ฝ่ายจิวหูครั้นมาถึงเมืองโอย จึงหาตัวเซ็กฮอมาปรึกษาว่า เราจะคิดอ่านประการใดราษฎรจึงจะราบคาบ เซ็กฮอจึงว่า การทั้งนี้ท่านจงถามเซ็กซกบิดาข้าพเจ้าเถิด ด้วยบิดาข้าพเจ้าเป็นขุนนางมาแต่ก่อนเข้าใจขนบธรรมเนียมอยู่สิ้น จิวหูก็มีความยินดีนักจึงจัดถ้วยหยกคู่หนึ่งกับข้าวสารห้าร้อยถังให้คนใช้เอาไปให้เซ็กซก ณ บ้าน แล้วให้เชิญเซ็กซกเข้ามาด้วย คนใช้ไปบอกเซ็กซกตามจิวหูสั่ง เซ็กซกครั้นแจ้งดังนั้นก็บอกป่วยสิ่งของก็มิได้รับไว้ คนใช้ก็กลับมาบอกจิวหู จิวหูจึงว่ากับเซ็กฮอว่า บิดาท่านป่วยอยู่เราจำจะไปเยี่ยมให้ถึงบ้าน เซ็กฮอจึงว่า ท่านอย่าเพ่อไปให้ลำบากเลย ข้าพเจ้าจะออกไปไต่ถามแยบคายมาให้จงได้ แล้วเซ็กฮอก็ไปบอกเซ็กซกผู้บิดา เซ็กซกจึงถามว่า จิวหูให้หาเราจะว่าด้วยราชการสิ่งใดหรือ

เซ็กฮอจึงบอกว่า จิวหูได้เป็นเจ้าเมืองโอย คิดจะทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงให้มาเชิญบิดาหวังจะถามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน เซ็กซกจึงว่า ผู้จะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แม้นตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้วราษฎรก็จะมีความสุข เซ็กฮอจึงว่า บิดาว่านี้ก็ควรนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าจิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่เสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอย ขุนนางและราษฎรที่รักกีชุนอ๋วนก็ยังกระด้างกระเดื่องอยู่ จะขอความคิดไปปราบราษฎรให้ปกติ เซ็กซกจึงว่า ซึ่งราษฎรยังไม่ปกตินั้น เพราะจิวหูตั้งตัวเองไม่มีตราตั้งมาแต่เมืองหลวง ถ้าได้ตราตั้งแล้วคนทั้งปวงก็จะยำเกรงสิ้น ถึงผู้ที่มีใจเจ็บแค้นก็หาทำอันตรายได้ไม่

เซ็กฮอจึงว่า ซึ่งจะบอกไปขอตราตั้ง ณ เมืองหลวง เกรงพระเจ้าฮวนอ๋องจะทราบความที่จิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่เสีย ประการหนึ่งในเมืองหลวงเล่าก็มิได้เห็นขุนนางผู้ใดที่จะช่วยทูลเสนอสนองให้

เซ็กซกได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าจิวหูคนนี้ใจหยาบช้า ถ้าจิวหูได้เป็นใหญ่ในเมืองโอย เห็นราษฎรจะไม่มีความสุข จิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนหลานเจ้าเมืองตินเสีย เห็นตินหวนก๋งยังหารู้ความไม่ จำจะคิดให้ตินหวนก๋งฆ่าจิวหูเสียจงได้

เซ็กซกคิดแล้วจึงว่า ตินหวนก๋งเจ้าเมืองตินกับจิวหูก็รู้จักกันอยู่ ถ้าจิวหูไปอ้อนวอนว่ากล่าวให้ตินหวนก๋งรับธุระพาไปเฝ้าพระเจ้าเมืองหลวงก็เห็นจะสมความคิด เซ็กฮอได้ฟังดังนั้นก็ดีใจคำนับลาเซ็กซกผู้บิดา มาเล่าความกับจิวหูทุกประการ จิวหูก็ยินดีจึงจัดหยกกับไหมคาดแพรอย่างดีเป็นอันมากบรรทุกเกวียนพร้อมแล้ว จิวหูกับเซ็กฮอก็ออกจากเมืองโอยจะไปเมืองติน

ฝ่ายเซ็กซกครั้นเซ็กฮอกลับไปแล้ว จึงแต่งหนังสือลับฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าเซ็กซกคำนับมาถึงตินหวนก๋งด้วยจิวหูกับเซ็กฮอบุตรข้าพเจ้าคบคิดกันฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่ซึ่งเป็นเจ้าเมืองโอยหลานท่านกับครอบครัวเสียสิ้น บัดนี้จิวหูตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอยและคนทั้งสองนี้นํ้าใจหยาบช้านัก นานไปจะเป็นเสี้ยนหนามในแผ่นดิน ครั้นข้าพเจ้าจะกำจัดเสีย ตัวข้าพเจ้าเล่าก็แก่ชรา ทแกล้วทหารซึ่งจะเป็นกำลังก็น้อยเห็นจะทำมิสำเร็จ บัดนี้จิวหูกับเซ็กฮอจะไปหาท่านหวังใจจะให้ท่านทูลขอตราตั้งเป็นเจ้าเมืองโอย ขอท่านจงเห็นแก่แผ่นดินทั้งกรุณาข้าพเจ้าด้วย ถ้าจิวหูเซ็กฮอไปถึงเมืองแล้ว ท่านจงจับฆ่าเสียทั้งสองคนให้จงได้ เซ็กซกครั้นเขียนหนังสือแล้วจึงให้คนใช้ที่สนิทเอาไปให้ตินหวนก๋ง ณ เมืองติน ตินหวนก๋งแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงส่งหนังสือให้จูหำดูแล้วว่า เราสำคัญว่ากีชุนอ๋วนเป็นปัจจุบันตาย เหตุทั้งนี้หารู้ไม่ เราจะทำตามหนังสือเซ็กซกจะผิดชอบประการใด

จูหำจึงว่า เซ็กซกบอกมานี้เป็นการแผ่นดินควรทำตามหนังสือเซ็กซกเถิดหาผิดไม่ ตินหวนก๋งก็เห็นด้วย จึงให้ก๋งจูโตคุมทหารออกไปคอยรับจิวหู ณ กงก๋วนนอกเมืองอย่าให้จิวหูสะดุ้งสะเทือนได้ แล้วให้จัดที่ไทเบี้ยวซึ่งไว้รูปพระมหากษัตริย์แต่ก่อนนั้นเป็นที่จะรับจิวหู และที่ประตูนั้นเขียนหนังสือแขวนไว้ว่าผู้ใดเป็นข้าไม่รู้จักคุณเจ้าเป็นบุตรไม่รู้จักคุณบิดา ห้ามมิให้เข้าไปในที่ไทเบี้ยว

