เมื่อเจียงไคเช็คถูกจับ

ผู้อ่านย่อมจะจำได้ว่า เมื่อ ๒-๓ เดือนมานี้ นายพลเจียงไคเช็ค (จอมพลเจียงไคเช็ค) ได้ถูกจับตัวขังไว้ เพื่อผู้จับจะได้สมประสงค์ ๒-๓ อย่าง ซึ่งเรียกร้องต่อรัฐบาลกลาง แต่ไม่ช้าเจียงไคเช็คก็คืนสู่ตำแหน่งหัวหน้าประเทศตามเดิม ในคราวที่นายพลเจียงไคเช็คถูกจับครั้งนั้น ภรรยาของเจียงไคเช็คได้ตามสามีไปจนถึงสำนักขบถ แลได้ช่วยในการเจรจากับจางซือเหลียง หัวหน้าฝ่ายโน้น จนในที่สุดตกลงกันได้

เรื่องราวครั้งนั้น มาถึงตอนนี้ก็เป็นเรื่องเล่า เพราะเหตุการในโลกสมัยนี้เกิดเร็วนัก แต่ถึงกระนั้นเมื่อตัวนายโรงเอกแลนางเอกนำเรื่องมาเขียนเล่าเป็นหนังสือ ข้อความที่เล่านั้นก็ยิ่งชวนให้อ่านเพลินอยู่มาก

หนังสือที่เล่านี้พิมพ์ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเร็ว ๆ นี้ เรียกว่า “Sian a coup d’ Etat” ตอนต้นเป็นคำของภรรยาเจียงไคเช็ค เล่าเหตุที่เกิดอย่างย่อ ๆ ตอนที่สองเป็นจดหมายรายวันของเจียงไคเช็คเอง ซึ่งจดไว้ในตอน ๑๕ วันนั้น

ความในหนังสือนั้นว่า เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม (พ.ศ. ๒๔๗๙) เจียงไคเช็คไปถึงตำบลเซียน ซึ่งเป็นสำนักของจางซือเหลียง แม่ทัพจีนในตะวันตกเฉียงเหนือ ที่เจียงไคเช็คไปครั้งนั้น ก็เพื่อจะไปตรวจราชการ เพราะได้สงสัยมานานแล้ว ว่ากองทัพนั้นไม่ทำหน้าที่ตามคำสั่ง

กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือเป็นกองซึ่งรัฐบาลจีนให้ไปตั้งประจำอยู่ในเม่งจูก๊ก แต่เมื่อญี่ปุ่นส่งกองทัพเข้าไปในประเทศนั้น กองทัพจีนก็ต้องถอยเข้าไปในแดนจีน จึงได้รับหน้าที่เป็นผู้ปราบปรามคอมมูนิสต์มิให้กำเริบขึ้นได้ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพวกคอมมูนิสต์คุมกันเป็นกองทหารเรียกว่า ทัพคอมมูนิสต์ ทัพจีนที่ถอยมาจากเม่งจูก๊กได้รับคำสั่งให้ไปปราบปรามทัพคอมมูนิสต์ แต่เจียงไคเช็คได้รับรายงานว่า ทัพจีนไม่พยายามปราบปรามทัพคอมมูนิสต์ กลับจะไปเออนอห่อหมก โดยประสงค์จะรวมกำลังกันต่อสู้ญี่ปุ่น

ในการที่ไปครั้งนั้น เจียงไคเช็คเชื่อว่า เพียงแต่ไปเท่านั้นก็คงจะทำให้แม่ทัพนายกองซึ่งชักจะกำเริบหมดกำเริบ เพราะฉะนั้น เจียงไคเช็คจึงมีผู้ไปด้วยแต่เพียงทหารรักษาตัวไม่มากคนนัก ที่เจียงไคเช็คคิดเช่นนี้ ในตอนต้นดูท่วงทีเหมือนจะไม่ผิด เพราะเมื่อไปถึงเซียนแล้ว อะไร ๆ ก็เรียบร้อยอยู่หลายวัน

ครั้นวันที่ ๑๑ ธันวาคม (พ.ศ. ๒๔๗๙) ได้เกิดเหตุน่าสงสัยขึ้น คือเจียงไคเช็คได้เชิญนายทัพผู้ใหญ่ ๓ คนไปกินโต๊ะเพื่อจะได้ปรึกษาราชการ แต่นายทัพนายกองพวกนั้นไปกินเลี้ยงคนเดียว อีก ๒ คนเงียบหายไปเฉย ๆ ทำให้เจียงไคเช็คไม่สู้สบายใจในคืนนั้น

ครั้นเวลาก่อนย่ำรุ่ง เจียงไคเช็คตื่นขึ้นแล้ว กำลังแต่งตัวอยู่ ได้ยินเสียงปืนใกล้ ๆ ที่พัก จึงให้ทหารคนหนึ่งไปดูว่าเกิดอะไรกัน ทหารคนนั้นหายไป เจียงไคเช็คจึงใช้ไปอีก ๒ คน ๒ คนนั้นก็หายไปอีก และได้ยินเสียงปืนมากขึ้น เจียงไคเช็คจึงนึกในใจว่า ทัพตะวันตกเฉียงเหนือเห็นจะเป็นขบถขึ้นแล้ว

ความสงสัยข้อนี้ประเดี๋ยวก็เห็นชัดแจ้ง เจียงไคเช็คตกลงในใจว่าจะหลบหนีไปเสีย จึงออกทางประตูหลังเรือนไปกับนายทหาร ๒ คน ตั้งใจจะขึ้นไปบนเขาข้างหลัง ซึ่งขณะนั้นคลุมเต็มไปด้วยหิมะ ในเวลานั้นเจียงไคเช็คเข้าใจว่าทหารที่เป็นขบถคงจะมีสักกองเดียว ถ้าเจียงไคเช็คข้ามภูเขาไปเสียได้ ก็คงจะไม่มีเหตุอะไรต่อไปอีก

แต่การไม่เป็นไปได้ง่ายดังนั้น เพราะหลังเรือนนั้นมีกำแพงสูงถึง ๑๐ ฟุต นอกกำแพงมีคูลึก เวลาที่ข้ามกำแพงแลเจียงไคเช็คล้มลงขาเคล็ดจนยืนไม่ได้อยู่หลายนาที นายทหาร ๒ คนเข้าช่วยพยุงให้เดินทีละน้อย พอกะย่องกะแย่งไปได้หน่อยหนึ่ง ก็พบพวกทหารที่ไปกับเจียงไคเช็คอีก ๒-๓ คน จึงช่วยกันพาเจียงไคเช็คขึ้นไปได้จนถึงยอดเขา แล้วนั่งลงพัก เพื่อจะดูว่าพวกขบถจะทำอะไรต่อไป

ในตอนนี้ได้ยินเสียงปืนยิงทั้งหน้าเขาหลังเขารอบข้าง จึงเป็นอันรู้ว่า ถูกพวกขบถล้อมไว้แล้ว เจียงไคเช็ครู้ตัวว่าจะหลบหนีไปทางไหนก็ไม่รอด จึงตกลงว่าจะยอมให้พวกขบถจับ แล้วออกเดินลงเขาไปคนเดียวในเวลายังไม่สว่าง แต่เดินไปได้หน่อย ก็ไปไม่ไหวเพราะเจ็บขา จึงลงนอนพักอยู่ที่ในซอกหินจนสว่าง เวลานั้นหนาวยิ่งนัก

ครั้นเวลาสาง พวกทหารขบถูกแยกกันออกเที่ยวตามหาเจียงไคเช็คบนเขา เจียงไคเช็คได้ยินเสียงทหารพวกนั้นพูดกันว่า “นี่ใครล่ะแต่งตัวเป็นพลเรือน บางทีจะเป็นจอมทัพกระมัง” (จอมทัพคือเจียงไคเช็ค)

ทหารอีกคนหนึ่งว่า “ยิงเสียก่อนเถิด”

อีกคนหนึ่งว่า “อย่าเพิ่งยิงเลย”

เจียงไคเช็คได้ฟังดังนั้น ก็ตะโกนออกไปว่า “ข้าเป็นจอมทัพ พวกเจ้าจงแสดงเคารพ ถ้าเจ้าถือว่า ข้าเป็นเชลยของเจ้า ก็จงยิงข้าเสีย แต่อย่าทำดูหมิ่นข้า”

พวกทหารขบถว่า “พวกข้าพเจ้าไม่กล้าทำดอก” แล้วก็ยิงปืนไปในอากาศ ๓ นัด แล้วตะโกนว่า “ท่านจอมทัพอยู่ที่นี่”

อีกครู่หนึ่งมีนายทหารขบถเข้าไปที่เจียงไคเช็คคนหนึ่ง นายทหารคนนั้นตาเต็มไปด้วยน้ำตา คุกเข่าเชิญเจียงไคเช็คลงไปจากเขา แลเจียงไคเช็คก็ยอมไปด้วย

ในตอนนี้เจียงไคเช็คไม่ได้เล่าความข้อหนึ่ง ซึ่งคนอื่นเขียนเล่าไว้ คือว่าเมื่อเจียงไคเช็คตกลงจะไปกับพวกทหารขบถ แล้วก็บอกให้ไปหาม้ามาให้ขี่ เพราะเดินไม่ถนัด นายทหารขบถบอกว่า ในเวลานั้นหาม้าไม่ได้ ตัวทหารเองจะให้เจียงไคเช็คขี่ ในที่สุดเจียงไคเช็คจอมทัพต้องขี่นายทหารกลับไปที่พัก และถูกคุมตัวไว้ตลอดเวลาที่จางซือเหลียงเจรจากับผู้แทนของรัฐบาลนานกิง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