๕๖

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นเต้ครั้นถึงวันกำหนด ก็ยกทหารออกจากเมืองหลวงผ่านหัวเมืองทั้งปวงไป ครั้นถึงเมืองตั้งซ่ายจึงให้หยุดประทับอยู่ที่นั่น แต่บรรดาขุนนางหัวเมืองทั้งปวงซึ่งออกไปคอยรับเสด็จ ก็พากันเข้ามาเฝ้าเป็นอันมาก ฮั่นสินก็เอาศีรษะจงลิมวยเข้ามาถวายพระเจ้าฮั่นเต้ ๆ จึงว่าแก่ฮั่นสินว่า ตัวเอาจงลิมวยมาซ่อนไว้ แต่เราให้ประกาศป่าวร้องมาช้านาน ตัวก็แกล้งปกปิดกันเสีย หาเอาเนื้อความมาบอกเราไม่ บัดนี้รู้ว่าเรามาเลียบเมืองเห็นว่าเนื้อความจะไม่มิดหรือ จึงจำใจเอาศีรษะมาให้เรา จะให้เราสิ้นความสงสัย อย่าทำไปเลยเราเห็นน้ำใจเสียแล้ว ซึ่งตัวจะได้ซื่อตรงต่อเรานั้นหามิได้ พระเจ้าฮั่นเต้ว่าดังนั้นแล้วก็สั่งให้ทหารจับตัวฮั่นสินมัดไพล่หลังเข้า ฮั่นสินจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าข้าพเจ้าเป็นข้าหลวงเดิม กระทำความชอบมาจนพระเจ้าฮั่นเต้ได้แผ่นดิน ข้าพเจ้าก็ยังมิได้ กระทำผิดสิ่งใด บัดนี้พระเจ้าฮั่นเต้เชื่อฟังคำคนยุยงมากระทำโทษข้าพเจ้าเปล่า ๆ พระเจ้าฮั่นเต้จึงว่า เหตุไรตัวจึงว่าไม่ผิดอีกเล่า โทษตัวผิดถึงสามข้อ ข้อหนึ่งเราตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองหมายจะให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ตัวกลับกระทำการเบียดเบียนอาณาประชาราษฎร์ เอาศพบิดามารดาไปฝังไว้ในที่นาราษฎร ให้ราษฎรขาดประโยชน์ทำมาหากิน ได้ความเดือดร้อน โทษตัวก็ผิดอยู่ข้อหนึ่ง ข้อหนึ่งมิได้มีกิจราชการสงคราม แลตัวตั้งซ้อมหัดทแกล้วทหารตรวจเตรืยมเป็นขบวนทัพ ทำให้คนทั้งปวงสะดุ้งสะเทือนมิได้เป็นปกติ ตัวก็ผิดเป็นสองข้อแล้ว ประการหนึ่งเราให้มีหนังสือประกาศว่า ถ้าผู้ใดคบซ่อนบังจงลิมวยไว้จะเอาเป็นโทษ ตัวก็หาเกรงเราไม่ขืนคบจงลิมวยไว้ ซึ่งตัว กระทำการดูหมิ่นเราทั้งนี้ไม่ผิดดอกหรือ ฮั่นสินจึงว่าซึ่งมีผู้มากล่าวโทษว่า ข้าพเจ้ากระทำดังนั้นก็จริง แต่ข้าพเจ้าจะขอกราบทูลให้ทราบก่อน ด้วยข้าพเจ้ายังอนาถาหาที่พึ่งมิได้ ครั้นบิดามารดาข้าพเจ้าตายจึงเอาศพไปอาศัยฝังไว้ในที่ผู้อื่น ครั้นไต้อ๋องเอาข้าพเจ้ามาชุบเลี้ยงตั้งแต่งให้เป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้าคิดจะสนองคุณบิดามารดา เห็นที่ว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงขุดศพบิดามารดาขึ้นแต่งการฝังที่นั้น แต่ก่อกำแพงแก้วที่ก่อล้อมกุฏิศพนั้นเกินเข้าไปในนาราษฎรประมาณศอกเศษ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าเป็นแต่การนิดหน่อยเท่านั้น