ฝ่ายจิวหูครั้นมาถึงเมืองติน ก๋งจูโตแจ้งออกไปรับพามากงก๋วนถ้อยทีถ้อยคำนับกัน ก๋งจูโตจึงว่า ตินหวนก๋งนายข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านมา จึงให้ข้าพเจ้ามาคอยรับท่าน ให้ท่านพักอยู่กงก๋วนให้สบายก่อน เพลาพรุ่งนี้จึงจะเชิญท่านเข้าไปในเมือง แล้วก๋งจูโตให้แต่งโต๊ะเลี้ยงจิวหูกับทหารทั้งปวง

ฝ่ายตินหวนก๋งครั้นเพลารุ่งเช้ามา ณ ที่ไทเบี้ยว ขุนนางและทหารทั้งปวงก็ยืนอยู่ตามตำแหน่ง จึงให้จูหำออกไปรับจิวหู ณ กงก๋วน จิวหูก็ให้เซ็กฮอมากับจูหำก่อน ตัวจิวหูนั้นขี่เกวียนคุมของมาภายหลัง เซ็กฮอกับจูหำครั้นมาถึงประตูไทเบี้ยวก็หยุดอยู่คอยท่าจิวหู เซ็กฮอเห็นหนังสือที่แขวนไว้หน้าประตูก็สะดุ้งใจ จึงถามจูหำหนังสือแขวนไว้นี้ประโยชน์สิ่งใด จูหำจึงบอกว่า หนังสือซึ่งแขวนไว้ หวังมิให้คนทั้งปวงประมาท ให้คิดถึงท่านผู้มีคุณ

เซ็กฮอก็นิ่งนึกอยู่ พอจิวหูมาถึงจูหำก็พาเข้าไปในที่ไทเบี้ยว จิวหูกับเซ็กฮอน้อมตัวลงจะคำนับตินหวนก๋ง จูหำจึงร้องบอกทหารว่า เราจงเร่งจับคนร้ายตามรับสั่ง ทหารก็กลุ้มรุมจับจิวหูกับเซ็กฮอมัดไว้ แล้วพามาอยู่นอกไทเบี้ยว จูหำก็เอาหนังสือเซ็กซกให้มานั้นคลี่ลงที่โต๊ะให้ขุนนางทั้งปวงดู แล้วสั่งให้ทหารเอาตัวจิวหูกับเซ็กฮอไปฆ่าเสีย

ขุนนางทั้งปวงจึงว่ากับตินหวนก๋งว่า ซึ่งท่านให้ฆ่าเซ็กฮอบุตรเซ็กซกเสียบัดนี้ คนทั้งปวงก็จะว่าท่านใจเบา ด้วยประเวณีบุตรกับบิดาเมื่อโกรธก็ว่าไปตามโกรธ ครั้นหายโกรธแล้วก็มีความกรุณาแก่บุตร ขอท่านจงมีหนังสือแจ้งข้อความซึ่งจับจิวหูกับเซ็กฮอไว้ได้นั้นไปถึงเซ็กซกก่อน เมื่อเซ็กซกจะว่าประการใด จึงค่อยทำตามต่อภายหลัง คนทั้งปวงจึงจะไม่ครหานินทาท่าน ตินหวนก๋งก็เห็นด้วยจึงให้เอาตัวจิวหูกับเซ็กฮอไปแยกกันคุมไว้ แล้วให้คนใช้ถือหนังสือไปถึงเซ็กซก ณ เมืองโอยตามคำขุนนางปรึกษา

เซ็กซกครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้นก็หัวเราะว่า ตินหวนก๋งสำคัญว่าเรายังอาลัยแก่บุตรอยู่ เซ็กซกก็พาหนังสือตินหวนก๋งเข้าไปในที่ออกขุนนาง ให้หาขุนนางมาประชุมพร้อมแล้ว เอาหนังสือนั้นให้ขุนนางทั้งปวงดู และใจความในหนังสือนั้นว่า ซึ่งเซ็กซกบอกไปว่าจิวหูกับเซ็กฮอเป็นคนหยาบช้าฆ่ากีชุนอ๋วนหลานเราเสีย ท่านจะคิดจับจิวหูมิได้ มีหนังสือไปถึงเรา เราก็จับจิวหูกับเซ็กฮอไว้ได้แล้ว ให้เซ็กซกแต่งขุนนางเมืองโอยมากำกับฆ่าจิวหูเซ็กฮอให้เห็นประจักษ์ด้วยกันก่อน

ขุนนางทั้งปวงแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่ากับเซ็กซกว่า จิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่เสีย ท่านจะฆ่าจิวหูให้ตายตามกันก็ควรอยู่แล้ว แต่เซ็กฮอนั้นเป็นแต่ร่วมรู้ด้วยจิวหู ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอชีวิตเซ็กฮอไว้ครั้งหนึ่งก่อน เซ็กซกได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านทั้งปวงก็เป็นข้าแผ่นดินพระเจ้าฮวนอ๋อง ชอบแต่ช่วยกันกำจัดผู้หยาบช้าเสี้ยนหนามในแผ่นดินจึงจะควร เมื่อคิดกลับหน้ากันอยู่ฉะนี้ ราชการแผ่นดินจะมิเสียไปหรือ เราจะไปฆ่าเซ็กฮอเอง แต่ที่จะฆ่าจิวหูผู้ใดจะไปเล่า

อิวใจทิวขุนนางนายทหารมีความพยาบาทจิวหูอยู่จึงว่า ข้าพเจ้าจะขอไปฆ่าจิวหูเอง อีเอียวเกี๋ยนคนสนิทของเซ็กซกมีความพยาบาทแก่เซ็กฮออยู่แต่ก่อนจึงว่า ท่านก็แก่ชราแล้วอย่าไปให้ลำบากเลย ข้าพเจ้าจะไปฆ่าบุตรท่านเอง เซ็กซกก็ให้อิวใจทิวกับอีเอียวเกี๋ยนไปกับผู้ถือหนังสือตินหวนก๋ง อิวใจทิว อีเอียวเกี๋ยน ครั้นไปถึงเมืองตินก็เข้าไปคำนับตินหวนก๋ง ตินหวนก๋งก็ให้พาอิวใจทิวไปที่จำจิวหู ให้อีเอียวเกี๋ยนไปที่จำเซ็กฮอ อิวใจทิวครั้นไปถึงที่จำจิวหู จิวหูเห็นก็ว่าตัวเป็นนายทหารอยู่ในเรา ซึ่งตัวทำสง่าดังนี้จะมาทำร้ายเราหรือ อิวใจทิวจึงว่า ท่านทำกีชุนอ๋วนนายข้าพเจ้าฉันใด ข้าพเจ้าก็จะทำแก่ท่านฉันนั้น แล้วให้ทหารเอาตัวจิวหูมาฆ่าเสีย

