๑๔

ฝ่ายหิมถองเจ้าเมืองฌ้อ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เมืองสุยมิได้ส่งเครื่องบรรณาการตามธรรมเนียมหลายปีแล้วจำจะยกไปกำจัดเสีย หัวเมืองขึ้นทั้งปวงจะไม่ดูเยี่ยงอย่าง ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วย หิมถองก็ให้เตรียมกองทัพไว้คอยวันฤกษ์ดีจะยกไปเมืองสุย พอหิมถองป่วยปัจจุบันตาย ขุนนางทั้งปวงตั้งจีหิมขึ้นเป็นฌ้อบุนอ๋อง ฝ่ายก๋งจูหยีไปถึงแดนเมืองฬ่อ ขณะนั้นนางบุนเกียงรู้ก็ออกมารับเชิญมา ณ ตำบลจกฉิว แล้วพากันมาอยู่ ณ ตำบลจัดตี เจ้าเมืองเจ๋จึงให้นางบุนเกียงมีหนังสือไปเชิญเจ้าเมืองฬ่อออกมา เจ้าเมืองฬ่อแจ้งหนังสือของมารดาก็ออกมาตำบลจัดตี คำนับเจ้าเมืองและมารดา ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋ผู้ลุงช่วยฝังศพนางเป๊กกีผู้พี่ มีความยินดีจึงว่ากับเจ้าเมืองเจ๋ว่า ซึ่งลุงช่วยฝังนางเป๊กกีนั้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณนัก เจ้าเมืองเจ๋ก็จัดตึกที่อยู่ให้เจ้าเมืองฬ่ออาศัย

นางบุนเกียงจึงว่ากับเจ้าเมืองฬ่อผู้บุตรว่า ลูกสาวเจ้าเมืองเจ๋รูปงาม มารดาคิดจะขอให้เป็นภรรยาเจ้า เขงหูเจ้าเมืองฬ่อจึงว่า โลหิตอันเดียวกันซึ่งจะเป็นผัวเมียกันนั้นไม่ควร นางบุนเกียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าตัวจะแกล้งให้ญาติของเราห่างไปเสียหรือ เจ้าเมืองฬ่อขัดมารดามิได้ก็ยอม นางบุนเกียงก็มาว่ากับเจ้าเมืองเจ๋ว่าจะขอบุตรีให้เป็นภรรยาเจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองเจ๋ก็ยอมให้ แต่ว่าบุตรีเรายังเด็กเราขอผลัดไว้ก่อน แล้วเจ้าเมืองเจ๋พาเจ้าเมืองฬ่อไปเที่ยวยิงเนื้อในป่า พบคนผู้หนึ่งเที่ยวอยู่เห็นเจ้าเมืองฬ่อจึงว่า ลูกนายเราคนนี้ลืมพ่อเก่า ดังนั้นก็โกรธเอาเกาทัณฑ์ยิงผู้นั้นตายแล้วให้เอาศพฝังเสีย เจ้าเมืองเจ๋ก็หาแจ้งความไม่ แต่เจ้าเมืองเจ๋พาเจ้าเมืองฬ่อเที่ยวเล่นป่าอยู่หลายวัน แล้วเจ้าเมืองเจ๋พานางบุนเกียงกลับเข้าเมืองเจ๋ เขงหูเจ้าเมืองฬ่อก็กลับไปเมือง

ฝ่ายก๋งจูซัวจึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋แล้วว่า ท่านตีเมืองกี๋ได้แล้วจงช่วยตีเมืองโอยแก้แค้นข้าพเจ้าด้วย ก๋งจูหยีว่านางองดีบุตรีพระเจ้าจองอ๋องตายแล้วเราจะยกไปตีเมืองโอย เจ้าเมืองเจ๋ก็ให้หนังสือไปขอกองทัพเมืองซอง เมืองฬ่อ เมืองซัว มาบรรจบทัพเมืองเจ๋ แล้วเกณฑ์ทหารหมื่นหนึ่งให้ก๋งจูซัวยกไปก่อน

ขณะเมื่อก๋งจูหยีเตรียมทัพจะยกไปตีเมืองโอยนั้น พระเจ้าจองอ๋องเสวยราชสมบัติได้แปดปี ก๋งจูหยีครั้นทัพทั้งสี่หัวเมืองถึงพร้อมแล้วก็ยกไปเมืองโอยตั้งล้อมอยู่ทั้งสี่ด้าน หงิมหมองจึงให้หลงกุ๋ยถือหนังสือไปกราบทูลพระเจ้าจองอ๋อง พระเจ้าจองอ๋องทราบจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จะให้ผู้ใดไปช่วยเมืองโอยได้

