ฝ่ายสินเฮาเจ้าเมืองสิน ตั้งแต่งีเป๊กผู้หลานมาถึงเมืองเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง สินเฮาแจ้งความนั้นแล้ว จึงคิดว่าพระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซูนัก ขับงีเป๊กพระราชบุตรเสีย ครั้งนี้ทำผิดประเพณีกษัตริย์ ครั้นเราจะมีหนังสือไปกราบทูลเตือนสติเล่า ก็จะเห็นว่าเราเข้าด้วยหลาน จำจะนิ่งไว้ฟังดูก่อน สินเฮาก็จัดแจงที่อยู่ให้งีเป๊กโดยสมควร ทำนุบำรุงมิให้อนาทร

ครั้นอยู่มานานหลายปี สินเฮาจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นเรื่องราวกราบทูลสั่งให้ขุนนางผู้หนึ่งไปเมืองโกเก๋ง พอพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก ผู้ถือหนังสือจึงเข้าไปหากรมวังให้พาเข้าไปเฝ้าถวายเรื่องราวเจ้าเมืองสิน พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้อาลักษณ์อ่าน ใจความในเรื่องราวนั้นว่า ประเวณีแผ่นดินจะอยู่เย็นเป็นสุข และจะได้ความเดือดร้อนมีสองประการคือ พระมหากษัตริย์เชื่อฟังขุนนางผู้สัตย์ซื่อและมิได้หลงด้วยอิสตรี แผ่นดินก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าพระมหากษัตริย์มีพระทัยลุ่มหลงไปด้วยอิสตรี เหมือนครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องลุอำนาจนางอิวบอย แผ่นดินจึงเกิดจลาจล ครั้งพระเจ้าติวอ๋องเล่าก็หลงรักนางขันกี บ้านเมืองจึงเกิดวิบัติ ครั้งนี้พระองค์มารักนางโปซูมากกว่าพระราชบุตร แล้วให้ขับงีเป๊กราชบุตรเสียฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีผู้นินทา ขอพระองค์จงตรึกตรองดูให้ต้องตามประเพณีกษัตริย์ อาณาประชาราษฎร์และหัวเมืองทั้งปวงจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข

พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังเรื่องราวสินเฮาดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า สินเฮาทำเรื่องราวมาว่ากล่าวหยาบช้าเปรียบเทียบเราว่าเหมือนเคียดอ๋องและติวอ๋อง เพราะโกรธว่าเราขับงีเป๊กผู้หลานเสีย พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งให้มีตราออกไปถอดสินเฮาเสียจากที่เจ้าเมืองสิน แล้วให้เกณฑ์กองทัพ จะให้เซ็กอูเป็นแม่ทัพยกไปจับสินเฮาฆ่าเสีย

ฝ่ายเป๊กเอียงอูซึ่งออกจากที่ขุนนางไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ว่าพระเจ้าอิวอ๋องให้เตรียมทัพจะยกไปตีเมืองสิน เป๊กเอียงอูเห็นว่าเมืองจะเสียแก่ข้าศึก เป๊กเอียงอูจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้คนใช้ไปปิดไว้ที่ประตูเมือง ในหนังสือนั้นว่า ห้ามมิให้ทหารเมืองหลวงยกไปตีเมืองสิน ถ้ามิฟังจะขืนยกไปเมืองหลวงจะเสียแก่ข้าศึก

ฝ่ายนายประตูเห็นหนังสือปิดไว้ ก็นำเอาหนังสือนั้นไปให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ให้กราบทูล พระเจ้าอิวอ๋องทรงอ่านแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษาชัวเอียวซึ่งเป็นแฮไตหูว่า มีผู้มาปิดหนังสือดังนี้ท่านจะเห็นประการใด ชัวเอียวจึงทูลว่า ชะรอยผู้มีสติปัญญาซึ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์เห็นว่าบ้านเมืองของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว และจะให้เกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองสินครั้งนี้เหมือนจะก่อศึกให้เกิดรบพุ่งกันวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน ขอพระองค์จงงดกองทัพไว้ก่อนทรงตรึกตรองดู เซ็กอูได้ฟังชัวเอียวกราบทูลดังนั้นก็โกรธ จึงทูลขึ้นว่าซึ่งชัวเอียวกราบทูลห้ามกองทัพมิให้ยกไปทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าชัวเอียวเป็นพรรคพวกงีเป๊กแกล้งทำหนังสือมาปิดไว้ หวังมิให้ยกไปตีเมืองสิน พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็เห็นด้วย ทรงพระโกรธจึงสั่งให้ทหารจับตัวชัวเอียวไปฆ่าเสียทั้งโคตร แล้วให้ตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมืองมิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ครั้งนั้นพระเจ้าอิวอ๋องให้ฆ่าพวกชัวเอียวเสียทั้งชายหญิงใหญ่น้อยเป็นคนถึงหกสิบเศษ

ขณะเมื่อทหารจับพวกชัวเอียวนั้น ชัวจกผู้น้องชัวเอียวมีที่ไปมิได้อยู่บ้าน ครั้นรู้ว่าพระเจ้าอิวอ๋องให้จับชัวเอียวผู้พี่ฆ่าเสียแล้ว ชัวจกก็หนีไปอยู่เมืองเตง

ฝ่ายผู้ถือหนังสือสินเฮา ครั้นเห็นพระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธให้ตรวจเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองสินดังนั้น ผู้ถือหนังสือก็ออกจากเมืองหลวงรีบกลับไปทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงเมืองสินจึงเข้าไปคำนับแจ้งความแก่สินเฮาทุกประการ สินเฮาครั้นแจ้งว่ากองทัพเมืองหลวงจะยกมาก็ตกใจ จึงปรึกษาลีเจียงขุนนางว่า เมืองเราเป็นเมืองน้อย ทแกล้วทหารก็เบาบาง เห็นจะสู้กองทัพหลวงมิได้ ท่านจะคิดประการใดดี ลีเจียงจึงว่า ทุกวันนี้พระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู ให้ขับพระราชบุตรเสีย ขุนนางผู้สัตย์ซื่อก็เอาใจออกหาก กิตติศัพท์ที่ชั่วก็ลือไปแก่หัวเมืองทั้งปวง เกียรติยศพระเจ้าอิวอ๋องก็เสื่อมลงเหมือนพระจันทร์วันแรม และชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงทุกวันนี้มีทหารเป็นอันมาก มีเมืองขึ้นก็หลายหัวเมือง แล้วมิได้ขึ้นแก่เมืองหลวง ชาเลเทเป็นคนโลภเห็นแต่จะได้ทรัพย์สิน ขอท่านจงจัดแจงเครื่องบรรณาการมีหนังสือไปขอกองทัพมาช่วยกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องเสียได้แล้วเราจึงยกงีเป๊กขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองหลวงต่อไป

สินเฮาได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทองคำกับแพรบรรทุกเกวียนเป็นของคำนับ แล้วแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้ขุนนางผู้มีสติปัญญาเป็นทูตถือหนังสือและคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเกียงหยง จึงบอกนายด่านให้เข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเกียงหยง

ฝ่ายชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยง ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองสินให้ทูตคุมเครื่องบรรณาการมาโดยสุจริต จึงให้ทหารไปรับทูตเข้ามาแล้วถามว่าเจ้าเมืองสินใช้ท่านมาหาเราด้วยประการใด ขุนนางเมืองสินคำนับแล้วแจ้งความว่า เดิมพระเจ้าอิวอ๋องตั้งนางสินฮองฮอบุตรเจ้าเมืองสินเป็นมเหสี เกิดพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่องีเป๊ก ครั้นอยู่มาพระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู จึงให้ขับงีเป๊กพระราชบุตรเสีย บัดนี้พระเจ้าอิวอ๋องเชื่อฟังเซ็กอูขุนนางผู้ใหญ่ให้จัดแจงกองทัพจะยกมาตีเมืองสิน เจ้าเมืองสินมีทแกล้วทหารน้อยเห็นจะสู้รบกองทัพเมืองหลวงมิได้ จึงมีหนังสือฉบับหนึ่งมาถึงท่าน ขุนนางเมืองสินก็ส่งหนังสือให้เจ้าเมืองเกียงหยง เจ้าเมืองเกียงหยงฉีกผนึกออกอ่าน ใจความในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้าสินเฮาขอคำนับมาถึงเจ้าเมืองเกียงหยง ด้วยแต่ก่อนเจ้าเมืองโกเก๋งตั้งอยู่ในสุจริตธรรม เพราะเชื่อฟังขุนนางผู้สัตย์ซื่อ บัดนี้เจ้าเมืองโกเก๋งฟังแต่เซ็กอูคนพาล และหลงรักนางโปซูจนขับพระราชบุตรเสียจากเมือง ขุนนางผู้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจะว่ากล่าวสิ่งใดไม่เชื่อฟัง หัวเมืองทั้งปวงต่างก็เอาใจออกหาก ข้าพเจ้าคิดว่าเห็นว่าพระเจ้าอิวอ๋องจะสิ้นบุญแล้ว ครั้นข้าพเจ้าจะยกไปกระทำแก่เมืองโกเก๋งเล่า ทหารข้าพเจ้าน้อยนักเห็นว่าจะทำมิตลอด ขอท่านจงกรุณายกกองทัพมาช่วยข้าพเจ้าไปกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องเสีย ถ้าได้สำเร็จทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังมีมากน้อยเท่าใดจงเป็นของๆ ท่านเถิด แต่เปลือกเมืองนั้นข้าพเจ้าขอให้แก่งีเป๊กบุตรพระเจ้าอิวอ๋องครอบครองสมบัติสืบไป