ฝ่ายเซ็กฮอ ครั้นเห็นอีเอียวเกี๋ยนบ่าวเซ็กซกผู้บิดาเข้ามาจึงถามว่า ท่านมาด้วยธุระด้วยสิ่งอันใด อีเอียวเกี๋ยนจึงว่า ท่านทำผิดไว้ประการใดเล่า เซ็กฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ด้วยรู้ว่าตัวจะตาย จึงว่ากับอีเอียวเกี๋ยนว่า เราจะตายก็ไม่อาลัยแก่ชีวิต แต่ท่านได้กรุณาพาเราใส่กรงไปเมืองโอยให้เราได้เห็นหน้าบิดาเราสักหน่อยเถิด อีเอียวเกี๋ยนจึงว่า บิดาท่านสั่งเป็นอันขาดแล้ว ถ้าจะเอาศีรษะท่านไปให้บิดาท่านดูพอจะได้อยู่ อีเอียวเกี๋ยนก็เอาตัวเซ็กฮอมาฆ่าเสีย แล้วอิวใจทิวกับอีเอียวเกี๋ยนก็ลาตินหวนก๋งมาแจ้งความแก่เซ็กซกทุกประการ

ฝ่ายก๋งจูจีนน้องร่วมท้องกับกีชุนอ๋วน เมื่อจิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่เสียชิงเอาสมบัติ ทหารพาก๋งจูจีนหนีไปอยู่เมืองเหง ครั้งแจ้งว่าเซ็กซกฆ่าจิวหูเสียแล้วก็ยินดีนัก จึงพาพรรคพวกรีบมาเมืองโอย เซ็กซกและขุนนางทั้งปวงรู้ก็ออกไปเชิญเข้ามาในเมือง ครั้นถึงวันฤกษ์ดีเซ็กซกก็เชิญก๋งจูจีนให้นั่งที่ออกขุนนาง แล้วเอาตราสำหรับที่เจ้าเมืองมอบให้เป็นที่จิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอย ขุนนางทั้งปวงก็คำนับพร้อมกันตามธรรมเนียม จิวหวนก๋งจึงตั้งเซ็กซกเป็นที่ก๊กโล แปลว่าสำเร็จราชการ แล้วแต่งสิ่งของเครื่องคำนับส่งไปให้เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองตินก็ตอบตามธรรมเนียม

ฝ่ายหงอเสงเจ้าเมืองเตง ครั้นแจ้งว่าเซ็กซกคิดฆ่าจิวหูเสียยกก๋งจูจีนซึ่งเป็นน้องร่วมครรภ์กับกีชุนอ๋วนขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอย หงอเสงก็ดีใจจึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า จิวหูยกมาตีเมืองเรา เราจะคิดแก้แค้นอยู่บัดนี้มีผู้ทำแทนแล้ว แต่เมืองซองนั้นคบคิดกันกับจิวหูให้ทหารยกทัพเหยียบแดนเราเข้ามามิได้เกรงใจเรา จำจะทดแทนให้หายแค้น

ชัวจกที่ปรึกษาจึงว่า เมืองฬ่อ เมืองโอย เมืองติน เมืองชัว ทั้งสี่หัวเมืองนี้ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเมืองซอง ถ้าเรายกไปตีเมืองซองก็เห็นเมืองทั้งสี่จะไปช่วย จำจะคิดเป็นไมตรีกับเมืองตินเสียก่อน ถ้าเมืองตินเป็นพวกเราแล้ว เมืองฬ่อ เมืองโอย เมืองชัว ก็จะพลอยเข้ากับเรา ท่านจะยกไปเมืองซองก็จะได้โดยง่าย

หงอเสงก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงสิ่งของให้ขุนนางไปให้เจ้าเมืองติน ตินหวนก๋งจึงปรึกษากองจูโตว่า หงอเสงเจ้าเมืองเตงให้ของมาเป็นไมตรีกับเรา ท่านจะเห็นประการใด กองจูโตจึงว่า เมืองเตงกับเมืองเราอยู่ใกล้กัน ถ้าเป็นศัตรูกันระวังยาก ซึ่งเจ้าเมืองเตงมาขอเป็นไมตรีกันนั้น ดังหนึ่งเอาแก้วมาให้ท่าน จงเป็นทางไมตรีกับเจ้าเมืองเตงเถิด

ตินหวนก๋งจึงว่า หงอเสงเป็นคนพูดเพราะใจหาเหมือนกับปากไม่ ซึ่งขอเป็นไมตรีนี้เราเห็นว่าจะเป็นอุบาย จะเชื่อว่าจริงยังหาได้ไม่ ท่านจงออกไปบอกผู้ซึ่งมานั้นว่าเราจะตรึกตรองดูก่อน กองจูโตก็ออกมาบอกกับขุนนางเมืองเตงตามคำตินหวนก๋งสั่ง ขุนนางเมืองเตงก็กลับมาแจ้งความแก่หงอเสงทุกประการ หงอเสงจึงว่ากับชัวจกว่า ตินหวนก๋งไม่ยอมเป็นไมตรีกับเรา ท่านจะคิดอ่านประการใด ชัวจกจึงว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่งจะให้ตินหวนก๋งเป็นไมตรีกับเราให้จงได้ แล้วชัวจกก็กระซิบบอกกับหงอเสงตามซึ่งคิดไว้ หงอเสงก็เห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารม้าลำพองพันหนึ่งสั่งเป็นความลับ นายทหารก็คุมทหารรีบไป ทำอาการเหมือนดังจะเที่ยวไล่เนื้อ หวังจะมิให้ชาวเมืองตินสงสัย ครั้นล่วงเข้าไปในด่านก็ตีบ้านรายทางริบเอาทรัพย์สิ่งของ จับราษฎรชายหญิงได้ประมาณสองร้อยเศษ แล้วรีบกลับมาเมืองเตงเล่าความแก่หงอเสงทุกประการ หงอเสงจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้เองขอซกคุมครอบครัวกับสิ่งของซึ่งตีได้มานั้นรีบไปเมืองติน