ข้าพเจ้าได้มีบุญคุณไว้แก่ราษฎรเป็นอันมาก หาควรที่จะให้ขัดเคืองถึงไต้อ๋องไม่ ข้อซึ่งว่าข้าพเจ้าซ้อมหัดทแกล้วทหารนั้น ด้วยข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเชื้อสายของหลอก๋องมีอยู่ จึงแกล้งกระทำให้กิตติศัพท์ปรากฏไว้ หมายจะมิให้ผู้ใดคิดการเกิดเป็นเสี้ยนหนามขึ้นในแผ่นดินไต้อ๋องได้ ไต้อ๋องจะได้ครองราชสมบัติเป็นสุข ข้าพเจ้าจะได้คิดเป็นขบถหามิได้ แต่ซึ่งข้าพเจ้ามิได้เอาตัวจงลิมวยมาถวายแต่แรกนั้น ด้วยข้าพเจ้าคิดว่าจงลิมวยได้มีคุณไว้แก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังทำราชการอยู่กับหลอก๋อง ๆ จะฆ่าข้าพเจ้าเสียหลายครั้ง เพราะจงลิมวยแก้ไขข้าพเจ้าจึงได้รอดชีวิต ครั้งนี้จงลิมวยไปอาศัยข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าจึงเสียมิได้แล้วได้ยินข่าวว่าไต้อ่องจะเลี้ยงจงลิมวย ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้เข้ามาเฝ้าเมื่อไรก็จะพาจงลิมวยเข้ามาด้วย ครั้นรู้ว่าไต้อ๋องไม่เลี้ยงจงลิมวยแล้ว ข้าพเจ้าจึงฆ่าจงลิมวยเสีย ซึ่งข้าพเจ้ากระทำการทั้งนี้โดยน้ำใจสุจริต ข้าพเจ้าถือตัวว่าข้าพเจ้าหาความผิดมิได้

พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังฮั่นสินว่าดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าอันความผิดของตัวมิใช่จะพึ่งมีครั้งนี้หามิได้ แต่ก่อนตัวก็กระทำผิดไว้อยู่ เมื่อครั้งตัวเป็นแม่ทัพยกไปตีเจ๋อ๋อง ตัวก็ชิงเอาความชอบหลีเสง แกล้งทำให้เจ๋อ๋องฆ่าหลีเสงคนเก่าเราเสียโทษตัวก็ผิด เมื่อครั้งเราเข้าที่ล้อมหลอก๋อง ณ เมืองเอ๊กเอี๋ยงนั้น เราให้มีหนังสือไปหาตัวเป็นหลายครั้ง ตัวก็แกล้งบิดพลิ้วเสียไม่ยกมาช่วย ทำทีประหนึ่งจะแกล้งให้หลอก๋องจับเราได้ หากว่าบุญของเราจึงหาเป็นอันตรายไม่ ครั้นสำเร็จราชการแจ้ว เราจะให้ตัวไปเป็นเจ้าเมืองฌ้อ ตัวก็ว่ากล่าวขัดขืนจะขอไปอยู่เมืองเจ๋ ครั้นเราบังคับขืนให้ตัวไปอยู่เมืองฌ้อ ตัวไม่เต็มใจจึงมีความโกรธแค้นเรา คิดกระทำการดูหมิ่นเราถึงเพียงนี้ ซึ่งตัวว่าน้ำใจซื่อตรงต่อเรา ๆ ไม่ เห็นจริงด้วย

ฮั่นสินได้ฟังพระเจ้าฮั่นเต้ว่าดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ จึงเหลียวหน้าไปทางขุนนางทั้งปวงแล้วว่า ตัวเราครั้งนี้ต้องกับตำราโบราณที่ว่าไว้ว่า พรานนกกับพรานเนื้อนั้นเอง ด้วยลักษณะพรานนกนั้นจะรักใคร่ธนูก็ต่อเมื่อตัวจะต้องการยิงนกเท่านั้น ครั้นสิ้นนกแล้วก็ทิ้งธนูเสียหานับถือไม่ พรานเนื้อเล่าถ้าสิ้นเนื้อแล้วก็ประหารชีวิตสุนัขของตัวกินเสีย อันคำโบราณสองประการนี้ควรจะเอาเป็นคติต่อไปได้ ขุนนางทั้งปวงก็นิ่งอยู่สิ้น