เจ้าเมืองเกียงหยงแจ้งความดังนั้นก็ยินดี รับเอาเครื่องบรรณาการไว้แล้วว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่เจ้าเมืองสินเถิดว่า เราจะยกไปสมทบทัพนายท่านไปตีเมืองโกเก๋งกำจัดอิวอ๋องเสียให้จงได้ อย่าให้นายท่านวิตกเลย ขุนนางเมืองสินก็รับคำแล้วลากลับไปแจ้งความแก่สินเฮาทุกประการ สินเฮาก็จัดแจงทหารหมื่นหนึ่ง ยกออกไปคอยกองทัพเมืองเกียงหยงอยู่ทางร่วม

ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยงก็จัดทหารเอกทหารเลวที่มีกำลังและฝีมือกล้าแข็งได้หมื่นห้าพัน ให้พุดเตเตงเป็นทัพหน้า ป้วนน้าเป็นทัพหลัง เจ้าเมืองเกียงหยงเป็นทัพหลวง ยกมาถึงทางร่วม ณ กองทัพเจ้าเมืองสิน ถ้อยทีคำนับกับสินเฮาแล้ว สินเฮาจึงออกอุบายซึ่งจะนำทัพเข้าไปให้ถึงเมืองหลวง มิให้ต้องตีด่านทาง แล้วสินเฮาก็ยกทหารนำกองทัพเมืองเกียงหยงรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน ถึงด่านตำบลใด สินเฮาก็ให้ทหารไปบอกนายด่านว่า จะพาชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าพระเจ้าอิวอ๋อง นายด่านสำคัญว่าจริงก็เปิดประตูด่านให้กองทัพเข้าไปจนถึงกำแพงเมืองหลวง เจ้าเมืองเกียงหยงเกณฑ์ทหารทำกระสอบสูงศอกเศษ บรรจุดินและทรายตั้งเคียงเรียงกันเป็นสนามเพลาะ ฝังหลักมั่นขันเชนาะกระหนาบคร่าวให้มั่นคง แล้วตัดกิ่งไม้ขัดตาชะแลงแกงรั้วไก่ ขึงผ้าขาววงรอบสูงห้าศอกเศษเป็นค่าย ทำเพดานดาษพอร่มนํ้าค้าง ชาเลเทตั้งค่ายประชิดล้อมเมืองเป็นสำคัญ ให้ทหารพูนทำนบปิดคลองนํ้าที่ไหลเข้าในเมืองไว้ และตั้งระหัดไขนํ้าออกมาหมายจะให้ชาวเมืองอดนํ้า

ฝ่ายเซ็กอูขณะเมื่อมีรับสั่งให้จัดแจงกองทัพจะไปตีเมืองสินยังมิทันจะยกไป พอกองทัพเมืองเกียงหยงมาล้อมเมืองไว้ก็ตกใจ จึงให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ แล้วเข้าไปกราบทูลให้ทราบทุกประการ พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัยนัก จึงตรัสปรึกษาเซ็กอูว่าทัพเมืองเกียงหยงมาตีเมืองเราครั้งนี้ประหลาดนัก ด่านตามทางหลายตำบลเหตุไรไม่ต้านทานไว้ ให้ทัพล่วงเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองไม่ทันรู้ตัวฉะนี้ ท่านจะคิดอ่านสู้รบประการใด เซ็กอูจึงทูลว่าอันทัพเมืองเกียงหยงล่วงด่านเข้ามาได้ครั้งนี้ เจ้าเมืองสินนำเข้ามาชาวด่านจึงมิได้สงสัย ด้วยว่าทัพเมืองสินเคยไปมาแต่ก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ไว้มั่นคง แต่ข้าศึกคิดปิดคลองนํ้ามิให้ไหลเข้ามาในเมือง ถ้าละไว้หลายวันเห็นผู้คนในเมืองเราจะอดนํ้า ขอให้จุดเอียนตุนขึ้นให้หัวเมืองทั้งปวงเห็นจะได้ยกมาช่วยตีเป็นศึกกระหนาบ กองทัพเมืองเกียงหยงก็จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ขึ้นไปจุดเพลิงบนเอียนตุน

ฝ่ายหัวเมืองบรรดาซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวง แลเห็นแสงเพลิงก็สำคัญว่าพระเจ้าอิวอ๋องให้จุดเอียนตุนเล่นเหมือนครั้งก่อนต่างเมืองก็มิได้ยกมา

ฝ่ายชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงให้ทหารตั้งค่ายประชิดเมืองโกเก๋งอยู่หลายวัน จึงให้ทหารเข้าไปทำลายประตูเมือง ทหารเมืองโกเก๋งก็คั่วกรวดทรายและเคี่ยวนํ้ามันซัดเทลงไปไม่ให้ทหารเมืองเกียงหยงเข้ามาทำลายประตูเมืองได้ ทหารเมืองเกียงหยงเอาบันไดหกมาพาดกำแพงเมืองได้หลายแห่ง ทหารเมืองโกเก๋งก็พุ่งสาตราวุธยิงเกาทัณฑ์ต้านทานไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันเป็นสามารถ นายทหารเมืองโกเก๋งเห็นเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอิวอ๋อง พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสสั่งเซ็กอูว่า ท่านจงคุมทหารม้าสองร้อยทหารเกวียนสองร้อยออกไปรบกับทหารเมืองเกียงหยงดูฝีมือสักครั้งหนึ่ง เซ็กอูได้ฟังดังนั้นเป็นทุกข์ใจนัก จึงทูลบิดพลิ้วแก้ตัวว่าข้าพเจ้าเป็นขุนนางพลเรือน วิชาทหารไม่ชำนิชำนาญ เกลือกจะเสียทีแก่ข้าศึก พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า ในเมืองโกเก๋งนี้ราชการทหารพลเรือนก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน ซึ่งท่านจะบิดพลิ้วอยู่ฉะนี้ผู้ใดจะออกไปรบเล่า เมืองเราจะไม่เสียแก่ข้าศึกหรือ เซ็กอูขัดรับสั่งไม่ได้ก็บังคมลาออกมา แต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือกระบี่พาทหารม้า ทหารเกวียน เปิดประตูเมืองออกไปรบกับทหารเมืองเกียงหยงซึ่งเข้ามาประชิดประตูนั้นถอยห่างออกไป

ขณะนั้นชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงกับสินเฮาเจ้าเมืองสินยืนม้าอยู่หน้าค่าย แลเห็นเซ็กอูออกมา สินเฮาจึงบอกทหารทั้งปวงว่า เซ็กอูคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เร่งจับตัวมาฆ่าเสียให้จงได้ พุดเตเตงแม่ทัพหน้าได้ยินดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้ารบกับเซ็กอู เซ็กอูไม่ชำนาญในการทหารกลัวจะเสียทีก็ขับม้าหนี พุดเตเตงขับม้าตามทันเอาทวนแทงถูกเซ็กอูตกจากหลังม้าตาย ทหารเมืองโกเก๋งเห็นแตกหนีเข้าเมือง ชาเลเทกับสินเฮาเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ติดตามเข้าไป ทหารเมืองโกเก๋งปิดประตูเมืองไม่ทัน ทหารเมืองเกียงหยงเข้าเมืองได้ก็จุดเพลิงเข้าเป็นหลายแห่ง ไล่ฆ่าทหารชาวเมืองเป็นอลวน ขุนนางในเมืองหลวงต่างแตกหนีกระจัดกระจายไม่สู้รบ สินเฮาร้องห้ามไม่ให้ทำอันตรายแก่ชาวเมืองทั้งปวง ทหารเมืองเกียงหยงก็ไม่ฟัง ไล่ฆ่าฟันชาวเมืองเข้าไปถึงประตูวัง