ขณะเมื่อทหารเมืองเตงมาตีปลายแดนเมืองตินนั้น ตินหวนก๋งรู้จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่าซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้เพราะเราไม่ยอมเป็นไมตรีกับหงอเสง หงอเสงดูหมิ่นเรา ท่านทั้งปวงจะคิดประการใดจึงจะแก้แค้นได้ ขุนนางทั้งปวงยังมิได้ว่าประการใด พอนายประตูมาบอกว่าเองขอซกพาทหารเมืองเตงคุมครอบครัวซึ่งตีไปได้นั้นจะมาคืนให้แก่ท่าน ตินหวนก๋งก็ให้เอาตัวเข้ามา เองขอซกคำนับส่งหนังสือให้ตินหวนก๋ง ตินหวนก๋งฉีกผนึกออกอ่านใจความในหนังสือนั้นว่า หงอเสงเจ้าเมืองเตงคำนับมาถึงตินหวนก๋ง ด้วยเราทั้งสองเมืองนี้ก็เป็นข้าพระเจ้าฮวนอ๋อง ข้าพเจ้าคิดอยู่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านเหมือนพี่กับน้อง บัดนี้ชาวบ้านปลายแดนเมืองเตงซึ่งไม่รู้ว่าข้าพเจ้ากับท่านรักใคร่กัน บังอาจไปจับเอาคนในแดนเมืองท่านมาประมาณสองร้อยเศษ ข้าพเจ้าแจ้งก็วิตกนักด้วยเกรงใจท่าน จึงให้เองขอซกคุมไพร่ชายหญิงมาคืนให้แก่ท่าน ท่านอย่าน้อยใจเลยจงเห็นแก่ไมตรีซึ่งมีมาแต่ก่อนนั้นด้วยเทอญ

ตินหวนก๋งแจ้งดังนั้นมิได้รู้ในกลอุบาย จึงว่ากับเองขอซกว่า เราไม่เห็นเลยว่านํ้าใจหงอเสงสุจริตรักเราถึงเพียงนี้ ซึ่งเรามิได้รับสิ่งของไว้แต่ก่อน อย่าให้หงอเสงถือโทษโกรธเราเลย จะได้รักกันไปภายหน้า แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเองขอซกตามธรรมเนียม เองขอซกก็ลากลับมาเมืองเตง แจ้งความแก่หงอเสงทุกประการ หงอเสงก็ดีใจจึงปรึกษาชัวจกว่า เมืองตินกับเมืองเราก็เป็นไมตรีกันแล้ว เราจะยกไปตีเมืองซองท่านจะเห็นประการใด ชัวจกจึงว่า เมืองซองนั้นเป็นเมืองใหญ่ ซึ่งจะทำโดยเร็วนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าครั้งก่อนท่านจะไปเมืองหลวงเฝ้าพระเจ้าฮวนอ๋อง พอจิวหูฆ่ากีชุนอ๋วนผู้พี่เสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอยยกมาตีเมืองเราท่านจึงมิได้ไปเมืองหลวง ครั้งนี้ท่านจงจัดเครื่องบรรณาการขนไปเฝ้าพระเจ้าฮวนอ๋องให้เป็นเกียรติยศไว้หัวเมืองทั้งปวงก็จะได้ยำเกรงท่าน การซึ่งจะทำแก่เมืองซองนั้นจึงค่อยคิดต่อภายหลังเห็นจะได้โดยง่าย

หงอเสงก็เห็นชอบด้วย จึงจัดเครื่องบรรณาการบรรทุกเกวียนพร้อมด้วยทหารออกจากเมืองเตงไปถึงเมืองหลวง เข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้นำขึ้นเฝ้าพระเจ้าฮวนอ๋อง พระเจ้าฮวนอ๋องเห็นหงอเสงก็เคืองพระทัยนัก ด้วยแต่ก่อนนั้นหงอเสงให้ชัวจกมาเกี่ยวข้าวสาลีในนาหลวงไปหลายร้อยเกวียน จึงตรัสถามประชดหงอเสงว่า บ้านเมืองท่านข้าวสาลีบริบูรณ์อยู่หรือ หงอเสงไม่ทันคิดจึงกราบทูลว่า ด้วยพระเดชบารมีปกแผ่ไป แขวงจังหวัดเมืองเตงข้าวสาลีบริบูรณ์อยู่ พระเจ้าฮวนอ๋องจึงตรัสว่า ท่านได้ข้าวสาลีของเราไปเป็นพืชครั้งนั้น เมืองท่านจึงไม่ขัดสนข้าวสาลี หงอเสงคิดได้ก็ตกใจก้มหน้านิ่งอยู่มิได้กราบทูลประการใด พระเจ้าฮวนอ๋องจึงตรัสสั่งให้พระราชทานข้าวสาลีแก่หงอเสงสองร้อยเกวียนเป็นเชิงประชดหงอเสง แล้วเสด็จขึ้นมิได้ตรัสประการใด พระราชทานโต๊ะตามธรรมเนียม

หงอเสงเสียใจนัก ครั้นออกมามาถึงกงก๋วน จึงเล่าความให้ชัวจกฟังแล้วว่า เราคิดจะไม่เอาข้าวสาลีที่พระราชทานนั้นไป ท่านจะเห็นประการใด ชัวจกจึงว่า ซึ่งท่านจะไม่รับข้าวสาลีที่พระราชทานนั้น พระเจ้าฮวนอ๋องก็จะขัดเคืองมากไป ความทั้งนี้ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าพระเจ้าฮวนอ๋องขัดเคืองท่านหามิได้ สุดแต่ท่านได้ของไปแล้วก็จะเป็นเกียรติยศ หงอเสงก็ตรึกตรองอยู่ พอผู้รักษาประตูกงก๋วนเข้ามาบอกหงอเสงว่า จิวก๋งเซ็กเตียนจะเข้ามาหาท่าน หงอเสงก็ออกไปรับพามานั่งที่สมควร ถ้อยทีคำนับกัน จิวก๋งเซ็กเตียนจึงว่า ท่านกับข้าพเจ้ามิได้พบกันหลายปีแล้ว ครั้นแจ้งว่าท่านมาจึงจัดสิ่งของมาให้แก่ท่าน หงอเสงก็รับของไว้แล้วแต่งโต๊ะเชิญจิวก๋งเซ็กเตียนเสพสุราตามธรรมเนียม แล้วจิวก๋งเซ็กเตียนก็ลาไป

