นไปบนตึกแล้วนั่งบนเก้าอี้ กล่าวว่าประเพณีทารกไม่ไกลจากอกมารดา ภรรยามิได้ห่างสามี ข้าราชการอย่างดีมิได้ไกลเจ้า เปรียบเหมือนล้อเกวียนมีเพลาหมุนจึงได้ ถ้าขัดข้องต้องเอาไขเนื้อชโลม โจกี๋จึงว่าซึ่งท่านว่านี้ชอบแล้ว อันธรรมดาข้าราชการก็ต้องเอาใจเจ้าจึงจะชอบ ซุนอูคูนจึงว่า อันเกาทัณฑ์ถ้าจะยิงก็ต้องขึ้นสาย ถ้ามิได้ยิงก็ต้องลดสายลง กับอนึ่งนํ้าในคลองเล็กน้อยก็ไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่สิ้น โจกี๋จึงว่า ซึ่งท่านว่านี้เราก็รู้อยู่แล้ว เราจะต้องปฏิบัติให้ราษฎรรักใคร่จึงจะควร ซุนอูคูนจึงว่า อันธรรมดาเสื้อขนอย่างดีถ้าแม้นขาดแล้วจะเอาขนสุนัขเข้ามาปะนั้นหาควรไม่ เหมือนหนึ่งคนมีปัญญาก็ต้องยกย่องไว้ตามดี ถ้าคนหาปัญญามิได้ใช้ตามควร อันที่จะเอาเข้ามาปนกันนั้นหาต้องที่ไม่ ถ้าจะทำล้อเกวียนและซอกระจับปี่ก็ให้ต้องตามส่วน ถ้าเกวียนถูกส่วนแล้วเดินก็คล่องไม่ข้องขัด อันซอและกระจับปี่ถ้าต้องด้วยส่วนแล้วก็มีเสียงอันไพเราะ โจกี๋จึงว่า ท่านว่านี้ก็ต้องด้วยอย่างธรรมเนียม ถ้าบ้านเมืองไม่มีขุนนางที่สัตย์ซื่อแล้วอย่างธรรมเนียมก็จะเคลื่อนคลาดไป ซุนอูคูนครั้นเห็นว่าโจกี๋มีปัญญาก็คำนับลามาบ้าน เมื่อขณะซุนอูคูนเดินมากลางทาง ศิษย์จึงถามว่าอาจารย์ไปว่ากล่าวโจกี๋เป็นประการใดบ้าง ซุนอูคูนจึงว่าเราตามไปหารือไต่ถามโจกี๋ โจกี๋มีสติปัญญามากกว่าเราแก้ไขไม่ขัดข้องเลย ขณะนั้นกิตติศัพท์ก็ลือไปทุกหัวเมืองว่าโจกี๋มีปัญญาเป็นที่ไจเสียงอยู่ในเมืองเจ๋ หัวเมืองทั้งปวงก็เกรงเมืองเจ๋ทุกหัวเมืองอยู่

ฝ่ายโจกี๋ครั้นซุนอูคูนกลับไปแล้ว จึงนึกว่าอันถ้อยคำซุนอูคูนนั้นควรจะจำไว้ แล้วให้คนไปสอดแนมดูว่าขุนนางในเมืองและหัวเมืองขึ้นใครจะสัตย์ซื่อตรงต่อเจ้าเมืองบ้าง คนสนิทก็ไปดูได้ความแล้วกลับมาบอกว่า เจ้าเมืองเจ๊กเป๊กเป็นคนสุจริต มิได้คิดเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนเลย แต่เจ้าเมืองอานั้นหาอยู่ในยุติธรรมไม่ ราษฎรในเมืองอาได้ความลำบากนัก โจกี๋ก็มิได้ว่าประการใด อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเมืองอาเอาความเท็จเข้ามาเมือง กล่าวโทษเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กว่าข่มเหงราษฎรให้เจ๋อุยอ๋องฟังทุกประการ เจ๋อุยอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงให้มีหนังสือไปหาตัวเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กมา แล้วก็ให้ถามเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กว่าตัวได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว เหตุใดจึงหาบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขไม่ กลับข่มเหงเก็บริบเอาไร่นาของราษฎรมาเป็นอาณาประโยชน์จริงหรือไม่

