ยักษ์, ส. [อิตถี. ยักษินี] = เปนอสูรจำพวก ๑ มีทั้งใจดีและใจร้าย มีท้าวกุเวรเปนอธิบดี

ยักษราช, ส. = ท้าวกุเวร ฤๅท้าวมณีภัทร์

ยักษาธิบดี, ส. ผ. = ท้าวกุเวร

ยัญ, ม. ผ. [ส. ยัช๎ญ] = การไหว้, การบูชา, การพลี, บวงสรวง

ยม และ ยมราช = เทวดาผู้เปนใหญ่เหนือคนตาย ฯ ตามตำหรับไสยศาสตร์ว่า เปนมนุษที่ได้เกิดเปนคนแรกในมนูยุคที่ ๗ เปนโอรสแห่งพระวิวัสวัต (พระอาทิตย์) กับนางสรัณยู เปนเชษฐาแห่งพระมนูองค์ที่ ๗ (ดูที่ มนู) ฯ ในพระเวทออกนามพระยมว่า “สํคมโน ชนานาม์” “ผู้รวบรวมคน” แลว่าเปนใหญ่เหนือ “ปิต๎ฤ” ทั้งหลาย (คือต้นโคตรแห่งคนที่ล่วงลับไปแล้ว) ซึ่งได้ตายจากโลกมนุษไปอยู่ณเทวโลก ฯ ในไสยศาสตร์ชั้นหลังว่าพระยมเปนตุลาการผู้ลงโทษแก่ผู้ตาย จึ่งมีนามว่า “ธรรม” ฤๅ “ธรรมราช” และว่าที่อยู่เรียกว่า “ยมะปุระ” ฯ เมื่อคนเราสิ้นชีพลงแล้ว เขานิยมว่ามโนแห่งคนนั้นไปสู่ยมะปุระ มีเทวดาชื่อพระจิตรคุปต์ (ม. จิต์ต คุต์โต, ซึ่งชนสามัญเรียกว่า “พระเจ็ตะคุก”) เปนผู้อ่านประวัติการแห่งผู้ตาย อันจดไว้ในสมุดชื่อ อรรคสันธานา [ส. อัค๎รสํธานา] แล้วพระยมก็วินิจฉัยชั่งความดีความชั่ว ถ้าความดีมีมากก็ส่งไปสวรรค์ ถ้าความชั่วมีมากก็ส่งไปนรกเพื่อลงโทษทรมานสืบไป ฯ

ส่วนลักษณแห่งพระยมนั้น ตามคัมภีร์มหาภารตว่า นุ่งห่มสีแดงเสือด สีกายเลื่อมประภัสร (คือวาวและใสอย่างแก้ว) ทรงมงกุฎ มีตาอันวาว หัดถ์ถือบ่วงเรียกว่า “ยมบาศ" สำหรับคล้องคนตาย ฯ อีกนัย ๑ ว่ารูปน่ากลัว สีกายเขียว นุ่งห่มสีแดงเลือด มีมหิงษ์เปนพาหน หัตถ์ ๑ ถือไม้ชื่อ “ยมทัณฑ์” อีกหัตถ์ ๑ ถือบ่วง ฯ

อนึ่งพระยมเปนโลกบาลผู้รักษาทิศทักษิณ ฯ

ยยาติ, ส. = เปนกษัตร์จันทรวงศ์โอรสแห่งท้าวนหุษ (จึ่งมีฉายาว่า “นาหุษ”) ท้าวยยาตินี้เปนวีรบุรุษผู้มีนามปรากฎ และเปนมหาราชผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ จึ่งยกย่องเปนตัวอย่างแห่งมหากษัตร์ทั้งปวง ฯ เธอมีมเหษี ๒ องค์ องค์ที่ ๑ ชื่อเทวยานี ธิดาพระศุกรเทพฤษี และเปนมหาชนนีแห่งกษัตร์ที่เรียกว่าสกุลยาทพ อีกองค์ ๑ ชื่อสรมิษฐา ธิดาท้าวพฤษบรรพน์อสุรราชและเปนมหาชนนีแห่งกษัตร์ที่เรียกว่าสกุลโปรพ ซึ่งได้ครองกรุงประดิษฐานและหัสดินสืบมา (เรื่องท้าวยยาติได้เล่าไว้แล้วโดยพิสดารกว่านี้ในอภิธานท้ายเรื่อง “ศกุนตลา” จงดูที่ จันทรวงศ์ ในอภิธานโน้นเถิด) ฯ