หงอเสงจึงถามชัวจกว่า จิวก๋งเซ็กเตียนเอาของมาให้เรานี้ ท่านเห็นว่าจะมีธุระประการใด ชัวจกจึงว่าข้าพเจ้าคิดเห็นว่า พระเจ้าฮวนอ๋องมีพระราชบุตรสองพระองค์ บุตรผู้พี่ชื่อโต บุตรผู้น้องชื่อเค็ก แต่เค็กนั้นพระราชบิดารักนัก มอบให้จิวก๋งเซ็กเตียนสอนหนังสือ ข้าพเจ้าเห็นว่าจิวก๋งเซ็กเตียนจะใคร่ให้เด็กได้ราชสมบัติ จึงมาทำไมตรีไว้แก่ท่าน หมายว่าไปเบื้องหน้าจะอาศัยกำลังท่าน อันจิวก๋งเซ็กเตียนเอาของมาให้ท่านครั้งนี้เหมือนหนึ่งช่วยตีเมืองซองให้แก่ท่าน หงอเสงได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ชัวจกว่า ท่านว่าคำนี้เรายังสงสัยอยู่ ชัวจกจึงตอบว่า เมื่อท่านมาเมืองหลวงครั้งนี้หัวเมืองตะวันออกก็รู้อยู่เป็นหลายหัวเมือง ท่านได้สิ่งใดไปคนทั้งปวงก็คงเข้าใจว่าเป็นของพระราชทานทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะเอาฟางมามัดเข้า เอาโหมดและแพรที่จิวก๋งเซ็กเตียนเอามาให้แก่ท่านนี้หุ้มข้างนอกบรรทุกเกวียนให้ได้สักยี่สิบเล่มกับจะจัดเตรียมสาตราวุธให้พร้อม แล้วให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า ซวนก๋งเจ้าเมืองซองมิได้แต่งเครื่องบรรณาการมาเมืองหลวงตามธรรมเนียม พระเจ้าฮวนอ๋องจึงตั้งท่านเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองซองจับซวนก๋งส่งไปเมืองหลวง และธงสำหรับทัพนั้นจารึกอักษรสี่ตัวว่า ถองถีโลเกียน แปลว่าทัพเมืองหลวงมาลงโทษเมืองซอง หัวเมืองทั้งปวงแจ้งกิตติศัพท์ แลเห็นธงสำคัญก็จะเข้าด้วยท่าน ถ้าเมืองใดชอบพอกับซวนก๋งก็มิอาจจะช่วยเมืองซองก็จะถอนกำลังลง เห็นเราจะตีได้โดยง่าย หงอเสงได้ฟังดังนั้นยินดีนัก ยกมือลูบหลังชัวจกแล้วว่า การครั้งนี้จะสำเร็จก็เพราะสติปัญญาท่าน แล้วก็จัดแจงการทั้งปวงตามคำชัวจกว่า ถึงเพลาก็เข้าไปเฝ้าทูลลาว่าจะกลับไปเมืองเตง ครั้งรุ่งเช้าหงอเสงก็ยกออกจากเมืองตังจิว ทหารในกองทัพหงอเสงต่างคนพูดกันกับชาวเมืองทั้งปวงว่า มีรับสั่งใช้ให้นายเราไปจับซวนก๋ง เจ้าเมืองซอง กิตติศัพท์ก็เล่าลือกันต่อไป

ซวนก๋งเจ้าเมืองซองแจ้งดังนั้นตกใจ จึงให้หาขุนนางและทหารทั้งปวงมาปรึกษาว่า ทัพหงอเสงจะมาตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านป้องกันประการใด ของฮูแก๋จึงว่า หงอเสงยกมาครั้งนี้ การซึ่งจะสู้รบนั้นไม่วิตกนัก แต่ได้ยินกิตติศัพท์ว่า พระเจ้าฮวนอ๋องให้มาลงโทษท่าน ข้าพเจ้าก็ได้แต่งคนไปสืบ ณ เมืองหลวงหลายวันแล้วยังหากลับมาไม่ ครั้นจะอ่อนน้อมแก่หงอเสงบัดนี้ ถ้ามิได้มีรับสั่งพระเจ้าฮวนอ๋องเหมือนคำลือก็จะได้ความอัปยศนัก แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอยเป็นบุตรเลี้ยงนางจงเกียง ซึ่งเป็นน้องภรรยาเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋กับหงอเสงเป็นคนรักกัน เมืองโอยกับเมืองเราก็เคยอาศัยทแกล้วทหารกันอยู่ ถ้าท่านมีหนังสือให้ไปถึงเมืองโอยให้ช่วยว่ากล่าวเจ๋ฮูก๋ง ให้เจฮูก๋งไกล่เกลี่ยหงอเสงอย่าให้มาตีเมืองเรา ถึงหงอเสงจะมิฟังก็แต่พอหน่วงทัพหงอเสงให้ช้าวันไว้ พอคนใช้ข้าพเจ้ากลับมาแต่เมืองหลวง ถ้ามีรับสั่งพระเจ้าฮวนอ๋องจริง เราจะต้องอ่อนน้อม ถ้าไม่มีรับสั่งแล้วจะเกรงอะไรกับหงอเสง

ซวนก๋งก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งกับแพรสีต่างๆ สิ่งละสองร้อยพับให้คนใช้รีบเอาไปให้จิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองโอยรับเอาหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดูใจความว่า ซวนก๋งอวยพรมาถึงจิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอย ด้วยข้าพเจ้าแจ้งความว่าหงอเสงจะมาตีเมืองเรา จิวหวนก๋งจงเห็นแก่ไมตรีซึ่งมีมาต่อกันแต่ก่อนช่วยว่ากล่าวเจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋ ให้เจ๋ฮูก๋งห้ามปรามหงอเสงอย่าให้มาตีเมืองเราได้ คุณท่านจะมีกับเราเป็นอันมาก จิวหวนก๋งแจ้งดังนั้นจึงแต่งหนังสือเป็นใจความว่า จิวหวนก๋งคำนับมาถึงเจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งว่าหงอเสงจะยกไปตีเมืองซอง และเจ้าเมืองซองกับข้าพเจ้าจะเป็นคนชอบกันอยู่ มีธุระสิ่งใดก็ได้พึ่งพาอาศัยกัน ท่านกับหงอเสงก็ชอบกันมาช้านาน จงกรุณาข้าพเจ้าช่วยห้ามปรามหงอเสงอย่าให้ไปทำอันตรายแก่เมืองซองเลย

เจ๋ฮูก๋งแจ้งความในหนังสือนั้นแล้ว จึงสั่งผู้ถือหนังสือว่า เรารู้อยู่ว่าหงอเสงออกจากเมืองหลวงหลายวันแล้ว เห็นจะมาถึงตำบลเหยียด ให้จิวหวนก๋ง ซวนก๋ง ไปพร้อมกันที่ตำบลเหยียดเทอญ เราจะช่วยโน้มน้าวประนีประนอมกันเสีย ผู้ถือหนังสือก็กลับไปแจ้งความแก่จิวหวนก๋ง จิวหวนก๋งให้คนใช้ไปบอกซวนก๋ง ซวนก๋งแจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงพาทหารคนสนิทประมาณสิบสี่คนไปตำบลเหยียด พอเจ้าเมืองเจ๋เจ้าเมืองโอยไปถึงถ้อยทีคำนับกันแล้วก็คอยท่าหงอเสงอยู่จนเวลาบ่ายมิได้เห็นหงอเสงมา เจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋จึงว่าเวลาวันนี้เห็นหงอเสงยังไม่มาถึงเราจะลาท่านทั้งสองไปก่อน