ขณะนั้นก๋งจูคุดเจ้าเมืองถันขึ้นไปรับราชการอยู่เมืองหลวงได้เป็นที่เหียสิวจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปช่วยเมืองโอยสนองพระคุณสักครั้งหนึ่ง พระเจ้าจองอ๋องได้ทรงฟังก็ดีพระทัยจึงตรัสว่า ก๋งจูคุดคนนี้เป็นบุตรหงอเสง หงอเสงก็แกล้วกล้าในการศึกมีสง่าเหมือนเสือ เห็นจะไม่เสียเชื้อ จึงตรัสสั่งก๋งจีหูกับไชกงเป๊กเกณฑ์ทหารให้ก๋งจูคุดเป็นแม่ทัพยกไปเมืองโอย ก๋งจีหูกับไชกงเป๊กได้ยินตรัสชมก๋งจูคุดก็คิดริษยาจึงเกณฑ์ทหารให้แต่พันเศษ ก๋งจูคุดได้ทหารน้อยก็เสียใจ ครั้นจะว่ากล่าวขอทหารอีก ตัวเป็นขุนนางผู้น้อยคิดเกรงก๋งจีหูกับไชกงเป๊ก ก็รีบยกทหารไปเมืองโอย ครั้นไปถึงเมืองโอยเห็นกองทัพหัวเมืองล้อมเมืองโอยอยู่สี่ด้าน ก๋งจูคุดก็ขับม้าพาทหารเข้าตีค่ายเมืองเจ๋ ก๋งจูหยีก็ให้แบ่งทหารยกออกรับทัพก๋งจูคุด ทัพทั้งสี่เมืองก็แบ่งทหารออกช่วยเจ้าเมืองเจ๋ ล้อมก๋งจูคุดเข้าเป็นหลายชั้น ต่างยิงเกาทัณฑ์พุ่งอาวุธถูกทหารก๋งจูคุดตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองเจ๋จึงร้องว่ากับก๋งจูคุดว่า ท่านตกอยู่กลางทหารเหมือนเสือเข้าจั่น อันจะรอดไปนั้นอย่าสงสัยเลย จงลงมาจากม้ามาให้เราจับไปโดยดีเถิด ก๋งจูคุดได้ฟังก็โกรธจึงร้องว่า เราเป็นชายชาติทหารเหมือนเสือ ซึ่งจะอ่อนน้อมต่อแพะนั้นหาต้องการไม่ ถึงจะตายก็คงไว้ชื่อให้ปรากฏในแผ่นดิน ก๋งจูคุดว่าแล้วก็ขับม้ารำทวนเข้าไล่แทงทหารทั้งห้าเมืองตายลงประมาณห้าสิบหกสิบเศษ ทหารทั้งห้าหัวเมืองก็หนุนแน่นกันเข้าไปฆ่าฟันทหารก๋งจูคุดตายประมาณกึ่งหนึ่ง ก๋งจูคุดพาทหารที่เหลือนั้นรบหักออกมิได้ ก๋งจูคุดสิ้นกำลังลงจึงบอกทหารทั้งปวงว่าชีวิตเราจะตายที่นี่ ว่าแล้วก็เอากระบี่เชือดคอตาย ทหารก๋งจูคุดก็กระจัดกระจายไปสิ้น ทหารเมืองเจ๋ก็ตัดเอาศีรษะก๋งจูคุดไปให้ก๋งจูหยี

ฝ่ายทหารที่รักษาหน้าที่เชิงเทินเมืองโอย ครั้นเห็นทัพเมืองหลวงแตกก็ตกใจ ต่างคนทิ้งหน้าที่เชิงเทินเสีย วิ่งลงมาพาบุตรภรรยาหนีออกจากเมือง ทหารทั้งห้าหัวเมืองก็เข้าเมืองโอยได้ไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเป็นอันมาก

ก๋งจูแจะ ก๋งจูเสียบ เลงกุย ทั้งสามคนก็พาหงิมหมองรีบหนีไปทางประตูทิศใต้ เขงหูเจ้าเมืองฬ่อก็ขับทหารรบต้านไว้ เลงกุยก็รบพุ่งต้านเป็นสามารถ ทหารเมืองฬ่อฆ่าฟันทหารเลงกุยตายเป็นอันมาก เลงกุยเห็นจะสู้มิได้ก็ควบม้าหนีไปเมืองจิ๋น ทหารเมืองฬ่อก็จับหงิมหมองกับก๋งจูแจะก๋งจูเสียบทั้งสามคนได้พามาให้เจ้าเมืองเจ๋ ก๋งจูหยีก็ให้เอาตัวก๋งจูแจะก๋งจูเสียบไปฆ่าเสีย แล้วส่งตัวหงิมหมองไปเมืองหลวง จึงตั้งก๋งจูซัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอย ทัพทั้งสี่หัวเมืองต่างคนก็กลับไป ก๋งจูหยีก็กลับมาเมืองเจ๋ ครั้งนั้นพระเจ้าจองอ๋องเสวยราชสมบัติได้เก้าปี ครั้นทราบว่าเมืองโอยเสียแล้วก็เคืองพระทัยนัก