อนึ่งท้าวยยาตินาหุษนี้ สมมติว่าเปนผู้รจนาบทสรรเสริญในพระฤคเวทหลายบท และมีจินตกะวีแต่งเรื่องลครเรื่องเธอนี้เรื่อง ๑ ฯ

ยุค ม. และ ส. = (๑) แอก (รถ) (๒) คู่ อีกนัย ๑ ใช้ว่า “ยุคล” (๓) มาตราเวลาในโหราศาสตร์ ยุค = ๕ ปี (๔) กำหนดเวลาแห่งมนู เรียกว่า “มนูยุค” ฤๅ “มันวันตะระ” (ดูที่ มนู)

(๕) กำหนดอายุแห่งโลก มีเปน ๔ ยุค ในท้ายยุค ๑ ๆ มีเวลาซึ่งเรียกว่า “สนธยา” (พลบ) กับ “สนธยางศะ” (ส่วนแห่งพลบ) มีกำหนดจำนวนปีได้อย่างละ ๑ ส่วนใน ๑๐ แห่งจำนวนปีในยุค ฯ ยุคทั้ง ๔ นั้น มีนามและกำหนดจำนวนปีดังต่อไปนี้

๑. กฤตยุค   ๔๐๐๐ ปี
สนธยา   ๔๐๐
สนธยางศ์   ๔๐๐
  รวม ๔๘๐๐ ปี
๒. เตรตายุค   ๓๐๐๐ ปี
สนธยา   ๓๐๐
สนธยางศ์   ๓๐๐
  รวม ๓๖๐๐ ปี
๓. ทวาบรยุค   ๒๐๐๐ ปี
สนธยา   ๒๐๐
สนธยางศ์   ๒๐๐
  รวม ๒๔๐๐ ปี
๔. กลียุค   ๑๐๐๐ ปี
สนธยา   ๑๐๐
สนธยางศ์   ๑๐๐
  รวม ๑๒๐๐ ปี
  รวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๐๐ ปี.

แต่ปีที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้เปนปีสวรรค์ และ ๑ ปีสวรรค์นั้นเท่ากับ ๓๖๐ ปีมนุษย์ เพราะฉนั้นคำณวนกำหนดยุคเปนปีมนุษย์คงเปนดังนี้-

กฤต. ๔๘๐๐ x ๓๖๐ = ๑,๗๒๘,๐๐๐
เตรตา. ๓๖๐๐ x ๓๖๐ = ๑,๒๙๖,๐๐๐
ทวาบร. ๒๔๐๐ x ๓๖๐ = ๘๖๔,๐๐๐
กลี. ๑๒๐๐ x ๓๖๐ = ๔๓๒,๐๐๐
  รวมทั้งสิ้น ๔,๓๒๐,๐๐๐

ยุคทั้ง ๔ รวมกัน คือ ๑๒,๐๐๐ ปีสวรรค์ ฤๅ ๔,๓๒๐,๐๐๐ ปีมนุษย์เปน มหายุค ๒๐๐๐ มหายุคเปน ๑ กัลป คือวัน ๑ กับคืน ๑ ของพระพรหมา, เมื่อสิ้นกัลป ๑ แล้ว พระพรหมาล้างโลกด้วยเพลิง เรียกว่า “ไฟประลัยกัลป” แล้วจึ่งสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ๑ ฯ

อนึ่ง ๓๐ กัลปเปน ๑ เดือนพระพรหมา ๑๒ เดือนเปน ๑ ปี ๑๐๐ ปี เปนหมดอายุแห่งพระพรหมา ฯ ในกาลบัดนี้อายุแห่งพระพรหมาล่วงมาแล้วได้ ๕๐ ปี ยังคงอยู่อีก ๔๙ ปีแห่งพระพรหมาจึ่งจะถึงเวลามหาประลัย ฯ