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นเต้ก็เอาตัวฮั่นสินใส่ท้ายรถ ยกทหารกลับมา ณ เมืองหํ้าเอี้ยง ครั้นมาทางประมาณสามสิบเส้นพอเวลาบ่ายลง จึงสั่งให้หยุดประทับอยู่ริมชายป่า พระเจ้าฮั่นเต้จึงลงจากรถขี่ม้าจะไปเที่ยวเล่นในป่านั้น ครั้นไปถึงป่าแห่งหนึ่ง ม้าพระที่นั่งที่พระเจ้าฮั่นเต้ทรงไปนั้นตกใจหยุดร้องอยู่ พระเจ้าฮั่นเต้จึงสั่งห้วนโก้ยคุมทหารประมาณหมื่นหนึ่งเข้าค้นดูในป่านั้น จึงพบทหารผู้หนึ่งอายุประมาณสามสิบปี ถือเกาทัณฑ์ยืนแอบต้นไม้อยู่ ห้วนโก้ยก็จับตัวมาถวายพระเจ้าฮั่นเต้ ๆ จึงถามทหารผู้นั้นว่า เอ็งชื่อไร เหตุใดจึงถืออาวุธมาคอยแอบอยู่ฉะนี้ อักเชียวเลียนจึงบอกว่าข้าพเจ้า ชื่ออักเชียวเลียน อยู่ ณ บ้านซุยอี๋ม เห็นท่านจับตัวฮั่นสินมาแลฮั่นสินมิได้กระทำผิดสิ่งใด ข้าพเจ้าคิดถึงคุณฮั่นสินจึงตามมาหมายจะชิงเอาตัวฮั่นสินให้จงได้ เมื่อเป็นเคราะห์ของข้าพเจ้ายังมิทันได้สนองคุณฮั่นสิน ท่านจับตัวข้าพเจ้าได้ก็ตามแต่จะทำโทษเถิด พระเจ้าฮั่นเต้ว่า เอ็งคิดกระทำการดังนี้ มิใช่จะหมายมาชิงแต่ฮั่นสิน เอ็งก็หมายจะทำอันตรายเราด้วย นี่หากว่าจับตัวได้ หาไม่เอ็งจะฆ่าเราเสีย พระเจ้าฮั่นเต้ก็สั่งให้ตีอักเชียวเลียนจนตาย ฮั่นสินรู้ว่าอักเชียวเลียนตายก็ร้องไห้

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นเต้ก็ยกทหารกลับมาถึงเมืองหํ้าเอี๋ยง แต่บรรดาขุนนางที่มิได้ตามเสด็จไป ก็ชวนกันมาคอยรับเสด็จพระเจ้าฮั่นเต้ ณ ประตูเมือง เชิญเสด็จเข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าฮั่นเต้ก็สั่งทหารให้เอาตัวฮั่นสินไปจำไว้ ณ ตำแหน่งคนโทษ อยู่เวลาวันหนึ่งพระเจ้าฮั่นเต้เสด็จออกขุนนาง ผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าพร้อมกัน ไต้หูเตียนจีจึงทูลพระเจ้าฮั่นเต้ว่า ซึ่งไต้อ๋องได้แผ่นดินนี้ เพราะไต้อ๋องได้ฮั่นสินมาเป็นกำลังราชการ อันความชอบของฮั่นสินมีอยู่เป็นอันมาก ครั้งนี้ฮั่นสินกระทำผิดละเมิดรับสั่งครั้งเดียว ซึ่งจะเอาตัวมาตรากตรำไว้ฉะนี้เห็นไม่สมควร ถ้าสืบไปภายหน้าผู้ซึ่งจะคิดกระทำความชอบก็เห็นจะรั้งรอเสีย ซึ่งข้าพเจ้ากราบทูลทั้งนี้ขอให้ทรงดำริดูก่อน พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าเราดูน้ำใจฮั่นสินเห็นไม่ตรงต่อเราแล้ว อันจะปล่อยให้คืนเป็นเจ้าเมืองอีกไม่ได้ ไต้หูเตียนจีจึงว่า ถ้าไต้อ๋องยังแคลงฮั่นสินอยู่ ก็โปรดให้แต่เพียงพ้นโทษเอาตัวไว้ใช้สอยอยู่เมืองหลวง อย่าให้กลับไปเมืองฌ้อดังเก่า