ฝ่ายก๋งจูหยีครั้นส่งหงิมหมองไปแล้วจึงคิดว่า ครั้งนี้พระเจ้าจองอ๋องจะเคืองเรานักจะไว้ใจแก่ราชการมิได้ จึงสั่งเสียนสินกับกวนจีหูให้ไปตั้งขัดทัพอยู่ ณ ตำบลซุดคุยขิว เสียนสินจึงว่าที่นั้นกันดารด้วยเสบียงอาหาร ซึ่งจะตั้งอยู่ช้านักเห็นทแกล้วทหารจะลำบาก เมื่อใดท่านจะไปผลัดข้าพเจ้าเล่า ก๋งจูหยีกินแตงโมอยู่จึงบอกว่า ปีใหม่หน้าแตงโมสุกจะให้คนอื่นไปผลัดท่าน เสียนสินกับกวนจีหูก็คำนับลาพาทหารรีบไปตั้งอยู่ ณ ตำบลซุดคุยขิว ครั้นถึงเทศกาลแตงโมสุกเสียนสินกับกวนจีหูไม่เห็นคนขึ้นมาผลัด จึงจัดแจงแตงโมให้คนใช้มาให้ก๋งจูหยีเตือนก๋งจูหยีว่าให้คนขึ้นไปผลัดตามสัญญา คนใช้ก็ไปเตือนก๋งจูหยีตามคำนายสั่ง ก๋งจูหยีจึงผลัดเลื่อนไปอีกว่า ปีใหม่เถิดเราจะให้คนไปผลัด คนใช้ก็กลับไปบอกเสียนสินตามคำเจ้าเมืองเจ๋ เสียนสินก็โกรธจึงว่าแกกวนจีหูว่า เจ้าเมืองเจ๋ไม่เป็นสัจธรรม ว่าปีนี้จะให้คนออกมาเปลี่ยนเราก็หาให้มาไม่ แกล้งจะให้เราทั้งสองได้ความลำบาก เราคิดจะฆ่าเจ้าเมืองเจ๋เสียท่านจะเห็นประการใด กวนจีหูก็เห็นด้วยจึงว่า การนอกเมืองเราพอจะทำได้ แต่การในเมืองเรายังหาเห็นผู้ใดที่จะเป็นใจกับเราไม่

ขณะนั้นพอคนใช้ก๋งจูบอดีเข้ามาส่งหนังสือให้เสียนสิน เสียนสินฉีกผนึกออกอ่านใจความว่า ก๋งจูบอดีคำนับมาถึงนายทหารทั้งสองคน ด้วยแต่ก่อนก๋งจูหยีอยู่ในสัจธรรม ว่ากล่าวสิ่งใดก็ยั่งยืนมิได้กลับกลอก บัดนี้ก๋งจูหยีฝักใฝ่ไปแต่การผู้หญิงจะละไว้นานไปเห็นสมบัติเมืองเจ๋จะได้แก่แซ่อื่น เรากับท่านทั้งสองก็พลอยได้ความลำบากด้วย เราคิดจะกำจัดก๋งจูหยีเสีย ถ้าท่านเห็นชอบด้วยแล้วการนอกเมืองเป็นธุระท่าน การในเมืองเป็นธุระเรา ช่วยกันกำจัดก๋งจูหยีเสียให้ได้จึงจะมีความสุข

เสียนสินแจ้งดังนั้นก็ส่งหนังสือให้กวนจีหูดู ดีใจสมความคิดจึงแต่งหนังสือลับตอบก๋งจูบอดีว่า ซึ่งท่านคิดทำการครั้งนี้ข้าพเจ้าทั้งสองยินดีด้วย แต่จะทำการในเมืองเห็นจะลำบาก ขอท่านจงให้ไปบอกนางเซียนซีผู้น้องข้าพเจ้าว่า ถ้าก๋งจูหยีจะออกมาเล่นป่าเมื่อใดให้รู้ตัวข้าพเจ้าจะได้จัดแจงทำการให้สำเร็จอย่าวิตกเลย แต่งหนังสือแล้วส่งให้ผู้ถือหนังสือกลับไปให้แก่ก๋งจูบอดี ก๋งจูบอดีแจ้งในหนังสือก็ดีใจ จึงให้หญิงคนสนิทเข้าไปบอกแก่นางเซียนซีตามคำเสียนสินสั่ง ขณะนั้นพระเจ้าจองอ๋องเสวยราชสมบัติในเมืองตังจิวได้สิบแปดปีเป็นเทศกาลฤดูหนาวเดือนยี่ เจ้าเมืองเจ๋เคยไปเที่ยวเล่นป่า ณ ตำบลโกหุนทุกปี ก๋งจูหยีจึงสั่งจีจูหุนหยูกับเมงเอียงทุยินหุยว่า วันห้าคํ่าเราจะออกไปเล่นป่า นายทหารทั้งสามก็จัดแจงเกวียนและทหารเตรียมไว้