ฝ่ายพระเจ้าอิวอ๋องได้ยินเสียงอื้ออึง แจ้งว่าข้าศึกเข้าเมืองได้ก็ตกพระทัยนัก จึงให้นางโปซูกับเป๊กฮกขึ้นขี่รถๆ หนึ่ง พระเจ้าอิวอ๋องรถๆ หนึ่ง ให้เปิดประตูหลังวังขับรถออกมาพบเตงเป๊กอิวที่ประตูวัง เตงเป๊กอิวก็เชิญเสด็จขึ้นไปบนเขาลิสาน เขาลิสานอยู่ในกำแพงเมืองชั้นนอก พระเจ้าอิวอ๋องสิ้นสติไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงให้จุดเอียนตุนขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็ไม่ได้เห็นกองทัพหัวเมืองยกมา

พออินกิ๋วมาทันเสด็จทูลพระเจ้าอิวอ๋องว่า ข้าศึกจุดเพลิงติดฉางข้าวขึ้นไหม้ลุกลามไปเป็นอันมาก เค็ดก๋งกับเจก๋งนั้นทหารเมืองเกียงหยงฆ่าเสียแล้ว พระเจ้าอิวอ๋องฟังอินกิ๋วทูลความมิทันขาดคำ พอได้ยินเสียงเท้าม้าและทหารเมืองเกียงหยงอื้ออึงขึ้นมาบนเขาแล้วร้องว่า อิวอ๋องอยู่แห่งใดเร่งออกมาโดยดี

พระเจ้าอิวอ๋องยิ่งตกพระทัยนัก ยุดมือเตงเป๊กอิวเข้าไว้ทรงพระกันแสงตรัสแก่เตงเป๊กอิวว่า เมื่อเซ็กอูจุดเอียนตุนจะให้นางโปซูหัวเราะนั้นท่านได้ห้ามปรามเราไม่ฟังคำท่าน ครั้นบ้านเมืองเกิดศึกขึ้นเราให้จุดเอียนตุนจะให้หัวเมืองยกทัพมาช่วยก็ไม่เห็นมา เห็นหัวเมืองทั้งปวงจะสำคัญว่าจุดเอียนตุนเล่นเหมือนครั้งก่อนจึงมิได้มาช่วย ครั้งนี้เราถึงแก่อับจนแล้ว เห็นแต่ท่านจงช่วยคิดอ่านให้เรารอดชีวิต เตงเป๊กอิวจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะคิดอุบายล่อลวงทหารเมืองเกียงหยงให้ไปหาที่พลับพลาสูง แล้วข้าพเจ้าจะเชิญเสด็จพระองค์หนีไปทางหลังเขาลิสาน เตงเป๊กอิวจึงสั่งอินกิ๋วว่า เราจะไปจุดเพลิงที่พลับพลาสูง ท่านจงเชิญเสด็จไปบนหลังเขาลิสาน เตงเป๊กอิวสั่งอินกิ๋วแล้วก็ไปจุดเพลิงไหม้พลับพลาสูงขึ้น แล้วรีบขับม้าตามเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องไป

ขณะนั้นโกลิเซ็กนายทหารเมืองเกียงหยง เห็นเพลิงไหม้พลับพลาสูงขึ้นจึงขับม้าพาทหารมาดูมิได้เห็นผู้ใดก็กลับไปทางหลังเขาแลเห็นรถสองรถมีแต่ทหารสองคนขี่ม้าตามหลังรถไป โกลิเซ็กก็ขับม้ารำทวนไล่กระชั้นเข้าไป เตงเป๊กอิวก็กลับม้ามารบกับโกลิเซ็กได้ห้าเพลง โกลิเซ็กเสียทีเตงเป๊กอิวเอาทวนแทงถูกโกลิเซ็กตกม้าลงตาย แล้วเตงเป๊กอิวก็เชิญเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องรีบหนีไป

ฝ่ายขุนนางเมืองหลวงรู้ว่าพระเจ้าอิวอ๋องหนีข้าศึกไปถึงเขาลิสานต่างคนไปตามเสด็จ ทหารเมืองเกียงหยงเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงไปเป็นอันมากถูกขุนนางทั้งปวงล้มตายแตกหนีกระจายไปสิ้น

ขณะนั้นเจ้าเมืองเกียงหยงขับม้าพาทหารมาทางหลังเขาลิสานพบพระเจ้าอิวอ๋อง เจ้าเมืองเกียงหยงมิได้รู้จักจึงขับม้าพาทหารเข้าล้อมไว้ เตงเป๊กอิวกับอินกิ๋วสู้รบเป็นสามารถ เห็นเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ เตงเป๊กอิวก็ขับม้าฝ่าทหารเมืองเกียงหยงออกจากที่ล้อม ชาเลเทก็ขับม้าพาทหารเข้าจับพระเจ้าอิวอ๋องกับอินกิ๋วไว้ได้ ชาเลเทเห็นเข็มขัดประดับแก้วเป็นของกษัตริย์ก็รู้ว่าพระเจ้าอิวอ๋อง เจ้าเมืองเกียงหยงก็ให้ทหารพาพระเจ้าอิวอ๋องกับเป๊กฮกอินกิ๋วไปฆ่าเสีย

ขณะเมื่อเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสียนั้น ศักราชพระเจ้าอิวอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบเอ็ดปี เสียเมืองแก่เจ้าเมืองเกียงหยง เจ้าเมืองเกียงหยงก็พานางโปซูลงจากเขาลิสานมาหาสินเฮา

ฝ่ายสินเฮาเห็นไฟไหม้เมืองหลวงขึ้น เกรงทหารเมืองเกียงหยงจะทำอันตรายแก่พระเจ้าอิวอ๋อง ก็ให้ทหารขึ้นดับไฟ แต่ตัวสินเฮานั้นรีบไปถอดนางสินฮองฮอ ซึ่งต้องจำออกจากตึกที่จำขัง แล้วเข้าไปค้นหาพระเจ้าอิวอ๋องในวังก็มิพบ พอขันทีบอกว่าพระเจ้าอิวอ๋องพานางโปซูหนีไปเขาลิสาน สินเฮาแจ้งความนั้นแล้วออกจากประตูเมืองไปถึงเขาลิสาน พบเจ้าเมืองเกียงหยงพานางโปซูกลับมา จึงถามว่าพบพระเจ้าอิวอ๋องหรือไม่ เจ้าเมืองเกียงหยงบอกสินเฮาว่า พระเจ้าอิวอ๋องกับเป๊กฮกเราฆ่าเสียแล้ว สินเฮาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เดิมข้าพเจ้าขอกองทัพท่านมาช่วยกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องพอพ้นจากเมือง จะให้งีเป๊กขึ้นว่าราชการแทนบิดา ครั้นท่านเข้าเมืองได้ ให้จุดไฟเผาเมืองแล้วฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสียฉะนี้ ขุนนางและราษฎรทั้งปวงจะนินทาว่าข้าพเจ้าทำร้ายพระมหากษัตริย์ไม่ควรนัก เจ้าเมืองเกียงหยงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า ท่านใจอ่อนเหมือนใจผู้หญิง เราเห็นว่าอิวอ๋องไม่อยู่ในสัจธรรม เราจึงฆ่าเสียหามีความนินทาไม่ ว่าแล้วเจ้าเมืองเกียงหยงก็กลับไปค่าย

สินเฮาก็ไปทำการฝังศพพระเจ้าอิวอ๋อง ณ เขาลิสาน ตามอย่างกษัตริย์ แล้วกลับมาเมืองหลวงจัดแจงที่เสด็จออกให้เจ้าเมืองเกียงหยงอยู่อาศัย แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเจ้าเมืองเกียงหยงและทหารทั้งปวง เจ้าเมืองเกียงหยงกับนางโปซูกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันเป็นสุขสบายอยู่ มิได้คิดที่จะกลับไปบ้านเมือง สินเฮาเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนเจ้าเมืองเกียงหยงเป็นหลายครั้ง จะให้เจ้าเมืองเกียงหยงกลับไปเมือง เจ้าเมืองเกียงหยงก็มิได้ไป ด้วยนางโปซูชวนเจ้าเมืองเกียงหยงไว้จะให้อยู่เมืองโกเก๋ง