เจ๋ฮูก๋งลุกขึ้นจะไป ซวนก๋งจึงยึดเสื้อไว้แล้วว่า เชิญท่านอยู่สักหน่อยหนึ่งก่อน ข้าพเจ้าจะสนทนาด้วย เจ๋ฮูก๋งก็หยุดนั่งลง ซวนก๋งจึงให้ยกโต๊ะมา เชิญเจ๋ฮูก๋งกับจิวหวนก๋งเสพสุรา ซวนก๋งจึงว่ากับเจ๋ฮูก๋งว่า ซึ่งท่านอุตส่าห์มาถึงนี่ คุณท่านก็ย่อมอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก แต่ท่านได้ทำคุณแล้วก็ทำให้ตลอดเทอญ ถ้าหงอเสงยกมาตีเมืองซอง ท่านจงช่วยอุดหนุนข้าพเจ้าด้วย แล้วซวนก๋งก็เอาแพรกับหมวกซึ่งจัดมาจะให้หงอเสงนั้นให้แก่เจ๋ฮูก๋ง เจ๋ฮูก๋งก็รับไว้แล้วว่าท่านอย่าวิตกเลยถ้ารู้แล้วจะช่วยตามสติกำลัง

จิวหวนก๋งจึงว่ากับเจ๋ฮูก๋งว่า ซวนก๋งเจ้าเมืองซองมีคุณกับข้าพเจ้า ท่านจงรับเป็นไมตรีแก่ซวนก๋งเถิด เราทั้งสามเมืองจะได้ร่วมสุขทุกข์กันสืบไป เจ๋ฮูก๋งขัดมิได้ก็รับเป็นไมตรีแก่ซวนก๋ง ซวนก๋งก็สับเอาโลหิตใส่ในสุราร่วมสาบานกับเจ๋ฮูก๋ง จิวหวนก๋งต่างก็เสพสุราเข้าไป ครั้นทำสัตย์กันแล้วต่างคนก็กลับไปเมือง

ฝ่ายพระเจ้าฮวนอ๋องครั้นหงอเสงไปจากเมืองหลวงแล้ว จึงปรึกษากับจิวก๋งเซ็กเตียนว่า เราคิดอ่านถอดหงอเสงออกเสียจากที่เจ้าเมืองเตงจะให้เค็กฮูเป็นที่แทนท่านจะเห็นประการใด จิวก๋งเซ็กเตียนจึงทูลว่า หงอเสงเป็นเจ้าเมืองเตงมาช้านานแล้วหามีความผิดไม่ ราษฎรก็รักใคร่มาก ซึ่งจะถอดเสียจากที่และให้เค็กฮูเป็นแทนที่นั้น เห็นราษฎรจะไม่ปกติ พระเจ้าฮวนอ๋องก็มิได้ตรัสประการใด มีผู้เอาความซึ่งพระเจ้าฮวนอ๋องตรัสนั้นลอบไปบอกแก่หงอเสง หงอเสงหัวเราะแล้วว่า ซึ่งพระเจ้าฮวนอ๋องจะถอดเราเสียจากที่เจ้าเมืองเตงนั้นเราไม่วิตก เกรงแต่เค็กฮูจะเป็นที่เจ้าเมืองเตงไปมิได้

ขณะนั้นพอมีผู้มาบอกแก่หงอเสงว่า เจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋ จิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอย ซวนก๋งเจ้าเมืองซอง มาทำสัตย์เป็นไมตรีกัน ณ ตำบลเหยียดเห็นจะรวมทหารไปป้องกันเมืองซอง หงอเสงก็เอาข้อความนั้นปรึกษากับชัวจก ชัวจกจึงว่าเมืองโอยกับเมืองซองนั้นเป็นไมตรีกันมาช้านานแล้ว แต่เมืองเจ๋นั้นพึ่งเป็นไมตรีกับเมืองซอง เพราะเห็นแก่จิวหวนก๋งเจ้าเมืองโอย ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าท่านมีหนังสือเป็นข้อรับสั่งไปถึงเจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋เห็นจะทิ้งไมตรีเจ้าเมืองซองเสีย จะยกมาช่วยท่านเป็นมั่นคง แม้นท่านได้เจ้าเมืองเจ๋มาเป็นกำลังแล้ว ก็จะได้เมืองฬ่อด้วย เมืองฬ่อกับเมืองเจ๋นั้นเป็นเกี่ยวดองกัน และหัวเมืองเหล่านั้นถ้าเมืองใดมิมาช่วยท่านเมื่อเสร็จการเมืองซองแล้ว จึงยกไปตีสักเวลาเดียวก็จะได้

หงอเสงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงแต่งเป็นหนังสือลับสองฉบับให้ทหารรีบเอา ไปให้เจ้าเมืองเจ้ฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองฬ่อฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองเจ๋แจ้งความในหนังสือก็สำคัญว่ารับสั่งจริง จึงให้อีจงเลียนผู้น้องคุมทหารเกวียนรบสองร้อยเล่มพร้อมด้วย ทหารยกไปกับผู้ถือหนังสือ

ฝ่ายเจ้าเมืองฬ่อแจ้งในหนังสือ ก็ให้ก๋งจูหุนคุมทหารเกวียนรบสามร้อยเล่ม รบยกไป อีจงเลียนก๋งจูหุนทั้งสองครั้นไปถึงตำบลเขาไซกีก็เข้าไปคำนับหงอเสง หงอเสงจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทหารทั้งสองแล้ว หงอเสงจึงจัดทัพให้ก๋งจูดีเป็นทัพหน้า ให้อีจงเลียนเป็นปีกซ้าย ให้ก๋งจูหุนทหารเมืองฬ่อเป็นปีกขวา ให้โกกีนีกับเองขอซกอยู่ในกองหลวง ให้กองซุนอีเป็นทัพหลังให้กลับไปรักษาเมืองเตง แล้วหงอเสงให้ยกไปเมืองซอง คนนำทางมาแจ้งแก่หงอเสงว่า ยังอีกพักม้าหนึ่งจะถึงแดนเมืองซอง

