ฉากละคร

ละครไทยเวลานี้ (พ.ศ. ๒๔๘๐) มักจะเล่นบนเวที แต่งฉากอย่างละครฝรั่ง แลมีเปลี่ยนฉากเป็นชุด ๆ ตามบท ทั้งนี้ผู้เขียนเข้าใจว่าขึ้นต้นที่โรงละครดึกดำบรรพ์ในบ้านเจ้าพระยาเทเวศร์ แลต่อมาก็ใช้ฉากบนเวทีอย่างฝรั่งมากขึ้น ๆ จนในเวลานี้ดูเหมือนถ้าเป็นละครที่นับถือตน ก็ไม่มีใครจะยอมใช้โรงไม่มีฉากอย่างใหม่

โรงละครแต่ก่อน เป็นโรงซึ่งคนดูได้ ๓ ด้าน มีด้านที่กั้นเป็นในโรงด้านเดียว บนพื้นโรงละครปล่อยไว้เกลี้ยง ๆ มักจะมีเตียงตั้งไว้สำหรับนายโรงแลนางที่เป็นตัวนาย แลเตียงนี้ก็ยกเข้าออก หรือถ้าต้องการเตียงอีก ก็ยกออกมาเติม แล้วยกกลับเข้าโรงเมื่อสิ้นเวลาใช้ ถ้านางเอกออกชมสวน ก็ยกต้นไม้กระถางออกมาตั้งสองสามต้น ถ้าถึงบทเก็บดอกไม้ ก็เก็บจากต้นไม้ในกระถางนั้นเอง เมื่อถึงบทเป็นที่กำบัง ก็มีฉากเล็กออกมาตั้งหน้าเตียง ถ้าถึงเวลารบก็ยกเตียงแลเครื่องกีดอื่น ๆ เข้าโรงเสียหมด เหลือโรงว่าง ๆ ไว้เป็นสนามรบ พูดสั้น ๆ โรงละครแต่ก่อนเป็นโรงเกลี้ยงเฉย ๆ เครื่องตกแต่งมีน้อยที่สุด พอให้รู้ว่าถึงตอนไหน แลยกเข้ายกออกกันต่อหน้าคนดู ไม่ต้องมีปิดบังอะไรเลย โรงละครบางโรง คนดูล้อมรอบ ๔ ด้าน เมื่อตัวละครจะออกหรือเข้าโรง ก็เดินผ่านคนดูเข้าไป

โรงละครเกลี้ยงเช่นนี้ มิใช่แต่ละครไทยเท่านั้น ละครเก่าสมัยกริ๊กก็ดี สมัยเช๊กสเปียร์ก็ดี ก็ใช้เวทีเกลี้ยง ๆ เช่นนี้ เรามิพึงเข้าใจว่า ละครโบราณใช้เวทีเกลี้ยง เพราะไม่มีวิชาจะแต่งฉากอย่างที่ทำกันในปัจจุบัน อันที่จริงวิชาช่างไทยโบราณมิได้ด้อยกว่าวิชาช่างไทยในสมัยนี้ แลส่วนเมืองฝรั่งนั้น วิชาช่างในสมัยกริ๊ก ถ้าจะดูตามถาวรวัตถุที่ยังมีเหลืออยู่ ก็ย่อมจะเห็นว่า เป็นวิชาช่างชั้นสูงเหมือนกัน

แต่เหตุไฉนละครไทยเก่าแลละครฝรั่งโบราณ จึงใช้โรงหรือเวทีที่ตกแต่งน้อยที่สุด ปัญหานี้ย่อมมีทางอธิบาย แต่ที่ใครจะเห็นดีหรือไม่ดีทางไหน ก็แล้วแต่ความเห็นความฝึกหัด และความคุ้นตาของบุคคล

ผู้เขียนเก็บเอาความข้อนี้มาคำนึง เพราะได้ดูภาพยนต์เล่นบทละครของเช๊กสเปียร์ ซึ่งเมื่อดูในภาพก็งามดี แต่เมื่อมีดีในทางภาพ ก็มีเสียในทางอื่น ดังจะต้องชี้แจงภายหลัง

