สำนวนหนังสือ

ผู้เขียนได้รับหนังสือมหาวิทยาลัย ฉบับถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้าปีนี้ (พ.ศ. ๒๔๘๑) พลิกดูเรื่องแรกเป็นพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่นักเรียน ซึ่งประชุมกันเฝ้าที่หน้าพลับพลาท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ร.ศ. ๑๑๖ เข้าใจว่าเป็นโอกาสที่พระราชทานให้นักเรียนเฝ้าในคราวที่เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรก ผู้เขียนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพในเวลานั้น เพราะตามเสด็จพระราชดำเนินไปยุโรป แต่ไม่ได้ตามเสด็จกลับ จึงไม่ได้ฟังพระราชดำรัสที่ท้องสนามหลวงแลไม่เคยได้อ่านเลย คงจะเป็นด้วยพระราชดำรัสท่อนสั้นนี้ซ่อนอยู่ในหนังสืออื่น ๆ ซึ่งมีมากมายในการเสด็จพระราชดำเนินยุโรป แลเสด็จกลับในปีนั้น (พ.ศ. ๒๔๔๐)

ครั้นมาพบพระราชดำรัสในหนังสือมหาวิทยาลัยคราวนี้ ผู้เขียนก็ได้อ่านเป็นเรื่องแรก อ่านแล้วเข้าใจแจ่มแจ้งเหมือนดังเดินไปในที่เตียนราบไม่ต้องบุกหญ้ารก ไม่สดุดขอนไม้ที่นอนขวางทาง ไม่ต้องปีนข้ามรั้ว ไม่ต้องโจนข้ามคู ไม่ต้องอัดลมหายใจเพื่อจะเบ่งปัญญาให้รู้ความหมายของหนังสือ ไม่ต้องเดินทางคดเคี้ยวเป็นงูเลื้อย อันมากด้วยความตะกุกตะกักต่าง ๆ จึงทำให้นึกว่า พระราชนิพนธ์ท่อนสั้นนี้ ทรงแต่งด้วยถ้อยคำธรรมดาผูกประโยคเกลี้ยง ๆ ไม่มีศัพท์แสงอะไร นอกจากที่ใช้กันตามปรกติ ทรงใช้สำนวนอย่างที่พูดกันอยู่เสมอๆ ไม่ทรงประดิษฐ์ประดอยแต่ละประโยคให้เป็นประโยคทรงเครื่อง เปรียบเหมือนแต่งตัวธรรมดาเดินไปตามสบาย ไม่ใช่นุ่งหางหงส์ คาดเจียรบาด สวมชฎา เดินท่ายี่เกออกฉาก เมื่อจะตรัสว่ากระไรก็ตรัสออกมาตรง ๆ ตามภาษาธรรมดา เราก็เข้าใจทันที ความเข้าใจของเราไม่ต้องเวียนอ้อมถ้อยคำที่ไม่จำเป็นจะนำมาใช้ แต่หากใช้เพื่อให้เป็นภาษาทรงเครื่องเท่านั้นเอง

ผู้เขียนไม่ทราบแน่ว่า หนังสือพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีอยู่เป็นอันมากนั้น ในสมัยนี้เห็นกันว่าเป็นโวหารดีหรือไม่ ถ้าเห็นกันว่าหนังสือเช่นพระราชดำรัสที่พูดถึงนี้ไม่ใช่โวหารดี ก็จำจะต้องกล่าวว่า ความนิยมเดี๋ยวนี้กับแต่ก่อนเปลี่ยนไปมาก จะเห็นว่าเปลี่ยนไปในทางที่หรือในทางเลว ก็เห็นจะแล้วแต่รุ่นของคนดอกกระมัง

พระราชดำรัสขึ้นต้นว่า “เรามีความสบายใจที่ได้เห็นพวกเจ้าทั้งปวงพร้อมกันเฉพาะหน้าเราเวลานี้ แลขอบใจที่เจ้าทั้งหลายได้แสดงความพอใจต่อเรา เราขอขอบใจในถ้อยคำที่ได้แสดงความปรารถนาอันดีต่อเราทั้ง ๒”