ฝ่ายนางเซียนซีแจ้งความว่าเจ้าเมืองเจ๋จะไปเที่ยวป่าในเดือนยี่ขึ้นห้าคํ่าเป็นแน่ จึงให้หญิงคนสนิทไปบอกแก่ก๋งจูบอดี ก๋งจูบอดีก็ส่งหนังสือลับไปให้กับเสียนสิน เสียนสินแจ้งในหนังสือแล้วจึงว่าแก่กวนจีหูว่า เจ้าเมืองเจ๋จะออกมาล่าเนื้อในเดือนยี่ขึ้นห้าคํ่า เมื่อเจ้าเมืองเจ๋ออกจากเมืองแล้วเราจะยกทหารเข้าในเมือง ตั้งก๋งจูบอดีขึ้นเป็นเจ้าเมือง ท่านจะเห็นประการใด

กวนจีหูจึงว่า ซึ่งท่านจะคิดเร็วก่อน ไม่คิดฆ่าก๋งจูหยีเสียนั้น ก๋งจูหยีนอกเมืองจะเกณฑ์ทหารหัวเมืองพร้อมเข้าล้อมเมือง เราจะได้ทหารที่ไหนมาต่อสู้ทัพหัวเมืองเล่า จำจะคิดจับเจ้าเมืองเจ๋เสียก่อน แล้วเราจึงตั้งก๋งจูบอดีขึ้นเป็นเจ้าเมืองเห็นความจะไม่วุ่นวาย เสียนสินก็เห็นด้วยจึงบอกทหารทั้งปวงว่า ท่านมาอยู่ก็ช้านานแล้วได้ความอดอยากเพราะก๋งจูหยีแกล้งตรากตรำให้ลำบาก จงจัดแจงอาวุธเตรียมไว้ให้พร้อม เจ้าเมืองเจ๋จะยกออกมาล่าเนื้อ ณ เดือนยี่ขึ้นห้าคํ่า จงช่วยกันจับฆ่าเสีย เราจะได้พากันไปบ้านตามสบาย ทหารทั้งปวงได้ฟังก็พร้อมใจกันจัดแจงลับอานอาวุธเตรียมไว้ตามคำเสียนสินสั่ง

ฝ่ายก๋งจูหยีถึงวันห้าคํ่าเวลาเช้าก็แต่งตัวขึ้นขี่เกวียนพร้อมทหารแห่หน้าหลังออกจากเมืองเจ๋ ไปถึงตำบลโกหุนก็หยุดทหาร แล้วขึ้นอาศัยอยู่บนตึกลีเก๋งที่ทำไว้สำหรับมาพักทุกปี แล้วให้ทหารไล่เนื้อและยิงนกในป่า

ฝ่ายชาวบ้านแจ้งความว่าเจ้าเมืองเจ๋มาถึง ต่างคนได้สุกรและกวางกับสุรามาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จึงให้จงภู่ต้มแกงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางกับข้าทหารมาจนเวลากลางคืน รุ่งขึ้นเจ้าเมืองเจ๋จึงพาทหารไปเที่ยวตามเนินเขาปวยขิว เห็นป่านั้นรกชัฏให้เอาไฟไปจุด ไฟก็ไหม้ใบหญ้าสนั่นฟุ้งลุกลามไป และให้ทหารพาสุนัขไปสกัดอยู่ปลายลม ทหารทั้งปวงครั้นเห็นกระต่ายและชะมดวิ่งหนีไฟออกมาก็ปล่อยสุนัขไล่ติดตามไปกัด เจ้าเมืองเจ๋ขึ้นเกวียนอยู่ชายป่าคอยจะยิงเนื้อ