สินเฮามิรู้ที่จะทำประการใด จึงพานางสินฮองฮอมาอาศัยตึกริมประตูเมือง แล้วแต่งหนังสือลับสามฉบับ ให้ม้าเร็วถือไปถึงกีเสือเจ้าเมืองจิ้น หัวเมืองทิศเหนือฉบับหนึ่ง ไปถึงกีโหเจ้าเมืองโอย หัวเมืองตะวันออกฉบับหนึ่ง ไปถึงเองไขเจ้าเมืองจิ๋น หัวเมืองตะวันตกฉบับหนึ่ง ใจความในหนังสือต้องกันทั้งสามฉบับ ม้าใช้ทั้งสามต่างคนรับหนังสือคำนับลาขึ้นม้าแยกกันไปตามสินเฮาสั่ง

ขณะนั้นพอมีผู้มาบอกสินเฮาว่าทหารเมืองเกียงหยงฆ่าเตงเป๊กอิวตาย สินเฮาจึงแต่งหนังสืออีกฉบับหนึ่งไปถึงเตงกุดเจ้าเมืองเตง ซึ่งเป็นบุตรเตงเป๊กอิวว่า ชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงยกมาตีเมืองหลวงได้ เตงเป๊กอิวเชิญเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องหนีไป ทหารเมืองเกียงหยงตามจับพระเจ้าอิวอ๋องฆ่าเสีย เตงเป๊กอิวถูกลูกเกาทัณฑ์ตายอยู่กลางทาง ไม่มีผู้ใดฝังศพ บัดนี้เจ้าเมืองเกียงหยงเข้าอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้กลับไปเมือง เราก็ได้มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ๋นให้ยกกองทัพมาช่วยกำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงด้วย ให้เจ้าเมืองเตงรีบยกทหารมาโดยเร็ว จะได้ทำการฝังศพเตงเป๊กอิวผู้บิดา ถ้าช้าอยู่เมืองหลวงจะเป็นเมืองของชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยงแต่งหนังสือแล้วเข้าผนึกส่งม้าเร็วไปเมืองเตง

ฝ่ายเตงกุดเจ้าเมืองเตง ออกนั่งข้างหน้าปรึกษาราชการกับขุนนางทั้งปวง พอนายประตูเข้ามาบอกว่ามีผู้ถือหนังสือมาจึงคำนับส่งหนังสือให้ เตงกุดรับหนังสือมาอ่านแจ้งความว่า ชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงยกทัพมาตีเมืองหลวงได้ ฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องและบิดาตาย เตงกุดแจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รักบิดาจนสิ้นสมปฤดี ครั้นหายความโศกแล้วจึงนุ่งห่มขาวตามธรรมเนียม เตงกุดคิดแค้นเจ้าเมืองเกียงหยงนักจึงจัดแจงทหารเอกสามร้อยขี่เกวียนคนละเล่ม มีทหารเลวตามเกวียนเล่มละสิบคน ทหารม้าสามร้อย ทหารเลวตามม้าละสิบคน เข้ากันเป็นทหารเอกหกร้อย ทหารเลวหกพัน ตั้งเป็นกระบวนทัพสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธพร้อมแล้ว เตงกุดแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธขึ้นขี่เกวียนด้วยม้า ยกทัพออกจากเมืองเตง ให้กองทัพหน้าตัดทางตรงไปเมืองหลวงเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงด่านเมืองโกเก๋งจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้

ฝ่ายชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยง ใช้ให้คนไปสืบราชการอยู่ ณ ด่าน ครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองเตงยกทัพมา ก็ขึ้นม้ารีบเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเกียงหยงทุกประการ ชาเลเทได้แจ้งดังนั้น จึงสั่งพุดเตเตงกับบ้วนน้าให้คุมทหารไปซุ่มอยู่ที่ริมประตูชั้นนอก ถ้าทัพเมืองเตงทำลายประตูเมืองชั้นนอกเข้ามา จึงให้ตีม้าล่อกลองรบขึ้นขับทหารตีตัดหลัง เราจะเปิดประตูชั้นกลางออกไปรบต้านหน้าไว้ จับตัวเตงกุดให้จงได้ ทหารทั้งสองรับคำไปทำตามสั่ง ชาเลเทจัดทหารพร้อมกันแล้ว ขึ้นไปแอบคอยฟังม้าล่ออยู่บนเชิงเทินชั้นกลาง

ฝ่ายเตงกุดครั้นเวลาคํ่าจัดแจงทหารจะยกเข้าตีเมืองโกเก๋ง ก๋งจูเสงจึงห้ามเตงกุดว่า กองทัพเรายกมาทั้งกลางวันกลางคืนพึ่งมาถึง ทหารยังอิดโรยกำลังอยู่ จะรีบยกเข้าตีเมืองโกเก๋งนั้นเห็นจะเสียทีของดไว้ท่ากองทัพสามเมืองมาพร้อมกันก่อน จึงยกเข้าตีเมืองโกเก๋งเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เตงกุดจึงว่าซึ่งท่านว่าก็ชอบอยู่ แต่เราเห็นว่าถ้างดกองทัพไว้หลายวัน เจ้าเมืองเกียงหยงรู้ก็จะรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง เห็นเราจะทำยาก จำจะรีบยกเข้าตีเสียโดยเร็วอย่าให้ทันรู้ตัว ก็คงจะได้ชัยชนะโดยง่ายเหมือนกัน ว่าแล้วเตงกุดแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือทวน ยกทหารออกจากค่ายไปถึงเชิงกำแพงเมืองโกเก๋ง เห็นประตูเมืองปิดอยู่ไม่ได้เห็นทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินจึงสั่งทหารให้ทำลายประตูเข้าไป

ฝ่ายพุดเตเตงกับบ้วนน้าซึ่งซุ่มอยู่นั้น เห็นทัพเตงกุดถลำเข้าไปได้ทีก็ให้ตีม้าล่อและกลองศึก ขับทหารออกสกัดทางไว้ ฝ่ายชาเลเทขึ้นแอบอยู่บนเชิงเทิน เห็นทหารสองนายออกสกัดทางไว้แล้วก็ลงจากเชิงเทิน ขึ้นม้าถือทวนพาทหารเปิดประตูเมืองชั้นกลางออกรบต้านทานทัพเตงกุดไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายพุ่งสาตราวุธยิงเกาทัณฑ์รบกันเป็นสามารถ พุดเตเตงกับบ้วนน้าก็ขับทหารตีกระหนาบหลัง เตงกุดตกอยู่ในกลางศึกกระหนาบ ทหารถูกอาวุธล้มตายเป็นอันมาก เห็นจะต้านทานไม่ได้ก็ขับม้าฝ่าทหารพุดเตเตงออกมานอกเมือง ทหารเกียงหยงก็ไล่ติดตามฆ่าฟันทหารเตงกุดไปทางประมาณสามร้อยเจ็ดสิบเส้น ชาเลเทให้ตีม้าล่อเรียกทหารกลับ เก็บได้เครื่องสาตราวุธเป็นอันมากแล้วคืนเข้าเมือง