ยุธิษฐิร, ส. ,ยุธิษเฐียร, ส. ผ. = “มั่นคงในการรบ” เปนนามแห่งกษัตร์ปาณฑพองค์ที่ ๑ ซึ่งเปนโอรสแห่งนางกุนตีกับพระยม แต่ท้าวปาณฑุรับเปน โอรสแห่งพระองค์เอง (ดูที่ กุนตี และ ปาณฑุ) ฯ เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์แล้ว ท้าวธตรฐผู้เปนลุงรับไปเลี้ยงไว้อย่างพระราชบุตร ให้ศึกษาในสำนักแห่งโทณพราหมณ์ แล้วตั้งเปนยุพราช แต่เพราะพวกลูกท้าวธตรฐอิจฉาจึ่งแตกร้าวกัน จนท้าวธตรฐต้องเนรเทศพระยุธิษเฐียรไปจากกรุงหัสดิน แต่ภายหลังให้รับกลับเข้าเมือง และได้สร้างนครอินทปัตถ์ให้ครอง แต่พระยุธิษเฐียรเล่นสกากับพวกโกรพแพ้จึ่งต้องไปอยู่ป่าพร้อมด้วยพระอนุชาทั้ง ๔ และนางกฤษณา (ดังปรากฎใน นิทานวัจนะ แล้ว) ฯ เมื่อพ้นกำหนดเนรเทศครั้งที่ ๒ กษัตรปาณฑพกับโกรพได้กระทำสงครามแก่กัน เรียกว่ามหาภารตยุทธ ที่ตำบลกุรุเกษตร เมื่อพวกโกรพแพ้แล้ว พระยุธิษเฐียรได้เข้าไปยังกรุงหัสดิน พระเจ้าลุงมอบราชสมบัติให้ครองแล้วเธอออกไปอยู่ป่า ไปตายในไฟที่ไหม้ป่า ฯ ท้าวยุธิษเฐียรมหาราชครองราชสมบัติ
ไม่นาน ก็อภิเษกพระอภิมันยู โอรสพระอรชุนเปนราชาในหัสดิน แล้วท้าวยุธิษเฐียรกับพระอนุชาทั้ง ๔ และนางกฤษณาจึ่งออกจากพระนคร ไปยังเขาพระสุเมรุ แต่นางกฤษณาและพระอนุชาล้มลงสิ้นพระชนมชีพในระหว่างทางเปนลำดับ คงเหลือแต่ท้าวยุธิษเฐียรองค์เดียว ที่รอดไปได้จนถึงสวรรค์ทั้งเปน ฯ

ยุพราช, ม. ผ. ยุวราช, ม. และ ส., เยาวราช, ม. ผ. = “ขุนหนุ่ม” คือเจ้าผู้เปนรัชทายาท ฯ

ยุวะ, ม. , ยุพะ, ม. ผ. [ส. ยุวัน์] = หนุ่ม, รุ่น, แขงแรง, ไม่มีไข้เจ็บ ฯ อิตถีลึงค์ — ยุวดี และ ยุพดี, ส. ผ. [ส. ยุวตี] = หญิงสาว, หญิงรุ่น ๆ และในจินตกะวีนิพนธ์ไทยยังมีคำใช้อีกด้วยว่า “ยุพา” และ “เยาวพา” หญิงสาว แผลงจาก “ยุว” นั้นเอง ฯ

เยาว์, ส. ผ. [ส. เยาวน] = หนุ่ม, สาว เปนผู้ใหญ่ (คือพ้นจากเปนเด็ก) ฯ แต่ในภาษาไทยเราใช้โดยเข้าใจว่า “เปนเด็ก” ทีเดียว เช่นกล่าวถึงเจ้านายว่า “ยังทรงพระเยาว์” แปลว่า “ยังเด็ก” ดังนี้ คลาดเคลื่อนจากความเดิมเขาไป เพราะตามภาษาสันสกฤต “ยังเด็ก” ต้องใช้ศัพท์ว่า “ทารกะ” ฤๅ “พาลกะ” ต่อเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว (คือแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวแล้ว) จึ่งจะใช้ศัพท์ “ยุวัน” ฤๅ “เยาวนะ” ได้ ฯ ทั้งนี้นำมากล่าวไว้เพื่อรู้กันเท่านั้น เพราะจะแก้ไขความเข้าใจของคนไทยเราให้ใช้คำ “เยาว์” ให้ถูกต้องนั้น น่าจะเหลือแก้เสียละกระมัง ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