ฝ่ายปีศาจก๋งจูเพงเสงซึ่งก๋งจูหยีให้ฆ่าเสีย มีความพยาบาทก๋งจูหยีนัก คอยจะทำร้ายก๋งจูหยีอยู่ช้านาน ขณะเมื่อก๋งจูหยีออกมาไล่เนื้อ ปีศาจรู้ว่าชันษาก๋งจูหยีถึงกำหนดจะสิ้นบุญแล้ว ปีศาจก็แปลงตัวเป็นสัตว์สี่เท้าผิดประหลาดกว่าสัตว์ทั้งปวงออกจากชายป่า เดินผ่านหน้าเกวียนก๋งจูหยีมา ก๋งจูหยีเห็นสัตว์นั้นจะสังเกตว่าเป็นสัตว์สิ่งใดมิได้ ก๋งจูหยีจึงชิงเอาเกาทัณฑ์จากมือเมงเอียงมายิงสัตว์นั้นถึงสามทีก็ไม่ถูก สัตว์นั้นก็เผ่นขึ้นเดินสองเท้าแล้วร้องไห้เสียงเหมือนคน ก๋งจูหยีได้ฟังเสียงสัตว์เยือกเย็นเข้าไปในอก ตกตะลึงหน้าซีดเหมือนลมจับล้มลงทั้งยืน เท้าข้างขวากระทบเกวียนเมื่อยขัดเป็นกำลัง จะทรงตัวขึ้นมิใคร่จะได้

ทุยินหุยกับขุนนางทั้งปวงเห็นก๋งจูหยีเป็นปัจจุบันล้มลงต่างคนตกใจ ช่วยกันพยุงก๋งจูหยีนั่งขึ้นตรงแล้วกลับเกวียนมาสำนักนี้ ช่วยกันพยุงก๋งจูหยีขึ้นจากเกวียนเข้าไปในที่นอน ให้เมื่อยขบเท้าขวาเป็นกำลัง ครั้นเวลาสองยามเศษเจ้าเมืองเจ๋เมื่อยขบทวีขึ้นเหลือทนให้เคลิ้มพูดเพ้อด่าทุยินหุยแล้วสั่งทหารเอาลวดหนังตีทุยินหุย ทุยินหุยต้องตีเจ็บปวดเป็นสาหัส คิดแค้นใจร้องไห้เดินออกมานอกประตู

ฝ่ายเสียนสินพาทหารมาคอยทำร้ายก๋งจูหยี ครั้นเห็นทุยินหุยออกมาก็ให้ทหารจับทุยินหุยมาถามว่าเจ้าเมืองเจ๋อยู่ไหน ทุยินหุยจึงบอกว่าเจ้าเมืองเจ๋อยู่ในห้องตึก เสียนสินจึงถามว่าเจ้าเมืองเจ๋อยู่ในห้องนั้นหลับหรือตื่น ทุยินหุยจึงบอกว่าก๋งจูหยีตื่นอยู่ เสียนสินได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นเงื้อกระบี่ขึ้นจะฟันทุยินหุย ทุยินหุยรู้ว่าเสียนสินจะเข้ามาทำร้ายเจ้าเมืองเจ๋ ทุยินหุยกลัวเสียนสินจะฆ่าเสีย จะหนีกลับไปบอกเจ้าเมืองเจ๋ให้รู้ ทุยินหุยมีความกตัญญูแก่เจ้าเมืองเจ๋จึงแกล้งอุบายว่าเจ้าเมืองเจ๋ตีข้าพเจ้าได้ความเจ็บอาย จะขอเข้าไปช่วยท่านแก้แค้นเจ้าเมืองเจ๋ให้จงได้ ว่าแล้วทุยินหุยก็เลิกเสื้อออกให้เสียนสินดูแผลที่ต้องตี เสียนสินครั้นเห็นก็สิ้นสงสัย จึงว่ากับทุยินหุยว่า ถ้าจะทำการด้วยเราจงกลับไปดู ถ้าก๋งจูหยีหลับแล้วจงกลับมาบอกเราจะเข้าตัดศีรษะก๋งจูหยีเสียให้สมที่ความแค้น ทุยินหุยรับคำแล้วกลับไปในตึก จึงบอกกับจีจูหุนหยูว่า บัดนี้เสียนสินคิดขบถคุมทหารมาซุ่มอยู่จะทำร้ายก๋งจูหยีนายเรา

จีจูหุนหยูได้ฟังก็ตกใจ พาทุยินหุยเข้าไปบอกแก่ก๋งจูหยี ก๋งจูหยีเมื่อยเข้านอนอยู่รู้ดังนั้นลุกขึ้นนั่งตกตะลึงอยู่ ทุยินหุยเตือนว่าการจวนตัวนัก ท่านก็ป่วยอยู่ฉะนี้จะคิดสู้รบหรือจะหนีขัดสน ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้ามีผู้อาสานอนแทนที่ท่านอยู่ ท่านหลบหลีกซ่อนเร้นตัวพอพ้นที่นอนแล้ว เสียนสินเข้ามาเห็นสำคัญว่าท่านนอนหลับอยู่ พอฆ่าเสียแล้วคงจะกลับไป ท่านได้รอดชีวิตอยู่พอรุ่งสวางขึ้นก็พ้นภัยได้กลับไปเมือง ก๋งจูหยีเห็นด้วยและดูหน้าขุนนางคนสนิทต่างคนนิ่งเสียสิ้น ไม่มีผู้ใดรับอาสา