ฝ่ายเตงกุดแตกหนีทหารเมืองเกียงหยงมาถึงตำบลเป๊กเอี๋ยงจึงหยุดตรวจทหารที่เหลือมาได้สองส่วน ตายในที่รบประมาณส่วนหนึ่ง เตงกุดเสียใจนัก จึงว่าแก่ก๋งจูเสงว่า เราเสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยงครั้งนี้ เพราะเราไม่เชื่อท่านห้ามปราม จึงได้อัปยศแก่ชาเลเทท่านจะคิดอ่านประการใดเล่า ก๋งจูเสงจึงว่า บัดนี้เราก็มาถึงตำบลเป๊กเอี๋ยงหนทางจะไปเมืองโอย จำเราจะไปพากองทัพเมืองโอยกลับมาช่วยกันเป็นสองทัพ ตีทัพเมืองเกียงหยงเห็นจะได้ชัยชนะ เตงกุดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงขับม้าพาทหารเดินไปได้สองวันพอได้ยินเสียงอื้ออึงมาข้างหน้า แลไปเห็นธงหน้าทัพจารึกอักษรว่า โอยฮาบุนเก๋งแปลว่ากองทัพเจ้าเมืองโอย เตงกุดก็ยินดีจึงหลีกเข้าข้างทาง พอเจ้าเมืองโอยมาถึง เตงกุดลงจากหลังม้าเข้าไปคำนับกีโหเจ้าเมืองโอย กีโหเจ้าเมืองโอยไม่รู้จักเตงกุด รับคำนับแล้วจึงถามว่าท่านชื่อไร พาทหารมาตั้งอยู่ที่นี่จะไปไหน เตงกุดจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเตงกุดเป็นเจ้าเมืองเตง บิดาข้าพเจ้าชื่อเตงเป๊กอิว บัดนี้เจ้าเมืองสินมีหนังสือบอกไปถึงข้าพเจ้าว่า ชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงยกทัพมาตีเมืองโกเก๋งได้ ฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสีย ทั้งบิดาข้าพเจ้าก็ถูกเกาทัณฑ์ตาย ข้าพเจ้ายกมารบแก้แค้นก็เสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยง ข้าพเจ้าจะไปเชิญท่านมาช่วยจับเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าเสีย พอพบกองทัพท่านยกมาข้าพเจ้านี้ยินดีหาที่สุดมิได้ ดูท่านแก่ชราลงกว่าแต่ก่อน แต่รูปทรงยังสมบูรณ์งามดังเทวดา อายุท่านทุกวันนี้ประมาณสักเท่าใด กีโหเจ้าเมืองโอยจึงบอกว่า อายุเราได้แปดสิบห้าปีแล้ว แต่กำลังวังชายังปกติอยู่ ซึ่งเมืองโกเก๋งเสียแก่ชาเลเทนั้น เจ้าเมืองสินก็มีหนังสือบอกไปถึงเรากับเจ้าเมืองจิ้นเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งความแล้ว กองทัพเมืองจิ้นเมืองจิ๋นก็จะยกตามมาข้างหลัง แล้วกีโหกับเตงกุดก็ยกทัพมาตั้งค่ายลงสองค่าย ใกล้เมืองโกเก๋งทางสามร้อยเจ็ดสิบเส้น กีโหจึงให้ม้าเร็วไปสืบกองทัพเมืองจิ๋นเมืองจิ้น ม้าเร็วก็ไปสืบได้ความแล้วกลับมาบอกกีโหว่า ทัพเมืองจิ้นยกมาตั้งค่ายอยู่ทิศเหนือ ทัพเมืองจิ๋นนั้นตั้งค่ายอยู่ทิศตะวันตก ทั้งสองทัพตั้งค่ายห่างเมืองทางประมาณสองร้อยห้าสิบเส้น กีโหได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า เองไขเจ้าเมืองจิ๋นยกทัพมาช่วยเมืองหลวงครั้งนี้เพราะบุญงีเป๊กไทจู๊จะได้สืบเชื้อพระวงศ์ต่อไป

เตงกุดได้ฟังกีโหชมแต่เจ้าเมืองจิ๋นก็น้อยใจ จึงถามกีโหว่าท่านชมแต่เจ้าเมืองจิ๋นเมืองเดียว หัวเมืองทั้งปวงซึ่งยกมาครั้งนี้มิได้ยกความชอบนั้นด้วยเหตุประการใด กีโหหัวเราะแล้วว่า ซึ่งเราชมเจ้าเมืองจิ๋น เพราะเจ้าเมืองจิ๋นกับเจ้าเมืองเกียงหยงเป็นข้าศึกกัน ทหารชาเลเทสู้ทหารเมืองจิ๋นมิได้ อันเมืองจิ๋นกับเมืองเกียงหยงอยู่ใกล้แดนกัน ทหารเมืองจิ๋นก็รู้จักภาษาชาวเมืองเกียงหยง ซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นยกมาช่วยกำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงครั้งนี้ เราเห็นว่าจะได้ชัยชนะ

ขณะนั้นนายประตูเข้ามาบอกว่า เจ้าเมืองจิ้นกับเจ้าเมืองจิ๋นจะมาคำนับ กีโหก็ให้ออกไปรับเข้ามาในค่าย เชิญให้นั่งที่สมควร ต่างคำนับกันตามธรรมเนียม เองไขเจ้าเมืองจิ๋น กีเสือเจ้าเมืองจิ้นเห็นเตงกุดนุ่งผ้าขาวห่มขาว จึงถามกีโหว่าผู้นี้ชื่อไร กีโหจึงบอกว่าชื่อเตงกุดบุตรเตงเป๊กอิว เองไขเจ้าเมืองจิ๋นกับกีเสือเจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นต่างทักทายเตงกุด กีโหจึงว่าทุกวันนี้เราก็แก่ชรา สติปัญญาก็เคลิ้มเขลาไม่ว่องไวเหมือนแต่ก่อน เราอุตส่าห์ยกทัพมาด้วยความกตัญญูต่อแผ่นดิน บัดนี้กองทัพก็พร้อมแล้ว ท่านทั้งสองยังกำลังหนุ่มทั้งสติปัญญาก็เฉลียวฉลาด ช่วยกันยกเข้าตีทัพเมืองเกียงหยงเสียให้ได้โดยเร็ว ถ้าช้าถึงสองวันเราเห็นว่าเจ้าเมืองเกียงหยงรู้ตัวก็จะคิดจัดแจงรักษาเมืองไว้มั่นคง ภายหลังเราจะทำยาก ท่านจะเห็นประการใด เองไขจึงว่าซึ่งท่านว่านี้ชอบนัก แต่ข้าพเจ้าแจ้งความอยู่ว่านํ้าใจชาเลเทเป็นคนโลภทรัพย์และเมามัวไปด้วยการอิสตรี เจ้าเมืองเกียงหยงได้นางโปซูเป็นภรรยาเห็นจะเพลิดเพลินไป หาคิดที่จะทำการป้องกันรักษาชีวิตของตัวไม่ ข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองหลวงให้สินเฮาเปิดประตูเมืองรับ เวลาคํ่านี้จะเข้าปล้นเมืองจับตัวชาเลเทประหารชีวิตเสีย ท่านจะเห็นประการใด กีโหเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ให้กีเสือไปคอยประตูด้านเหนือ ให้เองไขไปคอยประตูด้านตะวันออก เราจะเข้าประตูด้านใต้ ให้เตงกุดไปคอยที่ช่องแคบข้างทิศตะวันตก เวลาสามยามเราจะจุดประทัดสัญญาให้เข้าเมืองพร้อมกันทั้งสามด้าน ถ้าชาเลเทเสียทีหนีไปทิศตะวันตกถึงที่ช่องแคบแล้ว ให้เตงกุดขับทหารออกจับฆ่าเสียให้สิ้น ครั้นเวลาเย็นลงต่างคนก็ไปตามกีโหสั่ง

ฝ่ายสินเฮาตั้งอยู่ในเมืองหลวงข้างทิศตะวันออก แจ้งว่าเจ้าเมืองเตงยกมาเสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยงก็เสียใจนัก จึงให้ทหารขึ้นหอคอยคอยดูกองทัพหัวเมืองมิได้ขาด พอตะวันยอแสง มีผู้ได้หนังสือเองไขผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้ามาในเมืองไปส่งมอบสินเฮา สินเฮาอ่านแจ้งความแล้วก็ดีใจ จึงบอกจิวก๋งว่า กองทัพหัวเมืองยกมาจะปล้นเมืองจับเจ้าเมืองเกียงหยงในเวลาคํ่านี้ ท่านจงพาพวกทหารเราไปปลอมเป็นทหารเกียงหยงอยู่ที่ประตูเมืองทั้งสี่ด้าน เราจะเข้าไปพูดล่อลวงให้เจ้าเมืองเกียงหยงขนทรัพย์สิ่งของเปิดประตูเมืองหนี ถ้าเจ้าเมืองเกียงหยงจะคิดอ่านต่อสู้มิหนีจากเมืองหลวง เวลาคํ่าลงท่านจงคอยฟังเสียงประทัดนอกเมือง ถ้าได้ยินประทัดสัญญาแล้วจงเปิดประตูทั้งสี่ด้านรับกองทัพหัวเมืองเข้ามา จะได้ช่วยกันจับเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าเสีย จิวก๋งก็รับคำแล้วไปจัดทหารให้ไปปลอมเป็นทหารเมืองเกียงหยง อยู่ทุกประตูเมืองตามสิ้นเฮาสั่ง

สินเฮาจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองเกียงหยงแล้วบอกว่า บัดนี้กองทัพเมืองจิ้นและหัวเมืองทั้งปวงยกมาเป็นสามารถหลายเมืองแล้ว ท่านจะต้องการทรัพย์ข้าวของสิ่งใดก็เร่งขนไปเสียในเวลากลางคืนวันนี้ ถ้าช้าอยู่จนรุ่งเช้าหัวเมืองทั้งปวงจะยกเข้าล้อมเมืองโกเก๋งไว้เห็นจะออกยาก จะต้องรบพุ่งกันจนสิ้นฝีมือ ถ้าเสียทีแก่หัวเมืองทั้งปวงท่านจะเสียประโยชน์หลายประการ

เจ้าเมืองเกียงหยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เราอยู่ทั้งนี้จะปรารถนาครองเมืองก็หามิได้ เราจะต้องการแต่ผู้หญิงรูปงามกับทรัพย์เงินทองสิ่งของทั้งปวง ท่านจงอยู่รับกองทัพหัวเมืองเถิด เราจะลาไปในเวลาวันนี้แล้ว เจ้าเมืองเกียงหยงจึงสั่งพุดเตเตงกับบ้วนน้าว่า ท่านจงขนทรัพย์สิ่งของทองเงินกับนางสนมซึ่งนางโปซูเลือกสรรไว้นั้นบรรทุกเกวียนไว้ให้พร้อม เราจะหนีกองทัพหัวเมืองไปในเวลาคํ่าวันนี้

นายทหารทั้งสองรับคำ แล้วลาออกมาขนของบรรทุกเกวียนไว้ตามเจ้าเมืองเกียงหยงสั่ง ครั้งนั้นพวกทหารชาเลเทได้ผู้หญิงชาวเมืองหลวงเป็นภรรยาคนละคนบ้าง สองคนบ้าง ครั้นรู้ว่านายจะล่าทัพก็จัดแจงเกวียนบรรทุกข้าวของอยู่วุ่นวาย ครั้นเวลาคํ่าพุดเตเตงกับบ้วนน้าก็ให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศขับเกวียนอพยพครอบครัวออกจากเมือง

ฝ่ายเองไข กีโห กีเสือ ซึ่งซุ่มทัพอยู่ประตูเมือง ครั้งเห็นทหารเกียงหยงเปิดประตูขับเกวียนออกมาดังนั้น กีโหได้ทีก็ให้จุดประทัดสัญญา ทหารหัวเมืองทั้งสามเมืองก็ตีกลองศึกอื้ออึงขึ้นแล้วไล่ฆ่าฟันทหารเกียงหยงเข้ามาในประตูเมืองทั้งสามด้าน พุดเตเตงกับบ้วนน้าจะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าฝ่าทหารหนีเอาชีวิตรอด กองทัพหัวเมืองก็ไล่ฆ่าฟันทหารเกียงหยงเข้ามาถึงประตูวัง

ขณะนั้นเจ้าเมืองเกียงหยงได้ยินทหารอื้ออึงรู้ว่าทัพหัวเมืองเข้าเมืองได้ ก็ตกใจ มิทันใส่เกราะฉวยได้ทวน ขึ้นหลังม้าพาทหารประมาณร้อยเศษออกจากวังหนีไปทางประตูตะวันตก ขณะนั้นนางโปซูตกใจวิ่งเสือกสนอยู่ในวัง ครั้นจะตามเจ้าเมืองเกียงหยงไปก็กลัวทัพหัวเมืองจะจับตัวได้ จึงคิดแต่ในใจว่าพระเจ้าอิวอ๋องก็ตายแล้ว เจ้าเมืองเกียงหยงก็ทิ้งเสียฉะนี้ เราจะครองชีวิตไว้ ถ้างีเป๊กได้เป็นเจ้า มารดางีเป๊กกับงีเป๊กพยาบาทจะทำโทษเราถึงสาหัส จะฆ่าตัวให้ตายเสียดีกว่า คิดแล้วนางโปซูก็ผูกคอตายในเวลากลางคืนวันนั้น

ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยงขับม้าพาทหารหนีมา จะไปทางเหนือทางใต้ก็มิได้ เห็นแต่ทหารหัวเมืองอยู่แน่นไปทุกทิศ ก็ขับม้าเข้ารบรอหาที่ช่องจะออก พอเห็นทหารเมืองจิ้นจุดคบเพลิงสว่างขึ้น เจ้าเมืองเกียงหยงตกใจนัก ก็ขับม้าฟันฝ่าทหารหนีไปทางตะวันตก พบเตงกุดยืนม้าอยู่กลางทาง เตงกุดขับม้ารำทวนเข้ารบ เจ้าเมืองเกียงหยงรบกับเตงกุดอยู่กลางแปลงเห็นกองทัพเมืองจิ้นใกล้เข้ามา ก็ขับม้าฝ่าทหารเมืองเตงหนีไป เตงกุดเองไขก็ขับม้าพาทหารไล่ติดตามไปทางประมาณหกร้อยยี่สิบห้าเส้น เป็นเวลาดึกมืดนักจะตามต่อไปมิได้ ก็พากันกลับมาเก็บทรัพย์สิ่งของซึ่งทหารเมืองเกียงหยงทิ้งไว้ตกเรี่ยรายอยู่เป็นอันมากจนเวลารุ่งสว่าง

เจ้าเมืองโอยเจ้าเมืองเตงเจ้าเมืองจิ้นเจ้าเมืองจิ๋น ก็ให้ทหารขนทรัพย์สิ่งของทองเงินซึ่งเป็นของหลวงและนางสนมกำนัลเข้าไปส่งสินเฮา สินเฮาก็มอบให้ชาวพระคลังรักษาไว้ตามที่ แล้วส่งนางสนมทั้งปวงเข้าไปในวัง สินเฮาจึงเชิญเจ้าเมืองทั้งสี่เข้ามาที่อยู่ ต่างคนคำนับกันแล้วสินเฮาจึงสั่งเจ้าพนักงานให้แต่งโต๊ะเลี้ยง กีโหจึงว่าเมืองหลวงยังหาเจ้ามิได้ จะพากันมานั่งกินโต๊ะอยู่ ไม่คิดอ่านที่จะไปเชิญไทจู๊มาเป็นเจ้านั้นไม่ควร บัดนี้เรากำจัดชาเลเทได้แล้ว ชอบให้ไปเชิญงีเป๊กมาครองราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์บำรุงราษฎรให้เป็นสุข แล้วเราจึงนั่งกินโต๊ะเสพสุราลงคอ เจ้าเมืองเตงได้ฟังก็เห็นชอบด้วยจึงว่า ข้าพเจ้ายังหามีความชอบในไทจู๊ไม่ จะขอไปเชิญเสด็จไทจู๊มาครองสมบัติเป็นความชอบของข้าพเจ้าไว้ ขอท่านทั้งสี่จงกรุณาช่วยทำนุบำรุงให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนางแทนบิดาสืบไป เจ้าเมืองทั้งสี่จึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจะช่วยทูลเสนอให้ท่านได้เป็นขุนนางแทนบิดา ซึ่งท่านจะไปเชิญเสด็จไทจู๊มาครั้งนี้ เราทั้งสี่เมืองจะเกณฑ์ทหารให้ไปด้วย เจ้าเมืองเตงจึงตอบว่าแต่พวกทหารของข้าพเจ้าก็พอจะไปเชิญเสด็จไทจู๊ได้มิให้เป็นอันตรายท่านอย่าวิตกเลย เจ้าเมืองเตงก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารเกวียน ทหารม้า ยกออกจากเมืองไปเมืองสิน