พระเจ้าฮั่นเต้ก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ถอดฮั่นสินออกจากโทษหาตัวเข้าไปเฝ้า พระเจ้าฮั่นเต้จึงว่าแกฮั่นสินว่า แต่ท่านมาอยู่กับเรา ๆ ก็รักใคร่ท่านตั้งให้เป็นง่วนโซ่ย ต้องกระทำพิธีปลูกตั๋วสูงเก้าวา หวังจะให้กิตติศัพท์คนทั้งปวงยำเกรงนับถือท่าน ครั้นสำเร็จราชการแล้วเราตั้งให้เป็นเจ้าเมืองฌ้อ ชุบเลี้ยงให้มียศศักดิ์เป็นอันมาก ควรหรือท่านยังหาคิดถึงคุณเราไม่ ขืนคบจงลิมวยคนขบถไว้ ครั้งนี้ครั้นเราจะทำโทษท่านถึงสิ้นชีวิต ก็คิดถึงความชอบของท่านซึ่งมีไว้แกเรา ๆ จึงยกโทษเสีย จะตั้งท่านเป็นซุยอี๋มเฮา ที่ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงนี้ก่อน ช้านานไปท่านกระทำราชการมี ชอบขึ้นใหม่ เราก็จะให้ท่านเป็นเจ้าเมืองนั้นดังเก่า ฮั่นสินก็คุกเข่ากระทำคำนับพระเจ้าฮั่นเต้ลาออกไปอยู่ตึก เสียใจว่าเป็นขุนนางผู้น้อย แกล้งบอกป่วยเสียหาเข้ามาเฝ้าพระเจ้าฮั่นเต้ไม่ ตั้งแต่นั้นพระเจ้าฮั่นเต้ก็เสวยราชสมบัติเป็นปกติ จึงตั้งซกซุนถองเป็นนายใหญ่ สำหรับจัดแจงคนเข้าใช้สอยใกล้พระองค์ เสียวโหนั้นให้รักษากฎหมายสำหรับแผ่นดิน แลพระเจ้าฮั่นเต้นั้นห้าวันจัดแจงดอกไม้ธูปเทียนไปคำนับไทก๋งครั้งหนึ่ง

ฝ่ายไทก๋งเห็นพระเจ้าฮั่นเต้เวียนไปกระทำคำนับอยู่มิได้ขาด จึงคิดแต่ในใจว่าลูกเราเป็นถึงพระเจ้าฮั่นเต้เป็นกษัตริย์อันใหญ่ ตัวเราเป็นบิดาก็จริง แต่มิได้เป็นกษัตริย์ซึ่งจะทำให้พระเจ้าฮั่นเต้เฝ้ามากระทำคำนับอยู่ดังนี้ ก็เหมือนจะแกล้งทำให้ยศศักดิ์พระเจ้าฮั่นเต้เสื่อมไปดูไม่สมควรเลย เราจะกลับคำนับพระเจ้าฮั่นเต้จึงจะชอบ ไทก๋งคิดดังนั้นครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าฮั่นเต้อยู่ ณ ที่ตำแหน่งขุนนาง ครั้นพระเจ้าฮั่นเต้เสด็จออก ขุนนางทั้งปวงก็คุกเข่าลงกระทำคำนับพระเจ้าฮั่นเต้ตามธรรมเนียม ไทก๋งก็กระทำคำนับพระเจ้าฮั่นเต้ด้วย พระเจ้าฮั่นเต้เห็นไทก๋งกระทำคำนับก็ตกใจ ลุกลงจากโต๊ะเข้าไปพยุงไทก๋งขึ้นมานั่งบนที่สูง แล้วจึงถามไทก๋งว่า เหตุไรท่านจึงมาทำแก่ข้าพเจ้าฉะนี้ ไทก๋งจึงว่าตัวท่านเป็นกษัตริย์ แต่บรรดาคนทั้งแผ่นดินก็ย่อมกระทำคำนับท่านสิ้น แต่ตัวข้าพเจ้าผู้เดียวจะถือชั้นเชิงตั้งตัวอยู่ฉะนี้ดูหาสมควรไม่ พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังไทก๋งทูลดังนั้น จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ท่านทั้งปวงเห็นว่าเราสู้ลำบากกระทำศึกปราบปรามแผ่นดินให้เป็นปกติได้ จึงตั้งให้เราเป็นพระเจ้าฮั่นเต้ ตั้งไทก๋งเป็นไทเสียงหอง เราก็เห็นว่าท่านทั้งปวงมีความกรุณาเราอยู่แล้ว แต่น้ำใจของเราคิดอยู่ว่า เรากระทำศึกกับหลอก๋องได้ชัยชนะก็เพราะไทก๋งสั่งสอนเรามาแต่น้อย แล้วเราก็มีความกตัญญูต่อบิดามารดา จึงกระทำการใหญ่สำเร็จ ทุกวันนี้เราจะได้ถือว่าตัวเราเป็นใหญ่กว่าไทก๋งหามิได้