เจ้าเมืองเจ๊กเป๊กให้การปฎิเสธว่า ข้าพเจ้าจะได้ข่มเหงราษฎรและเก็บริบเอาที่ไร่นาเรือกสวนของราษฎรมาไว้หามิได้ เจ้าเมืองอาอ้างให้สืบราษฎร เสียงก๊กจึงสั่งขุนนางว่า เมืองเจ๊กเป๊กกับเมืองอาก็ใกล้กัน ราษฎรไปมาค้าขายถึงกันอยู่ ให้สืบราษฎรทั้งสองเมืองเอาความจริงให้จงได้ ขุนนางพนักงานก็ไปสืบราษฎรทั้งสองเมืองว่า เจ้าเมืองอาฟ้องกล่าวโทษเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กว่าข่มเหงราษฎรนั้น ผู้ใดรู้เห็นประการใดบ้างจงบอกความตามจริง พวกราษฎรชาวเมืองเจ๊กเป๊กให้การต้องคำกันว่า ท่านเจ้าเมืองผู้นายข้าพเจ้าจะได้ข่มเหงข้าพเจ้าให้ได้ความเดือดร้อนเหมือนเจ้าเมืองอาฟ้องหานั้นหามิได้ ขุนนางพนักงานก็จดหมายเอาถ้อยคำ แล้วไปสืบปากราษฎรชาวเมืองอา ชาวเมืองอาก็ให้การต้องคำกันว่า ข้าพเจ้าจะได้รู้เจ้าเมืองเจ๊กเป๊กข่มเหงราษฎรหามิได้ ขุนนางพนักงานก็จดหมายเอาถ้อยคำไว้ ในขณะนั้นราษฎรซึ่งเจ็บแค้นด้วยเจ้าเมืองอาข่มเหงเอาที่ไร่นาเรือกสวนจึงพากันมายื่นฟ้องกล่าวโทษเจ้าเมืองอา ขุนนางผู้ไปสืบพยานเห็นฟ้องของราษฎรว่ากล่าวเป็นการแผ่นดินก็รับฟ้องไว้แล้วพาผู้ฟ้องกลับมาเมืองเจ๋ เข้าไปอ่านคำพยานทั้งสองเมืองแจ้งแก่เสียงก๊กแล้วเสนอฟ้องของราษฎรซึ่งฟ้องเจ้าเมืองอาให้เสียงก๊กฟังทุกข้อ เสียงก๊กแจ้งความแล้วก็เข้าไปเฝ้า ทูลว่าซึ่งเจ้าเมืองอาฟ้องกล่าวโทษเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กนั้น ได้เอาฟ้องถามเจ้าเมืองเจ๊กเป๊ก เจ้าเมืองเจ๊กเป๊กให้การปฏิเสธเสียไม่รับ เจ้าเมืองอาอ้างพยานทั้งสองเมืองได้ให้ไปสืบหาสมไม่ บัดนี้ราษฎรชาวเมืองอาฟ้องเจ้าเมืองอาเป็นหลายรายว่าข่มเหงราษฎรอีกเล่า

เจ๋อุยอ๋องจึงว่าความทั้งนี้เราก็ได้ให้คนไปสืบปากราษฎรแจ้งความอยู่แต่ก่อนทุกประการ เจ้าเมืองอาทำความผิดเป็นหลายข้อ ครั้นจะว่ากล่าวตัดสินลงเล่าก็เห็นจะมีความครหานินทาว่าเข้าข้างเจ้าเมืองเจ๊กเป๊ก เราจึงให้ท่านชำระความตามอย่างธรรมเนียมแผ่นดิน เจ้าเมืองอาอ้างพยานไม่สม เจ้าเมืองอาเอาความเท็จมากล่าวโทษเจ้าเมืองเจ๊กเป๊ก ถึงจะเอาโทษเจ้าเมืองอาก็หามีความนินทาไม่ แต่ซึ่งราษฎรฟ้องกล่าวโทษเจ้าเมืองอานั้นก็ได้ความจริงอยู่แล้วอย่าสืบเลย

เจ๋อุยอ๋องจึงสั่งทหารให้ตั้งกระทะใหญ่ ต้มนํ้าร้อนให้เดือดแล้วจงเอาเจ้าเมืองอากับไตหูผู้รับสินบนต้มเสียทั้งเป็น อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างทำสืบไป ทหารก็คำนับรับสั่งออกมาตั้งกระทะต้มนํ้าเดือดแล้วมัดไตหูกับเจ้าเมืองอาใส่ลงในกระทะ ทั้งสองร้องดิ้นรนอยู่ในนํ้าร้อนเดือดพล่านจนขาดใจตาย ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนเกรงกลัวอาชญาเจ๋อุยอ๋องนัก เจ๋อุยอ๋องจึงให้หาเจ้าเมืองเจ๊กเป๊กเข้ามาเฝ้าแล้วว่า ซึ่งท่านไปรักษาเมืองเจ๊กเป๊กหลายปีความชั่วสิ่งใดก็ยังไม่ปรากฏ ได้ยินแต่ความดีมาถึงเราเนืองๆ ซึ่งเจ้าเมืองอาเอาความเท็จมากล่าวใส่โทษท่านเราก็ให้ทำโทษตามกฎหมาย ท่านจงกลับไปเมืองอุตส่าห์บำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไปเถิด

เจ๋อุยอ๋องก็ให้เสื้อและหมวกอย่างดีเป็นเครื่องยศ กับแพรสีต่างกันสี่สิบม้วนเป็นรางวัล แล้วเจ๋อุยอ๋องก็ตั้งขุนนางคนสนิทผู้หนึ่งไปครองเมืองอา แล้วตั้งฉันจิวไปครองเมืองน่ำเสียเป็นเมืองด่านต่อแดนเมืองฌ้อ แล้วตั้งฉันพันไปครองเมืองโกถังต่อแดนเมืองจิ๋น ให้งิมเทียนไปครองเมืองซิวสือต่อแดนเมืองเอี๋ยน จึงเลื่อนที่เสียงก๊กขึ้นเป็นที่เสียงเหา ยกส่วยสาอากรในเมืองเหียภีให้แก่เสียงเหา จึงตั้งจงสิวเป็นขุนนางผู้ใหญ่รักษาคลัง ตั้งฉันกี๋เป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร และประทานเครื่องยศและตราสำหรับตำแหน่งแก่เสียงเหาและขุนนางซึ่งไปกินเมืองน้อยใหญ่ตามสมควร ขุนนางซึ่งไปกินเมืองรับของประทานแล้วก็คำนับลาเจ๋อุยอ๋อง พาบุตรและภรรยาพรรคพวกไปกินเมืองน้อยใหญ่ตามเจ๋อุยอ๋องสั่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