ฝ่ายงีเป๊กอยู่เมืองสิน ตั้งแต่สินเฮาผู้ตากับเจ้าเมืองเกียงหยงยกทัพไปตีเมืองหลวง มิได้รู้ว่าดีและร้ายประการใด งีเป๊กเป็นทุกข์ใจนัก คอยฟังข่าวอยู่ทุกวันมิได้ขาด ครั้นเตงกุดไปถึงเมืองสิน นายประตูเข้ามาบอกงีเป๊กว่าเจ้าเมืองเตงมาแต่เมืองหลวงจะเข้ามาคำนับท่าน งีเป๊กจึงสั่งให้ขุนนางออกไปรับเจ้าเมืองเตงเข้ามา เตงกุดคำนับงีเป๊กแล้วบอกว่า ชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงยกทัพมาตีเมืองหลวงได้ จับพระเจ้าอิวอ๋องฆ่าเสีย เจ้าเมืองสินมีหนังสือไปถึงเมืองโอยซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ กับหัวเมืองทั้งสามยกมากำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้แล้ว กีโหให้ข้าพเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไปครองเมืองหลวง งีเป๊กแจ้งว่าเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระบิดาเสียดังนั้นก็ร้องไห้แค้นใจว่ามิได้ไปช่วยบิดาทำการศึก จึงลุกขึ้นจะเอาศีรษะโดนเสาเสียให้ตาย เตงกุดก็เข้ากอดงีเป๊กไว้แล้วว่า จักได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว จะมาทำดังนี้หาควรไม่ ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงจะพึ่งบุญผู้ใด งีเป๊กได้ฟังดังนั้นก็ได้สติทรุดนั่งลง ขุนนางทั้งปวงต่างคนว่ากล่าวเอาใจงีเป๊กให้บรรเทาที่ความโศกแล้ว เจ้าเมืองเตงก็จัดหาทหารคู่แห่ เตรียมรถและเครื่องสูงสำหรับกษัตริย์เสร็จแล้ว ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็เชิญงีเป๊กขึ้นทรงรถ ตีม้าล่อฆ้องกลอง ทหารแห่ออกจากเมืองสินเดินตามระยะทางไปเมืองหลวง

ฝ่ายกีโหกับเองไขกีเสือ และขุนนางทั้งปวงรู้ว่างีเป๊กมาจะใกล้ถึงเมืองหลวงก็ชวนกันไปคอยรับเสด็จ ทางไกลประมาณสามร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น พอรถงีเป๊กมาถึงต่างคนต่างคำนับแล้วเชิญงีเป๊กเข้าในเมืองหลวง งีเป๊กเห็นตึกกว้านบ้านขุนนางเพลิงไหม้ ถิ่นฐานที่เคยสนุกสบายก็ร่วงโรยไปสิ้นทุกแห่ง งีเป๊กก็กลั้นความโศกมิได้ก็ร้องไห้รักพระบิดา จนมาถึงเกยจึงลงจากรถเข้าไปคำนับสินเฮา ณ ที่ออกขุนนาง ขุนนางทั้งปวงก็คำนับงีเป๊กพร้อมกันแล้ว งีเป๊กเข้าไปในวังคำนับนางสินฮองฮอผู้มารดา ต่างร้องไห้เล่าซึ่งความทุกข์ยากแต่หลังทุกประการ

ขณะนั้นสินเฮาจึงให้จิวก๋งไปจัดแจงตำหนักและที่บรรทมซึ่งชำรุดให้งามบริบูรณ์ขึ้นดังเก่า ครั้นถึงวันฤกษ์ดีกีโหกับสินเฮาก็ตั้งเครื่องบวงสรวงเทวดาซึ่งตั้งแผ่นดินและแผ่นฟ้า จุดธูปเทียนบูชาพระมหากษัตริย์ ณ หอไทเบี้ยว แล้วยกงีเป๊กขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามพระเจ้าเบ๊งอ๋องครองเมืองโกเก๋ง

วันหนึ่งพระเจ้าเบ๊งอ๋องเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางเฝ้าพร้อมกัน ตรัสยกความชอบสินเฮาว่า ได้ช่วยคิดอ่านกำจัดชาเลเทเสียได้ จะให้เป็นที่สินก๋ง คำไทยว่าเจ้าพระยา สินเฮาจึงทูลว่า เดิมข้าพเจ้าเห็นเมืองหลวงไม่เป็นยุติธรรม ราษฎรได้ความเดือดร้อนจึงพากองทัพชาเลเทยกมาตีเมืองหลวง เจ้าเมืองเกียงหยงจึงได้ทำประทุษร้ายแก่พระเจ้าอิวอ๋องจนบ้านเมืองเกิดจลาจล โทษข้าพเจ้าครั้งนี้ถึงตาย ซึ่งหัวเมืองทั้งสี่ยกมาช่วยกำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้ครั้งนี้ เพราะบุญของพระองค์ที่จะได้ครองราชสมบัติบำรุงแผ่นดินต่อไป และจะยกข้าพเจ้าว่ามีความชอบให้เป็นที่สินก๋งนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบ พระเจ้าเบ๊งอ๋องตรัสว่า ซึ่งเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระบิดาหลานเสียครั้งนี้ก็เพราะบุญบิดาสิ้นแล้ว จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่างๆ จนถึงสวรรคต และท่านคิดอ่านมีหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งสาม ให้มากำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้นั้น ท่านมีความชอบเป็นอันมาก สมควรเป็นที่สินก๋ง แล้วพระเจ้าเบ๊งอ๋องตั้งกีโหเป็นที่โอยก๋ง ให้เองไขเจ้าเมืองจิ๋นเป็นจิ๋นก๋ง ให้กีเสือเจ้าเมืองจิ้นเป็นที่จิ้นก๋ง แล้วแบ่งหัวเมืองน้อยให้เป็นส่วยขึ้นกับเจ้าเมืองทั้งสามมากกว่าแต่ก่อน แล้วให้จิ้นก๋งเป็นที่ไทจู๊ ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน แต่กีโหซึ่งเป็นโอยก๋งเจ้าเมืองโอยนั้น ให้ว่าที่ไตสุมาเตาขุนนางผู้ใหญ่ได้บังคับฝ่ายทหารด้วย สินเฮาจึงทูลว่าเตงกุดเจ้าเมืองเตง บุตรเตงเป๊กอิวคนนี้มีความชอบมากอยู่ขอให้เป็นที่แทนเตงเป๊กอิวผู้บิดา จะยกนางเกียงฮูหยินผู้น้องสินฮองฮอให้อยู่กินกับเตงกุด พระเจ้าเบ๊งอ๋องก็เห็นด้วย จึงตรัสว่าตามแต่ท่านจะจัดแจงเถิด สินก๋งกับจิ๋นก๋ง ครั้นพระเจ้าเบ๊งอ๋องจัดแจงตั้งขุนนางตามตำแหน่งเสร็จแล้วจึงทูลว่า เจ้าเมืองเกียงหยงเสียทหารเป็นอันมาก ตัวหนีไปได้ครั้งนี้เห็นจะคิดพยาบาท เกลือกจะยกกองทัพมายํ่ายีหัวเมืองปลายแดนเมืองสินกับเมืองจิ๋นด้วยอยู่ใกล้กันกับเมืองเกียงหยงจะไว้ใจมิได้ ข้าพเจ้าทั้งสองจะทูลลาไปจัดแจงบ้านเมืองคอยรับทัพเกียงหยงมิให้ล่วงแดนเข้ามาได้ พระเจ้าเบ๊งอ๋องก็เห็นชอบด้วยจึงพระราชทานเครื่องยศสำหรับที่ตามตำแหน่ง แล้วโปรดให้กลับไปเมือง สินก๋งกับจินก๋งก็คำนับลาออกมาจัดแจงทแกล้วทหารพร้อมแล้วต่างยกแยกกันกลับไปเมือง

ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยง ขณะเมื่อหนีกองทัพหัวเมืองมาถึงเมืองเกียงหยง เสียทหารเป็นอันมากมีความพยาบาทนัก พักทหารอยู่ประมาณสามเดือน จึงจัดกองทัพใหญ่ยกมาตีเมืองเล็กน้อยซึ่งขึ้นแก่เมืองโกเก๋งแตกหนี เก็บเอาเครื่องสาตราวุธเสบียงอาหาร มาตั้งค่ายอยู่ตำบลกีหงปลายแดนเมืองโกเก๋ง หัวเมืองด่านก็บอกหนังสือให้ม้าใช้มาแจ้งข้อราชการแก่ขุนนางผู้ใหญ่ ณ เมืองหลวง ให้กราบทูลพระเจ้าเบ๊งอ๋อง พระเจ้าเบ๊งอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า เราพึ่งได้ว่าราชการบ้านเมืองสักปีเศษ ฉางข้าวและคลังทรัพย์สิ่งของก็ฉิบหายด้วยเพลิงเป็นอันมากหาบริบูรณ์ไม่ ครั้นจะให้ปลูกสร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนแต่ก่อนอีกเล่า ก็จะลำบากแก่ไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง บัดนี้ชาเลเทเจ้าเมืองเกียงหยงก็ยกทัพเหยียบแดนเข้ามา ครั้นจะจัดแจงทหารไปสู้รบเล่า ก็ขัดขวางด้วยเสบียงอาหารเพราะบ้านเมืองยังไม่บริบูรณ์ ครั้งพระเจ้าเซงอ๋องผู้เป็นพระเจ้าปู่ทวดของเราสร้างเมืองโกเก๋งนี้ไว้เป็นเมืองหลวงแล้ว ไปสร้างเมืองลกอีบฝ่ายตะวันออกไว้เหมือนเมืองหลวงอีกเมืองหนึ่งนั้น ด้วยเห็นเหตุประการใด