ขณะนั้นเมงเอียงจึงลุกขึ้นคำนับก๋งจูหยีแล้วว่า ท่านกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนางมียศศักดิ์ ไม่มีสิ่งใดจะสนองคุณท่าน ครั้งนี้ก็ถึงชีวิตท่านแล้ว ข้าพเจ้าหาสติปัญญาจะคิดผ่อนผันให้พ้นภัยมิได้จะขอเอาชีวิตสนองพระคุณท่าน ว่าแล้วเมงเอียงก็ขึ้นบนที่นอนเก๋งก๋งจูหยี ก๋งจูหยีก็ถอดเสื้อลายมังกรทองคุมเมงเอียงไว้ แล้วก่งจูหยีก็เข้าแฝงซอกประตูตึกห้องในอยู่

ทุยินหุยกับจีจูหุนหยูถือกระบี่ออกมาทั้งสามคน ไปแอบอยู่ริมประตูตึกชั้นนอกหมายจะคอยฆ่าเสียนสิน เสียนสินซุ่มทหารคอยทุยินหุยจนเพลาดึก ไม่เห็นทุยินหุยออกมาก็รู้ว่าทุยินหุยแกล้งล่อลวงก็โกรธ พอสงบเสียงผู้คนนอนหลับแล้ว เสียนสินใส่เกราะกันอาวุธถือกระบี่ขึ้นไปบนตึก ทุยินหุยเห็นเอากระบี่แทงถูกเกราะไม่เข้า เสียนสินเอากระบี่ฟัน ทุยินหุยเอากระบี่รับ กระบี่เสียนสินแพลงพลาดถูกนิ้วมือทุยินหุยขาดไปสองนิ้ว เสียนสินฟันซํ้าอีกถูกศีรษะทุยินหุยขาดไปซีกหนึ่งสมองไหลล้มลงขาดใจตาย

จีจูหุนหยูก็วิ่งเข้ามาเอาง้าวฟันเสียนสิน เสียนสินเอากระบี่ปัดถลันเข้าชิด จีจูหุนหยูถือง้าวเป็นอาวุธยาวถอยหลังสุดให้ห่างพอเอาเท้ากระทบธรณีประตูเข้าเซไป เสียนสินก็เอากระบี่ฟันถูกจีจูหุนหยูตายทั้งสองคน เสียนสินเข้าไปถึงข้างในหมายจะทำร้ายก๋งจูหยีจึงเปิดมุ้งขึ้น เห็นคนนอนห่มเสื้อลายทองอยู่สำคัญว่าก๋งจูหยี เสียนสินเอากระบี่ฟันคอขาดศีรษะตกลงจากหมอน มีความยินดีว่าเจ้าเมืองเจ๋ตายด้วยฝีมือเรา แล้วจึงหยิบเอาศีรษะไปดูที่ตะเกียงเห็นไม่ใช่ก๋งจูหยีก็เสียใจ ร้องเรียกทหารขึ้นมาส่องเทียนค้นหาก๋งจูหยีเป็นอลหม่าน ขุนนางบรรดานอนนอกตึกต่างตื่นตกใจ วิ่งเข้าป่าไปสิ้น

ฝ่ายปีศาจก๋งจูเพงเสงซึ่งก๋งจูหยีให้ฆ่าเสียครั้งก่อน ก็แปลงตัวเป็นสัตว์ชื่อบุนกี เห็นเสียนสินหาก๋งจูหยีมิพบ ก็วิ่งนำหน้าเสียนสินเข้าไปถึงซอกประตูตึก เสียนสินเห็นประหลาดก็เดินส่องเพลิงตามเข้าไป เห็นก๋งจูหยีก็ฉวยข้อมือก๋งจูหยีกระชากลากออกมาแล้วว่า ท่านเป็นคนไม่ตรงลวงเราให้ไปอยู่ตำบลซุดคุยขิวว่า แตงโมสุกจะให้คนไปผลัดเปลี่ยนเราก็หาให้ไปเหมือนว่าไม่ ตัวไม่มีความสัตย์เราจะฆ่าท่านเสียแก้แค้นแทนฬ่อฮวนก๋งที่ตาย ว่าแล้วเอากระบี่ฟันเป็นหลายทีถูกก๋งจูหยีตัวขาดหลายท่อนตาย จึงให้ทหารเอาฟูกที่นอนพันผูกศพก๋งจูหยีเจ้าเมืองเจ๋กับศพเมงเอียงลงฝังไว้ที่ตึกนั้น พอรุ่งเช้าเสียนสินกวนจีหูก็ยกกลับเข้าไปในเมือง