พระเจ้าฮั่นเต้ว่าดังนั้นก็กระทำคำนับไทก๋ง เชิญให้กลับไปอยู่ที่ ขุนนางทั้งปวงเห็นพระเจ้าฮั่นเต้นับถือยำเกรงไทก๋งนัก ก็ชวนกันไปมาหาไทก๋งอยู่มิได้ขาด อยู่เวลาวันหนึ่งพระเจ้าฮั่นเต้ให้หาขุนนางเข้าไปกินโต๊ะ ณ ที่เสด็จออกพร้อมกัน จึงมีผู้เอาเนื้อความเข้าไปกราบทูลแก่พระเจ้าฮั่นเต้ว่า กีสินเจ้าเมืองหันคบคิดกับเมาตุ้นเจ้าเมืองยงเหนาเป็นขบถขึ้น ยกเข้ามาตีเมืองไต้หงวนฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือกับบ้านเป๊กเซียงได้แล้วบัดนี้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ขอให้กำจัดกีสินกับเมาตุ้นเสียสิ้นโดยเร็วเถิด พระเจ้าฮั่นเต้ได้แจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้กีสินคิดการกำเริบขึ้นแล้ว เราจะทำประการใดจึงจะกำจัดเสียได้ ขุนนางทั้งปวงจึงทูลแก่พระเจ้าฮั่นเต้ว่า ทำไมกับศึกกีสินกับเมาตุ้นนิดหนึ่งเท่านั้น อุปมาเหมือนหนึ่งน้ำค้างติดอยู่กับใบหญ้า หาควรที่จะให้เคืองกิ่งไต้อ๋องไม่ ให้แต่ ทหารที่มีฝีมือไปกำจัดเสียก็เห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าฮั่นเต้จึงว่าท่านทั้งปวงเห็นการเพียงนี้ก็จริง แต่จะหมิ่นแก่การศึกไม่ได้ จำเราจะยกไปเองจะได้เกณฑ์หัวเมืองไปปราบปรามเสียครั้งเดียวให้สำเร็จ อย่าให้มีเสี้ยนศัตรูสืบไปอีก

พระเจ้าฮั่นเต้จึงสั่งเสียงก๊กเสียวโหให้อยู่เฝ้าเมือง ครั้งถึงวันฤกษ์ดีพระเจ้าฮั่นเต้ก็ยกกองทัพออกจากเมือง เป็นคนสามสิบหมื่นยกไปถึงเมืองเตียว พระเจ้าฮั่นเต้จึงให้ทหารสิบคนไปสืบราชการ ณ เมืองหัน ฝ่ายกีสินเจ้าเมืองหันกับเมาตุ้นเจ้าเมืองยงเหนาแจ้งข่าวว่าฮั่นเต้ยกทัพมาถึงเมืองเตียวแล้ว เมาตุ้นจึงคิดเป็นกลอุบายให้ทหารไปตั้งค่ายไว้ ณ ริมเชิงเขาเหนือเมืองหันเป็นค่ายลวงไว้หลายค่าย แล้วจึงจัดทหารที่มีกำลังแลฝีมือตั้งกองซุ่มอยู่ในป่ารอบเมืองหันเป็นอันมาก จึงจัดเอาแต่คนป่วยเจ็บแลแก่ชราให้อยู่รักษาแลเฝ้าเมือง หวังจะล่อลวงให้ฮั่นเต้ยกเข้ามาเมืองหัน แล้วจึงจะยกทหารเข้าล้อมเมืองหันจะจับฮั่นเต้แลทหารฮั่นเต้ฆ่าเสียให้สิ้นทั้งกองทัพ เมาตุ้นกับกีสินจัดแจงเสร็จแล้วก็ผ่อนครอบครัวแลเสบียงอาหารออกจากเมืองหันไปซุ่มอยู่ในป่านอกเมือง ฝ่ายทหารสิบนายซึ่งฮั่นเต้ใช้มานั้น ครั้นมาถึงแดนเมืองหันก็เล็ดลอดสอดแนมเข้ามา