ฝ่ายขุนนางผู้เฒ่าซึ่งได้รู้เรื่องจดหมายเหตุมาแต่ก่อนจึงทูลว่า ตำบลที่ลกอีบนั้นเป็นที่กลางแผ่นดิน ครั้นแผ่นดินพระเจ้าเซงอ๋องอัยกาของพระองค์ได้ครองราชสมบัตินั้น ให้จิ๋วก๋งซึ่งเป็นปู่ทวดของท่านจิวก๋งไปสร้างเมืองลกอีบ มีตำหนักและพระที่นั่งใหญ่น้อยสำหรับพระมหากษัตริย์ ทั้งตึกกว้านบ้านขุนนางที่สนุกสบาย เหมือนหลวงสำหรับเป็นที่เสด็จออกรับคำนับขุนนางและหัวเมืองมาเฝ้าทำขวัญวันประสูติ พระเจ้าเบ๊งอ๋องได้ฟังจึงตรัสว่า เมืองโกเก๋งก็เกิดอันตรายเพราะเจ้าเมืองเกียงหยงมาจุดเผาเสียยับเยินหาบริบูรณ์ไม่ เราคิดว่าจะยกไปอยู่ลกอีบ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด จิวก๋งกับขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะยกไปอยู่เมืองลกอีบนั้นข้าพเจ้าเห็นด้วย พระเจ้าเบ๊งอ๋องได้ฟังขุนนางทูลดังนั้นมิได้ตรัสประการใด ทอดพระเนตรเห็นกีโหเจ้าเมืองโอย ซึ่งเป็นไตสุมาเตานั้นถอนใจใหญ่แล้วคำนับนิ่งอยู่ จึงตรัสถามกีโหว่าเราจะยกไปอยู่ลกอีบขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันแล้ว ท่านไม่ว่าประการใด นั่งถอนใจใหญ่อยู่ฉะนั้น ท่านเห็นเหตุขัดขวางประการใดรึ กีโหจึงทูลว่า ขุนนางทั้งปวงยอมให้พระองค์ไปอยู่ลกอีบสิ้นด้วยกัน ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวทัดทานขึ้น ก็จะเป็นที่เคืองใจจะนินทาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่มีอัธยาศัยมิรู้ที่จะไว้ตัวจึงถอนใจใหญ่ไม่ทัดทาน ครั้นพระองค์ตรัสถามจะมิทูลโดยความจริงเล่า ก็เป็นคนไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองโกเก๋งนี้พระมหากษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการแต่ก่อนตั้งเป็นเมืองหลวงด้วยถิ่นฐานที่ทำมาหากินมาก อาณาประชาราษฎร์ไม่ขัดสนด้วยไร่นาอุดม ทั้งข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ มีภูเขาเป็นด่านทางช่องแคบ จะสู้รบกับข้าศึกศัตรูก็มั่นคงทั้งสี่ทิศ อันเมืองลกอีบนั้นเป็นที่ซุ่มทัพวางทหารสำหรับข้าศึกหามั่นคงไม่ พระเจ้าเซงอ๋องให้สร้างเมืองลกอีบไว้เป็นเมืองสำหรับเสด็จออกให้หัวเมืองเฝ้าวันประสูตินั้น หวังมิให้หัวเมืองทั้งปวงเข้ามาเห็นด่านทางเมืองหลวง ซึ่งพระองค์วิตกด้วยจะปลูกสร้างพระนครใหม่ขัดด้วยเงินทองในท้องพระคลังยังไม่บริบูรณ์เพราะอาณาประชาราษฎร์ก็ร่วงโรย ส่วยสาอากรก็น้อยไปนั้นก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม มีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนางและไพร่ให้อยู่เย็นเป็นสุข และราษฎรซึ่งแตกตื่นไปบ้านป่าเมืองไกลนั้น ก็จะชักชวนกันมาตั้งทำมาหากินตามภูมิลำเนา ส่วยสาอากรก็จะทวีมากขึ้นทุกปี จึงค่อยปลูกสร้างรั้ววังให้บริบูรณ์ขึ้นเหมือนแต่ก่อนก็จะได้

พระเจ้าเบ๊งอ๋องจึงตรัสว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่บัดนี้กองทัพชาเลเทเหยียบแดนเข้ามา ชาวเมืองทุกวันนี้กลัวเจ้าเมืองเกียงหยงเหมือนดังฝูงเนื้ออันกลัวเสือ คิดแต่จะคิดหนีไม่ต่อสู้ ถ้ากองทัพเมืองเกียงหยงยกมาตีเมืองสินได้ ก็คงจะมากระทำแก่เมืองหลวงเป็นมั่นคง จำจะอพยพยักย้ายไปเสียจากเมืองจึงจะพ้น พระเจ้าเบ๊งอ๋องจึงสั่งให้ป่าวร้องราษฎรให้รู้ทั่วกันว่า จะอพยพหนีกองทัพเมืองเกียงหยงไปอยู่เมืองลกอีบ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีพระเจ้าเบ๊งอ๋องก็เชิญรูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ ซึ่งทำไว้บูชา ณ หอไทเบี้ยวขึ้นทรงรถๆ หนึ่ง นางสินไทฮอผู้มารดาขึ้น ทรงรถๆ หนึ่ง พระเจ้าเบ๊งอ๋องขึ้นทรงรถๆ หนึ่ง นางสนมฝ่ายในขี่เกวียนเป็นอันมาก ให้ขนทรัพย์สิ่งของในคลังบรรทุกเกวียนยกออกจากเมืองโกเก๋ง ขุนนางและราษฎรทั้งปวงก็อพยพตามเสด็จพระเจ้าเบ๊งอ๋องไปเมืองลกอีบ พระเจ้าเบ๊งอ๋องตั้งเมืองหลวงอยู่ลกอีบ เป็นเมืองข้างฝ่ายทิศตะวันออก

ฝ่ายขุนนางผู้เฒ่าพูดกันว่า ครั้งพระเจ้าซวนอ๋องยังมีพระชนม์อยู่นั้น ทรงพระสุบินว่ามีอิสตรีผู้หนึ่งเข้ามาหน้าที่นั่ง หัวเราะก่อนแล้วจึงร้องไห้ แล้วพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ไปข้างทิศตะวันออก ครั้นพิเคราะห์ความแต่ครั้งพระเจ้าอิวอ๋องกับนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องให้จุดเอียนตุนจะให้นางโปจูหัวเราะ ทีหลังเจ้าเมืองเกียงหยงยกเข้ามาตีเมืองหลวงได้ จุดเผาบ้านเมืองเสีย หญิงชายชาวเมืองได้รับความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก ข้อซึ่งทรงพระสุบินว่าหญิงนั้นพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์มาข้างตะวันออก ก็ได้แก่พระเจ้าเบ๊งอ๋องย้ายมาอยู่ลกอีบนี้ อันพระเจ้าซวนอ๋องทรงพระสุบินนั้นเป็นการแผ่นดิน เป๊กเอียงอูทำนายไว้สมสิ้นทุกประการ

ฝ่ายพระเจ้าเบ๊งอ๋องเสด็จอยู่ลกอีบแล้ว ให้ประชุมขุนนางแปลงชื่อเมืองลกอีบ ให้ชื่อเมืองตังจิว เมืองตังจิวบริบูรณ์ด้วยทแกล้วทหาร อาณาประชาราษฎร์ก็มั่งคั่ง พระเจ้าเบ๊งอ๋องก็ค่อยสบายพระทัย ไม่คิดวิตกที่จะสร้างบ้านเมืองต่อไปอีก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