หงอเสงจึงให้หาก๋งจูดีแม่ทัพหน้ามาสั่งว่า หนทางเมืองซองนั้นเมืองโลเถียวอยู่ต้นทางแต่เป็นเมืองด่าน ท่านจงตีให้แตกในครู่เดียว ถ้าช้าอยู่จนม้าและเกวียนในกองหลวงคั่งกัน เราจะเอาโทษท่านถึงสิ้นชีวิต ก๋งจูดีก็ลามาจัดทหารเข้าโจมตี โลเถียวผู้รักษาเมืองต้านทานไม่ได้ก็หนีเอาตัวรอด ก๋งจูดีเข้าเมืองได้จับราษฎรชายหญิงได้ประมาณสองร้อยเศษ ได้เครื่องสาตราวุธไว้เป็นอันมาก พอหงอเสงมาถึง ก็ยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองโลเถียวปูนบำเหน็จทแกล้วทหารกองหน้าตามสมควร

อยู่มาสองวันหงอเสงก็สั่งเองขอซกกับก๋งจูหุนให้ยกไปตีเมืองเค็กเสีย แล้วให้ก๋งซุนอีกับอีจงเลียนไปตีเมืองหองเสียข้างตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองซอง ทหารทั้งสี่คนก็ลาไป อยู่อีกวันหนึ่งหงอเสงจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ซึ่งเราให้ทหารทั้งสี่คนยกไปตีเมืองสองตำบลนั้น เราเกรงแต่ชาวเมืองจะแต่งกองโจรออกวกหลังจะเสียที จึงสั่งให้ก๋งจูดียกหนุนไปช่วยเองขอซกตีเมืองเค็ก ถ้าทัพชาวเมืองออกโอบหลังจึงจะตีเข้าไปเป็นทัพกระหนาบ นายทหารทั้งสองก็จัดแจงทหารยกแยกกันไป หงอเสงก็เดินทัพล่วงด่านชั้นในเข้าประชิดเมืองซอง

ฝ่ายซวนก๋งเจ้าเมืองซอง ครั้งแจ้งว่าหงอเสงยกทัพใหญ่มาตีเมืองโลเถียวได้ก็ตกใจจึงปรึกษาของฮูแก๋ว่า หงอเสงได้ทหารเมืองฬ่อเมืองเจ๋เป็นกำลังยกมาตีเมืองโลเถียวได้แล้ว อีกสองวันจะยกเข้ามาตีเมืองเรา เราจะไปขอกองทัพเจ้าเมืองโอยมาช่วยป้องกันก็เห็นจะไม่ทันท่วงที เมืองเจ๋เล่าก็คืนคายคำสาบานเสียเแล้ว ท่านจะคิดสู้รบประการใด

ของฮูแก๋จึงว่า ซึ่งหงอเสงยกมาครั้งนี้ เห็นจะแอบรับสั่งแต่พอให้หัวเมืองยำเกรง คนซึ่งข้าพเจ้าแต่งให้ไปสืบเมืองหลวงก็หาได้ความข้อรับสั่งไม่ อันเมืองเจ๋เมืองฬ่อนั้นสำคัญว่ามีรับสั่งจริงจึงยกมาช่วยหงอเสง ถ้าจะให้ทัพทั้งสองเมืองเข้าชิดเชิงกำแพงจะป้องกันยาก ข้าพเจ้าจะอุบายให้หงอเสงเลิกทัพไปจงได้

ซวนก๋งจึงว่า หงอเสงได้ทีทำอยู่อุบายของท่านประการใดจะให้ทัพเลิกไปได้ ของฮูแก๋จึงว่าหงอเสงมาครั้งนี้ เห็นจะเกณฑ์ทหารเมืองเตงมาสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าให้ท่านมีหนังสือไปถึงจิวหวนก๋ง ให้ขอกองทัพเมืองชัวบรรจบทัพเมืองโอยยกไปตีเมืองเตง ถ้าหงอเสงรู้ก็จะเป็นกังวลหลังเห็นจะเลิกทัพไปเองหาต้องหนักมือเหนื่อยแรงทหารไม่

ซวนก๋งก็เห็นด้วยจึงว่า ซึ่งจะให้แต่งหนังสือไปถึงจิวหวนก๋งนั้น เราเกรงว่าจิวหวนก๋งจะไม่ร้อนรน การของเราสิจวนตัวอยู่แล้ว ถ้าช้าอยู่แต่เวลาเดียวก็เสียแก่หงอเสง เราจะใคร่ให้ท่านไปเองจึงจะวางใจได้ ของฮูแก๋ก็รับคำซวนก๋ง ซวนก๋งดีใจนัก จึงจัดทองแท่งกับโหมดและแพรต่างสีบรรทุกเกวียน เกณฑ์ทหารที่มีฝีมือเป็นอันมากให้ของฮูแก๋ ครั้นเวลาคํ่าของฮูแก๋ก็ออกจากเมืองซองรีบไปทั้งกลางวันกลางคืนถึงเมืองโอย จึงเข้าไปคำนับเล่าความทั้งปวงให้จิวหวนก๋งฟังทุกประการ

จิวหวนก๋งให้อิวใจทิวขุนนางทหารคุมทัพไปกับของฮูแก๋กองหนึ่ง แล้วแต่งหนังสือไปขอกองทัพให้คนถือไปเมืองชัว ของฮูแก๋ก็ยกรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นไปถึงแดนเมืองเตงก็ตีบ้านรายทางและหัวเมืองเล็กน้อยแตกเป็นหลายตำบล

ฝ่ายก๋งจูฮุดบุตรหงอเสงซึ่งรักษาเมืองเตง แจ้งว่าทัพเมืองโอยมาตีปลายแดน จึงปรึกษาชัวจกว่า ซึ่งจะละให้ทัพเมืองโอยเข้ามาถึงเชิงกำแพงนั้นข้าศึกจะได้ใจ จำจะยกออกตีเสียอย่าให้ทันตั้งมั่นลงได้ ชัวจกจึงว่า ในเมืองเรานี้ทหารกล้าแข็งบิดาท่านก็เกณฑ์ไปสิ้นเชิงแล้วยังแต่คนแก่ชรา ที่หนุ่มเล่าก็ล้วนไม่เคยทำศึก ซึ่งจะยกออกรบนั้นถ้าเสียท่วงทีบิดาท่านก็จะติโทษได้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะรักษาเมืองนิ่งมั่นไว้ ทัพเมืองโอยขาดเสบียงอาหารก็จะกลับไปเอง เราจึงค่อยยกออกตามตีเห็นจะได้ชัยชนะ ก๋งจูฮุดก็เห็นด้วยจึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ แล้วแต่งหนังสือให้ม้าใช้รีบไปแจ้งแก่หงอเสง ณ เมืองซอง