เห็นค่ายแลคนเจ็บป่วยเฝ้าค่ายอยู่ ณ ริมเชิงเขานอกเมืองหันนั้นทุกค่าย แลเห็นการซึ่งจัดแจงรักษาค่ายดูแลรักษาเมืองก็มิได้หนักแน่นมั่นคง ทหารสืบกลับมาแจ้งความแก่ฮั่นเต้ตามที่ได้รู้เห็นนั้น ฮั่นเต้ได้แจ้งความดังนั้น จึงสั่งให้เตรียมทหารจะยกไปเมืองหัน ตันแผงเห็นดังนั้นจึงทัดทานฮั่นเต้ไว้ว่า เมาตุ้นเจ้าเมืองยงเหนา ซึ่งยกมาช่วยกีสินเจ้าเมืองหันนั้นมีสติปัญญาลึกซึ่งอยู่ จะประมาทหมิ่นยังไม่ได้เกลือกจะเป็นกลอุบาย แลนายทหารสิบนายซึ่งไปสืบได้ความทั้งนี้จะเชื่อฟังเอาเป็นแน่ยังมิได้ ขอท่านจงใช้นายทหารที่มีสติปัญญาไปสืบสวนให้ถ้วนถี่ก่อน ได้ความแน่แล้วจึงค่อยยกกองทัพไปต่อภายหลัง ฮั่นเต้จึงถามตันแผงว่า เมาตุ้นจะมีกำลังแลฝีมือกล้าแข็ง แลสติปัญญายิ่งกว่าฌ้อปาอ๋องแลทหารหกหัวเมืองใหญ่ ๆ ประการใด ตันแผงจึงว่าเมาตุ้นจะได้มีกำลังแลฝีมือเสมอฌ้อปาอ๋อง แลหกหัวเมืองใหญ่นั้นหามิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเมาตุ้นมีความคิดลึกซึ้งอยู่ อนึ่งทแกล้วทหารเมืองยงเหนาก็มีนับหมิ่น เมาตุ้นยกมาช่วยป้องกันเมืองหัน แลจะตั้งค่ายรับกองทัพมิได้หนาแน่นมั่นคงดังนั้น ข้าพเจ้าเห็นผิดประหลาดอยู่ ขอจงตรึกตรองหนักหน่วงจึงจะชอบ ฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านคิดกริ่งใจเกรงเมาตุ้นกับกีสินอยู่ ว่าจะเป็นกลอุบายล่อลวง เราจะใช้ทหารไปสืบด่านตามคำท่านอีกสักครั้งหนึ่ง พระเจ้าฮั่นเต้จึงสั่งเหลาเก้งให้ไปสืบดูท่วงทีเจ้าเมืองหันจะตั้งค่ายวางคน แลจะคิดกลล่อลวงไว้ต่อสู้กองทัพฝ่ายเราเป็นประการใดบ้าง เหลาเก้งรับคำนับลาฮั่นเต้ออกจากค่ายเมืองเตียวไปถึงเมืองหัน เห็นค่ายแลคนรักษามิได้มั่นคง เหลาเก้งพิจารณาดูก็แจ้งความว่าเป็นกลอุบายซุ่ม กองทัพทหารไว้คอยท่ากองทัพฮั่นเต้เป็นแท้แล้ว เหลาเก้งก็กลับมาแจ้งความแก่ฮั่นเต้ว่า ข้าพเจ้าไปพิจารณาเห็นเจ้าเมืองหันให้ตั้งค่ายสนามเพลาะก็เหยาะแหยะมิได้มั่นคง มีแต่คนแก่ชราคนเจ็บป่วยให้อยู่รักษาค่าย ดูท่วงทีเห็นจะเป็นอุบายล่อลวงให้กองทัพท่านถลำเข้าไป ครั้นได้ทีทหารเมืองหันจะมากระทำแก่กองทัพท่านเป็นมั่นคง ฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงร้องตวาดเหลาเก้งว่า แต่กูทำศึกกับฌ้อปาอ๋องแลหัวเมืองใหญ่ทั้งปวง จะนับครั้งมิถ้วนยังเอาชัยชนะได้ แลตัวได้ไปสืบการถึงเมืองหัน แล้วกลับมาบอกหลอกหลอนให้เราเกรงกลัว แลจะให้ทแกล้วทหารย่อท้อใจจะมิให้ยกไปตีเมืองหัน ฉะนี้ ชะรอยตัวจะรับสินบนกีสินเป็นมั่นคง ฮั่นเต้ก็ให้ทหารเอาตัวเหลาเก้งไปจำใล่ตรุไว้ในเมืองเตียว แล้วก็ยกกองทัพออกจากเมืองเตียวไปถึงเมืองแผงปลายแดนเมืองหัน