ส่วนละครไทยนั้น คนดูในเวลานี้ อาจแบ่งได้เป็น ๒ จำพวก คือพวกที่ชอบโรงอย่างเก่าพวกหนึ่ง พวกที่ชอบเวทีแต่งฉากอย่างใหม่พวกหนึ่ง พวกที่ชอบเวทีแต่งฉากอย่างใหม่ เห็นจะมีไม่น้อยที่ไม่เคยดูโรงเกลี้ยง ๆ อย่างเก่า แลอาจจะนึกว่า ละครแต่ก่อนใช้โรงเกลี้ยง ๆ เพราะไม่มีวิชาทำฉากอย่างเดี๋ยวนี้ แต่อันที่จริงเห็นได้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าการเล่นละครแต่ก่อนเลื่อมใสการทำฉาก วิชาช่างในสมัยโน้น ๆ ก็มีพอที่จะทำฉากได้

ข้อที่ว่าเหตุใดจึงใช้โรงละครเกลี้ยง ๆ นั้น มีชี้แจงว่า เพราะไม่ต้องการให้ศิลปะแห่งการทำฉาก มากีดศิลปะแห่งละครเอง ต้องการจะดูละครไม่ใช่ดูฉาก ถ้าฉากเกลี้ยง ตัวละครแลเครื่องแต่งตัว การรำแลการทำบทก็เด่นยิ่งขึ้น ถ้าตัวละครเลวเล่นบนเวทีเกลี้ยง ก็จะเห็นความเลวง่ายที่สุด แต่ถ้าฉากหรูหรา ก็อาจจะช่วยความทรามของตัวละครได้ ถ้าท่านไปดูในวิหารพระพุทธชินราชที่เมืองพิษณุโลก ท่านจะเห็นกำแพงด้านหลังเป็นสีดำเขียนลายเบา ๆ เป็นฉากหลัง ซึ่งส่งองค์พระพุทธรูปให้เด่นที่สุด แต่ถ้าท่านไปดูในวัดพระแก้ว ท่านจะไม่เห็นเลยว่า พระแก้วมรกฏเป็นพระพุทธรูปงามนัก แต่ท่านไม่เห็น แลที่เป็นดังนี้ก็เพราะความตบแต่งมีรอบองค์พระ จนห่อหุ้มความงามของพระพุทธรูปเสียหมด

ดังนี้ ความเห็นของพวกที่ชอบโรงละครอย่างเก่าจึงว่า ถ้าจะดูละครไทยดี ต้องดูในโรงหรือเวทีเกลี้ยง ๆ ไม่ต้องมีฉากเป็นเครื่องช่วยตัวละครเลย

ย้อนไปกล่าวถึงบทละครของเช๊กสเปียร์ในภาพยนต์เรื่องหลังที่สุดที่ผู้เขียนได้ดู ก็คือเรื่อง “ โรเมียวแอนด์ยูเลียต” ซึ่งฉายที่เฉลิมกรุงเมื่อเร็ว ๆ นี้