ก๋งจูบอดีอยู่รักษาเมืองแจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋ตายแล้ว จึงสั่งให้ทหารเลวบรรดาพรรคพวกเข้าไปในเมือง เสียนสินกับกวนจีหูจึงยกก๋งจูบอดีขึ้นเป็นเจ้าเมือง ตั้งนางเซียนซีเป็นที่ฮูหยิน ก๋งจูบอดีจึงให้เสียนสินเป็นกุกกุขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร ตั้งกวนจีหูเป็นอาเชงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ฝ่ายขุนนางบรรดาที่ซื่อตรงต่อเจ้าเมืองเจ๋ที่ตายนั้นก๋งจูบอดีได้เป็นเจ้าเมือง เสียนสินกวนจีหูเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ต่างคนไม่เต็มใจทำราชการก็แก้ไขบอกป่วยบอกชรา ลาก๋งจูบอดีออกจากราชการเป็นหลายคน

วันหนึ่งก๋งจูบอดีออกว่าราชการขุนนางพร้อม จึงว่ากับกวนจีหูกับเสียนสินขุนนางทั้งปวงว่า สมบัติเมืองเจ๋ก็เป็นสิทธิ์ของเราแล้ว เราคิดจะใคร่ได้ผู้มีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษา จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุขท่านจะเห็นประการใด กวนจีหูว่า ผู้มีสติปัญญาในเมืองนี้ข้าพเจ้าเห็นแต่กวนต๋งพี่น้องร่วมแซ่ข้าพเจ้า แต่ไม่พอใจเป็นขุนนางมักเที่ยวเตร่หาอยู่เป็นที่ไม่ ขอท่านจงไปสืบหาตัวมาว่ากล่าวให้กวนต๋งยอมอยู่ด้วยแล้ว ท่านจะได้ปรึกษาการจัดแจงบ้านเมืองสืบไป ก๋งจูบอดีจึงสั่งขุนนางทั้งปวงว่า ผู้ใดสืบได้ตัวกวนต๋งมาจะให้รางวัล ฝ่ายขุนนางทั้งปวงซึ่งเป็นพรรคพวกก๋งจูบอดีจะรักใคร่ได้ความชอบ ก็ให้คนไปสืบหากวนต๋งในเมืองเจ๋เป็นหลายพวก

ฝ่ายกวนต๋งเป็นครูสอนหนังสือก๋งจูกิวบุตรก๋งจูหยีผู้ตาย ขณะเมื่อก๋งจูบอดีได้เป็นเจ้าเมือง กวนต๋งกับเตียวหุดก็พาก๋งจูกิวหนีไปอาศัยเปาซกแหยอยู่นอกเมืองกี๋ วันหนึ่งเปาซกแหยคิดถึงก๋งจูเสียวแปะเป็นศิษย์ หลานเจ้าเมืองกี๋ เปาซกแหยชวนกวนต๋งเข้าไปเยี่ยมเยียนก๋งจูเสียวแปะ ก๋งจูเสียวแปะให้ทองคำแท่งหนึ่ง เปาซกแหยจึงตัดทองออกสามส่วน ให้กวนต๋งสองส่วนตัวเอาแต่ส่วนเดียว กวนต๋งจึงว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านควรจะเอาสองส่วน ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยมาด้วยได้ส่วนหนึ่งจึงจะชอบ เปาซกแหยจึงว่าท่านเป็นคนจรมาอยู่ต่างเมืองเงินทองก็ขัดสน ท่านเอาทองสองส่วนไปจะได้ซื้อจ่ายเลี้ยงก๋งจูกิวด้วย กวนต๋งก็รับเอาทองไว้ เปาซกแหยก็พากวนต๋งกลับมาถึงบ้าน ให้คนใช้ยกโต๊ะมาตั้ง เปาซกแหยชวนกวนต๋งเสพสุราแล้วว่า ท่านเป็นใคร ก๋งจูกิวน้องเจ้าเมืองฬ่อ เราก็เป็นอาจารย์ก๋งจูเสียวแปะหลานเจ้าเมืองเจ๋ผู้ตายแต่ต่างมารดา ถ้ามีผู้กำจัดก๋งจูบอดีเสียแล้ว จะเห็นผู้ใดครองสมบัติสืบไป กวนต๋งจึงว่า อันการที่จะเป็นเจ้าบ้านการเมืองนั้นจะหมายว่ามีสติปัญญาและคุณวิชาเป็นประมาณนั้นไม่ได้ ตามแต่บุญของผู้ใดควรจะได้สมตามความคิดแก่ผู้นั้น เปาซกแหยจึงว่าท่านว่านี้ชอบ กวนต๋งจึงถามเปาซกแหยว่า ก๋งจูเสียวแปะบุตรก๋งจูหยินมาอยู่กับเจ้าเมืองกี๋แต่ครั้งใด เป็นเหตุประการใดจึงได้จากเมืองเจ๋ เปาซกแหยจึงเล่าความแต่หลังให้กวนต๋งฟังว่า เดิมเมืองกี๋กับเมืองเจ๋เป็นข้าศึกกันมาหลายชั่วเจ้าเมือง ครั้นก๋งจูหยีเจ้าเมืองเจ๋ยกมาตีเมืองกี๋ เองคุยรบแพ้ ก๋งจูหยีได้บุตรเองคุยไปเป็นภรรยา เกิดบุตรมาชื่อก๋งจูเสียวแปะ ฝ่ายก๋งจูหยีรักใคร่กับนางบุนเกียง ก๋งจูเสียวแปะเข้าไปว่ากล่าวเปรียบเทียบบิดาว่า ชายกับหญิงเป็นหนุ่มสาวเป็นพี่น้องและใช่ญาติ ถ้าไปมากินนอนด้วยกันก็เป็นที่ครหานินทา ก๋งจูหยีโกรธให้ขับก๋งจูเสียวแปะเสีย ข้าพเจ้าจึงพามาอยู่กับเจ้าเมืองกี๋ผู้ตายคุ้มเท่าบัดนี้