(“ทั้ง ๒” หมายความว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถประทับอยู่บนพลับพลาขณะนั้นด้วย ในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เสด็จอยู่นั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงว่าราชการแทนพระองค์ จึงเสด็จออกด้วยกันในงานรับเสด็จกลับ)

คำเกลี้ยง ๆ ที่เริ่มพระราชดำรัสข้างบนนี้ ถ้าจะเปลี่ยนไปว่า “ก่อนอื่นเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพเท่าที่เจ้าทั้งหลายทำการมา” – – ก็จะกินเวลาเป็นอันมาก ผู้อ่านที่ใส่ใจเทียบสำนวนหนังสือรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่จงคิดเทียบเอาเองเถิด

ถ้าจะเทียบสำนวนหนังสือไทยถอยหลังจากเวลาพระราชดำรัสไปอีก ๔๐ ปี อ่านพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นที่พิมพ์ในราชกิจจานุเบกษารัชกาลที่ ๔ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจะทรงว่ากระไร ก็ทรงเขียนลงไปอย่างแจ่มแจ้งจนเหลือที่ผู้ใดจะไม่เข้าใจได้ บางทีทรงชี้แจงความข้อเดียวกันซ้ำถึง ๒ ซ้ำติด ๆ กันไป แลถึง ๓ ซ้ำก็มี ทรงเปลี่ยนวิธีชี้แจงคำรบ ๒ แลคำรบ ๓ ให้แยกทางกันออกไป เพื่อจะไม่ปล่อยช่องเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจไว้เลย ถ้าท่านอ่านหนังสือราชการในรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ท่านจะเห็นว่า ผู้แต่งมุ่งจะให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายให้จนได้ ถ้าหากต้องใช้ถ้อยคำมากก็ใช้ เพื่อจะให้เข้าใจ ไม่ใช่ใช้เพื่อจะใช้เท่านั้น

ในสมัยที่เข้าใจความคิดใหม่ ๆ กันยาก เพราะไม่เคยเห็นกันมาแต่ก่อนนั้น จะพูดหรือเขียนอะไรให้เข้าใจกันทั่วไปก็ต้องพูดยาว เป็นต้นว่า หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในรัชกาลที่ ๔ เขียนว่าจะรับลงประกาศขายของเท่านั้น ก็ต้องพูดอธิบายเลอียด เพราะไม่มีใครเคยประกาศขายของในหนังสือพิมพ์กันเลย ถ้าจะพูดแต่คำสองคำ ผู้อ่านก็ไม่เข้าใจได้

ข้อที่ผู้เขียนนึกเมื่ออ่านพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วนั้น ก็คือว่าสำนวนเกลี้ยง ๆ เช่นในพระราชดำรัสนี้ เพราะเหตุที่อ่านแลฟังเข้าใจทันที จึงเคยเรียกกันว่าสำนวนดี แต่ในปัจจุบัน พวกที่เขียนสำนวนคนละอย่าง คงจะเห็นตรงกันข้ามกับคนรุ่นก่อน

ตั้งแต่วันในพระราชดำรัสมาถึงเดี๋ยวนี้ (พ.ศ. ๒๔๘๑) ก็เพียง ๔๐ ปี ตั้งแต่วันสวรรคตก็เพียง ๒๘ ปี สังเกตในวันถวายบังคมพระบรมรูป ก็ดูมีผู้นับถือพระเกียรติคุณมาก แลมีผู้จำพระองค์แลรัชกาลของพระองค์ได้ก็ยังมีไม่น้อย สำนวนหนังสือไทยเช่นที่ทรงพระราชนิพนธ์นี้ คงจะยังเป็นที่ชอบใจกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ในพวกคนรุ่นเก่า

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