ฝ่ายอิวใจทิวครั้นมาใกล้เมืองเตง มิได้เห็นชาวเมืองออกรบก็ยกทหารเข้าตั้งประชิดเมือง แล้วให้ทำบันไดตระเตรียมไว้เป็นอันมากจะปีนเข้าปล้นเมืองเตงให้จงได้ ของฮูแก๋เห็นดังนั้นจึงว่า ซึ่งเรายกมาเมืองเตงครั้งนี้ เพราะจะให้หงอเสงกังวลเลิกทัพมาจากเมืองซอง ครั้นเราจะช้าวันอยู่ถ้าหงอเสงยกมาถึงเห็นจะเป็นศึกกระหนาบภายหลังจะแก้ตัวยาก ข้าพเจ้าคิดจะตีเมืองใต้ แต่พอคุ้มค่าเสบียงอาหาร ท่านจะเห็นประการใด

อิวใจทิวก็เห็นด้วยจึงยกไปตีเมืองใต้ เจ้าเมืองใตัก็รบพุ่งป้องกันเมืองเป็นสามารถ ของฮูแก๋กับอิวใจทิวเห็นจะหักเอาไม่ได้ ก็พาทหารมาตั้งค่ายมั่นอยู่ไกลเมืองประมาณร้อยยี่สิบเส้น แล้วแต่งทหารเข้าไปรบกับทหารเมืองใต้เป็นหลายครั้ง มิได้แพ้ชนะกัน ของฮูแก๋จึงไปเร่งกองทัพเมืองชัวมาช่วย

ฝ่ายเองขอซก ก๋งจูหุน ก๋งจูดีทัพหนึ่ง ก๋งชุนอี อีจงเลียน โกกีนีทัพหนึ่ง ซึ่งหงอเสงแต่งให้ไปตีเมืองเค็กเสีย เมืองหองเสีย นายทหารทั้งหกหัวเมืองครั้นไปตีเมืองสองตำบลได้แล้ว ต่างก็รีบกลับมาถึงค่ายประชิดเมืองซอง เข้าไปคำนับแจ้งความซึ่งตีเมืองเค็กเสียเมืองหองเสียได้นั้นให้หงอเสงฟังทุกประการ

ขณะนั้นหงอเสงแต่งทหารเข้าตีเมืองซองเป็นสามารถ ครั้นแจ้งว่าได้เมืองสองตำบลแล้วก็มีความยินดีนัก จึงให้ไปประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เมืองเค็กเสียเมืองหองเสียซึ่งขึ้นแก่เมืองซองเราก็ตีได้แล้ว บัดนี้นายเราก็เพิ่มเติมทหารมาอีก ให้ทหารทั้งปวงจงพร้อมใจกันรีบหักเอาเมืองให้จงได้ พอว่าขาดคำลงม้าใช้ซึ่งถือหนังสือก๋งซุนคุดนั้นมาถึง ก็เข้ามาคำนับส่งหนังสือให้หงอเสง หงอเสงรับหนังสือมาดูแจ้งว่าทัพเมืองโอยยกมาตีเมืองเตงก็ถอนใจใหญ่ คิดเสียดายด้วยจวนจะได้เมืองซองอยู่แล้ว หงอเสงก็เอาหนังสือใส่ซ่อนไว้ในมือเสื้อแล้วกำชับผู้ถือหนังสือว่า ความทั้งนี้อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดฟัง หงอเสงทำกิริยารื่นเริงอยู่จึงให้ตีม้าล่อสัญญาณขึ้น นายทหารทั้งปวงได้ยินเสียงม้าล่อก็พาทหารทั้งปวงถอยเข้าค่าย ต่างคำนับถามหงอเสงว่า ข้าพเจ้าตีเมืองซองเกือบได้แล้วเหตุผลประการใดท่านจึงให้ถอยมาเล่า

หงอเสงจึงแกล้งอุบายบอกว่า จะวิตกอะไรกับเมืองซอง เราเห็นภูมิฐานแล้ว จะหักเอาเมื่อใดก็จะได้เมื่อนั้น ประการหนึ่งทำเกินไปหนักต้องเอาทัพเมืองเจ๋ เมืองฬ่อมาด้วย บัดนี้ก็ตีเมืองเค็กเสียเมืองหองเสียทั้งสองตำบลได้ เราคิดจะยกเมืองทั้งสองให้เป็นบำเหน็จทัพเมืองเจ๋ เมืองฬ่อ บำรุงไมตรีทั้งสองเจ้าเมืองไว้ ทหารทั้งปวงก็เห็นด้วย

หงอเสงจึงให้หาก๋งจูหุนอีจงเลียนมาค่ายแล้วว่า ซึ่งท่านทั้งสองอุตส่าห์มาช่วยเราตีเมืองเค็กเสีย เมืองหองเสียได้นั้นเราขอบใจนัก เราเห็นว่าท่านจากบ้านเรือนมานานแล้ว ทหารในกองทัพท่านก็อิดโรยกำลังลง และเมืองซองนี้แต่ทหารในกองทัพเราก็พอจะหักเอาเมืองได้ เราคิดจะให้ท่านทั้งสองกลับไปก่อนและเมืองเค็กเสียนั้นใกล้แดนเมืองเจ๋ เราจะยกให้เป็นบำเหน็จอีจงเลียน เมืองหองเสียนั้นเราจะให้กับก๋งจูหุน

อีจงเลียนจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาช่วยท่านทั้งสองนี้เป็นราชการแผ่นดินใช่จะมาแต่ตามอำเภอใจนั้นหามิได้ จะเอาบำเหน็จเป็นประโยชน์แก่ตัวนั้นไม่ควร ก๋งจูหุนก็ว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารนายใช้ให้มาช่วย ซึ่งท่านยกเมืองหองเสียให้นั้นก็เป็นบำเหน็จของนาย ข้าพเจ้าจะต้องรับไว้ไปบอกนายข้าพเจ้าก่อน นายข้าพเจ้าว่าประการใดจึงจะสิทธิ์ขาด แล้วก๋งจูหุนก็ให้ทหารไปรักษาเมืองหองเสียไว้ หงอเสงจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง แล้วอีจงเลียนก๋งจูหุนต่างลากลับไปเมือง

อีจงเลียนมาถึงเมืองเจ๋ เล่าความซึ่งหงอเสงให้เมืองเค็กเสียและมิได้รับไว้นั้นให้ฮูก๋งผู้พี่ฟังทุกประการ แล้วว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านกับซวนก๋งเจ้าเมืองซองเป็นไมตรีกัน ถ้าจะรับเมืองเค็กเสียไว้ ซวนก๋งจะน้อยใจท่าน ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋จึงว่าซึ่งท่านมิได้รับก็ชอบอยู่แล้ว ฝ่ายก๋งจูหุนครั้นมาถึงก็เล่าความทั้งปวงให้เจ้าเมืองฬ่อฟัง เจ้าเมืองฬ่อก็มีความยินดี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