บทละครของเช๊คสเปียร์เรื่องนี้ เป็นบทซึ่งนับถือกันทั่วโลก แต่เมื่อจะเอาไปใช้เป็นเรื่องภาพยนต์ ก็ต้องหั่นเป็นชิ้นเป็นท่อนเสียก่อน แล้วจึงเอาชิ้นบางชิ้นไปติดต่อกันใหม่ ชิ้นที่ถูกลงตะกร้านั้นมากกว่าครึ่ง ส่วนชิ้นที่ยังเหลือก็มิใช่จะเป็นประธานของเรื่อง มักมีสิ่งอื่น ๆ ซึ่งเช๊กสเปียร์ ไม่เห็นเติมเข้ามามากมาย จนชิ้นของเช๊กสเปียร์กลับเป็นเครื่องประกอบสิ่งอื่น ๆ ที่เรียกว่าสิ่งอื่น ๆ นี้ คือรูปภาพคน ภาพท้องที่แลตึกราม ภาพหนังสือสำคัญ ตลอดจนถึงแผนที่เป็นต้น เมื่อต้องทำเช่นนี้แล้ว เครื่องประกอบซึ่งกลายเป็นประธานเหล่านั้นก็ท่วมเช๊กสเปียร์หมด เป็นต้นว่าแห่พวกแซ่แคปูเล็ตแลแห่พวกแซ่มอนตะกิว การเต้นรำอย่างใหญ่แลงดงามที่สุด การต่อสู้กันด้วยดาบอย่างรุนแรง การวิ่งไล่ไตบอลต์ตามถนนในเมืองเวอโรนา แลโรงนครโสภิณีซึ่งมีร่ำไป เหล่านี้เป็นเครื่องประกอบ ซึ่งท่วมถ้อยคำของเช๊กส์เปียร์เสียมาก ครั้นเมื่อดูเสร็จแล้ว จึงรู้สึกว่าบทของเช๊กสเปียร์หลุดไปกว่าครึ่ง

บทละครของเช๊คสเปียร์ (แลเรื่องนี้โดยเฉพาะ) เป็นมาลัยร้อยกรองด้วยถ้อยคำอันเป็นเพลงติดต่อกันตลอดทั้งพวงยาว ถ้าตัดให้กระท่อนกระแท่น จนถึงครุลหุแลสัมผัสคำก็บกพร่องไปไซร้ ถ้าจะแลดูตามแง่ความไพเราะของดนตรีแห่งถ้อยคำ ก็ย่อมจะเสียไปหมด แต่เราก็จะต้องรำลึกว่า ผู้ทำภาพยนต์มีหน้าที่จะทำรูปภาพ ไม่มีหน้าที่ในเรื่องวรรณคดี ซึ่งสูงพ้นหัวคนดูโดยมาก เขาจำต้องคิดเอาความสำเร็จของรูปภาพเป็นใหญ่ สิ่งใดจะกีดความสำเร็จของรูปภาพ หรือจะทำให้ยากเกินไปก็ดี เขาก็จำต้องบ่ายเบี่ยงให้สำเร็จความมุ่งหมายของเขา

แต่การเล่นละครนั้นคนละอย่าง เวทีละครในสมัยเช๊คสเปียร์ไม่มีฉากประณีตอันเป็นภาพงามในตัวของมันเอง ดังในสมัยนี้ ในตอนใดที่เช๊กสเปียร์ต้องการให้ผู้ดูละครนึกเห็นฉาก แกก็แต่งกลอนของแกอย่างวิจิตรบรรจงให้นึกเห็นไปเอง นี้เป็นศิลปสำคัญในการแต่งหนังสือ ถ้าจะพูดอีกทางหนึ่งก็คือฉากซึ่งเดี๋ยวนี้เขียนด้วยสีนั้น เช๊กสเปียร์เขียนด้วยถ้อยคำเป็นกาพย์กลอนไว้เสร็จแล้ว และการเพิ่มฉากประดิษฐ์ประดอย ซึ่งเช๊กสเปียร์คิดว่าไม่ต้องการนั้น หาเป็นยุติธรรมแก่ศิลปของแกไม่

การเล่นละครไทย มีคนดูไม่น้อยที่เคยดูละครอย่างเก่า ไม่นิยมการใช้เวทีมีฉากซึ่งต้องประดิษฐ์มาก พวกนั้นไม่ต้องการไปมัวดูฉาก เมื่อการจะดูตัวละคร แต่ก็ยอมรับรองว่า ถ้าตัวละครยังไม่ดี ก็ต้องช่วยด้วยฉากไปก่อน

อนึ่ง คนดูหลายสิบเปอร์เซ็นต์ยังดูละครไม่เป็น ถ้าเห็นฉากน้อย ก็จะนึกว่าละครเลวดอกกระมัง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