ขณะเมื่อกวนต๋งกับเปาซกแหยพูดจากันอยู่ พอเตียวหุดเพื่อนสนิทกวนต๋งเข้ามาบอกกับกวนต๋งว่า ชาวเมืองเจ๋ถามหาท่าน ข้าพเจ้าจึงถามว่ามาถามกวนต๋งด้วยธุระสิ่งใด ผู้นั้นจึงบอกว่าก๋งจูบอดีใช้ให้มาตามเชิญไปเป็นขุนนาง ข้าพเจ้ามิได้ล่วงรู้ว่าจะเป็นอุบายร้ายดีประการใดจึงมิได้บอกความ

กวนต๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงบอกเปาซกแหยว่า ซึ่งก๋งจูบอดีใช้คนมาตามข้าพเจ้าทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าก๋งจูบอดีรู้ว่าข้าพเจ้าพาก๋งจูกิวบุตรก๋งจูหยีมา จึงคิดอุบายให้คนมาพูดล่อลวงว่าจะหาไปเป็นขุนนางเพราะจะล่อเอาก๋งจูกิวกับข้าพเจ้าไปฆ่าเสียเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านหลายวันเห็นภัยจะมี จะขอลาท่านไปเมืองฬ่อเห็นจะพ้นอันตราย กวนต๋งก็ลาเปาซกแหย ค่อยเล็ดลอดลัดป่าไปไม่เดินตามทางกลัวพวกก๋งจูบอดีจะตามจับตัว ครั้นถึงเมืองฬ่อ กวนต๋งกับเตียวหุดก็พาก๋งจูกิวเข้าไปคำนับเจ้าเมืองฬ่อ

เขงหูฬ่อจงก๋งเห็นก๋งจูกิวผู้น้องมาผิดประหลาดก็ตกใจ ลงจากเก้าอี้จูงเอามือก๋งจูกิวขึ้นนั่งที่แล้วถามว่า เจ้าอยู่ถึงเมืองเจ๋ทางไกลอุตส่าห์มาเมืองฬ่อเกิดเหตุประการใดหรือ ก๋งจูกิวก็ร้องไห้ บอกความซึ่งเสียนสินคิดกบฏฆ่าบิดาตาย จนก๋งจูบอดีขึ้นครองเมืองเจ๋ให้เขงหูฟังทุกประการแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าได้มาเห็นหน้าท่านเพราะอาจารย์กวนต๋งพามา หาไม่ข้าพเจ้าจะตายในเมืองเจ๋ เขงหูได้ฟังดังนั้นมีความสงสารจึงว่า ปีหน้าเราจะยกทัพไปจับเสียนสินกับก๋งจูบอดีแก้แค้นอย่าเป็นทุกข์ตรอมใจเลย แล้วให้ขุนนางจัดตึกที่อาศัยให้ก๋งจูกิวกับกวนต๋งกับเตียวหุด อยู่เป็นสุขสบายมิให้อนาทร

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