ฮั่นเต้จึงสั่งห้วนโก้ยให้เข้าไปสืบให้ถึงเมืองหัน เจ้าเมืองหันจะตั้งค่ายแลซุ่มทหาร คิดการศึกไว้คอยรับกองทัพเราเป็นประการใด ห้วนโก้ยก็คำนับลาฮั่นเต้ไปสอดแนมสืบสวนได้ความแล้ว กลับมาบอกฮั่นเต้ว่า ข้าพเจ้าเข้าไปเห็นแต่ค่ายชาวเมืองหันออกมาอยู่ริมเชิงเขา ทแกล้วทหารซึ่งรักษาค่ายก็ร่วงโรยเบาบาง เห็นแต่คนแก่ชราแลคนเจ็บป่วยรักษาค่ายอยู่ แลจะได้เห็นที่ซุ่มทหารไว้ ณ แห่งใดตำบลใดนั้นหามิได้ ฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า เหลาเก้งให้ไปสืบการครั้งก่อนนั้น ไปสมคบกับเมาตุ้นแลรับสินบนกีสิน แกล้งมาพูดจาหลอกลวงเราว่าเมาตุ้นกับกีสินซุ่มทหารไว้ ต่อท่านไปสืบครั้งนี้จึงไว้ความเท็จเหลาเก้ง ฮั่นเต้ก็ยกกองทัพเข้าตีค่าย ฝ่ายคนแก่ชราซึ่งรักษาค่ายก็พากันหลบหลีกหนีเอาชีวิตรอด ฮั่นเต้ก็ยกเข้าเมืองหัน ครั้นทหารสามสิบหมื่นเข้าเมืองสิ้นแล้ว พอเวลาพลบค่ำลง

ฝ่ายเมาตุ้นเห็นฮั่นเต้เข้าเมืองหัน ได้ท่วงทีแล้วก็จุดประทัดสัญญาณขึ้น ฝ่ายทหารซึ่งตั้งกองซุ่มอยู่ในป่า ก็จุดคบเพลิงตีม้าล่อเสียอื้ออึงเข้ามาล้อมเมืองหันไว้โดยรอบ ฮั่นเต้ได้ยินเสียงอื้ออึง จึงสั่งให้ทหารขึ้นไปดูบนเชิงกำแพง ทหารกลับมาบอกว่าทหารกองทัพเมาตุ้นยกเข้ามาล้อมเมืองเป็นหลายชั้น แสงคบเพลิงสว่างไปดังกลางวันแลทหารเมาตุ้นซึ่งเข้าล้อมเมืองประมาณร้อยหมื่นเศษ มากกว่าทหารฌ้อปาอ๋องเมื่อครั้งรบกับท่านนั้นอีก ฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด จึงให้หาตันแผงเข้ามาปรึกษาว่าครั้งนี้เราคิดผิด ด้วยมิได้เชื่อฟังเหลาเก้ง เราจึงได้ถลำเกินเข้ามาในที่ล้อม ตกอยู่ในเงื้อมมือเมาตุ้นเห็นจะคิดอ่านแก้ตัวโดยยาก ตันแผงจึงว่า เมาตุ้นมี ทแกล้วทหารชำนาญการรบทั้งนายแลไพร่ ซึ่งคิดจะออกรบพุ่งตีฝ่าออกจากที่ล้อมนั้นเห็นจะเสียทหารเป็นอันมาก เกลือกจะตีฝ่าออกไปไม่ตลอด ข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายซึ่งจะแก้ตัวไว้อยู่อันหนึ่ง ตันแผงจึงเข้าไปกระซิบที่หู บอกแก่ฮั่นเต้เป็นความลับว่า ภรรยาเมาตุ้นคนหนึ่งชื่อนางอีซี มีสติปัญญาฉลาดในการศึกเป็นที่ปรึกษาเมาตุ้น แลนางอีซีจะว่ากล่าวสิ่งใด เมาตุ้นก็กระทำตามถ้อยคำนางอีซี ๆ จะได้ให้เมาตุ้นมีภรรยาถึงสองหามิได้ แลเมาตุ้นจะไปแห่งใดนางอีซีก็ไปด้วยทุกแห่ง แต่เมาตุ้นนั้นจะใคร่หาผู้หญิงรูปงาม ข้าพเจ้าคิดว่าจะแต่งกลอุบายให้เขียนเป็นรูปสตรีมีลักษณะอันงาม กับเงินทองสิ่งของบรรณาการให้ผู้ฉลาดพูดจาดีคุมของแลกระดาษรูปสตรีมีลักษณะ ออกไปให้แก่นางอีซีเป็นสินบนให้นางอีซีช่วยว่ากล่าวให้เมาตุ้นถอยทัพไป ท่านจะยอมให้นางรูปงามเหมือนรูปที่เขียนในกระดาษนั้น นางอีซีเห็นสตรีรูปดังเขียนนั้นจะสำคัญว่ามีอยู่ในเมืองจริง ก็จะว่ากล่าวให้ตุ้นถอยทัพเปิดทางให้แก่ท่าน หวังจะให้ท่านพาเอานางรูปงามไปเสียจากเงื้อมมือเมาตุ้นเป็นมั่นคง พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยมีความยินดีนัก จึงสั่งให้หล่อจี๋วเขียนรูปนางอันมีลักษณะงามลงในกระดาษ กับเงินทองของบรรณาการส่งให้คนใช้ผู้ฉลาดพูดจาสองคน ตันแผงก็กำชัยสั่งสอนคนใช้ให้ไปพูดจาแก่นางอีซีทุกประการ

คนใช้ก็คำนับลาฮั่นเต้ คุมสิ่งของเครื่องบรรณาการกับรูปเขียนออกไป ถึงประตูค่ายนางอีซีจึงเอาเงินทองให้แก่นายประตูแล้วว่า พระเจ้าฮั่นเต้ให้เราคุมของออกมา หวังจะเป็นทางราชไมตรีต่อกัน ท่านจงได้กรุณาช่วยนำเราเข้าไปในค่าย จะได้ถวายเครื่องบรรณาการแก่น่างอีซีตามประเพณี นายประตูครั้นได้เงินทองสินบนแล้วก็พาคนใช้พระเจ้าฮั่นเต้เข้าไปคำนับแจ้งความแก่นางอีซีทุกประการ คนใช้จึงแกห่อเงินห่อทองกองลงต่อหน้านางอีซี แล้วบอกว่าฮั่นเต้ให้ข้าพเจ้านำเอาเงินทองมาให้เป็นบรรณาการท่าน ด้วยพระเจ้าฮั่นเต้ตกอยู่ในที่ล้อมเมาตุ้น บัดนี้ทหารแลราษฎรชาวเมืองก็ขัดสนด้วยเสบียงอาหารนัก ขอท่านได้กรุณาพระเจ้าฮั่นเต้ด้วย ช่วยว่ากล่าวให้เมาตุ้นถอยทัพไปได้รอดชีวิตจะยอมส่งส่วยเงินทองแก่ท่านทุกปี แล้วคนใช้ก็เอากระดาษรูปเขียนส่งให้แก่นางอีซี ๆ คลี่กระดาษออกเห็นรูปนางเขียนงามนัก จึงถามว่า รูปนี้ท่านมีใจเขียนมาให้เราทำฉากชมเล่นด้วยหรือประการใด คนใช้จึงแจ้งความว่า พระเจ้าฮั่นเต้ได้นางรูปงามเหมือนอย่างเขียนไว้ในเมืองคนหนึ่ง บัดนี้เมาตุ้นมาล้อมไว้แน่นหนาเป็นความจวนตัว จะออกจากที่ล้อมกลับไปเมืองมิได้ พระเจ้าฮั่นเต้จึงให้วาดรูปนางลงกระดาษ ให้ท่านช่วยกรุณาเอารูปนางในกระดาษนี้ไว้ให้เมาตุ้นดูก่อน ถ้าเมาตุ้นชอบอัธยาศัยแล้ว ก็ให้ถอยทัพเปิดทางให้พระเจ้าฮั่นเต้ๆ ก็จะยอมให้นางรูปงามดังรูปที่เขียนมานี้ให้แก่เมาตุ้นเป็นบรรณาการด้วย นางอีซีได้ฟังดงนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า ฮั่นเต้ได้นางรูปงามในเมืองนี้ไว้ บัดนี้ฮั่นเต้ตกอยู่ในที่ล้อม จึงยอมว่าจะให้นางรูปงามแก่เมาตุ้น ๆ จะขืนล้อมฮั่นเต้ไว้มิให้ถอยทัพไป ถ้าพระเจ้าฮั่นเต้อดอาหารอยู่มิได้ก็จะนำนางรูปงามออกมาให้แก่เมาตุ้น ๆ ก็จะรักนางรูปงามลุมหลงไป เบื้องหน้าเราจะหาความสุขมิได้ จำเราจะว่ากล่าวให้เมาตุ้นถอยทัพเปิดทางให้ฮั่นเต้ออกจากที่ล้อม ฮั่นเต้จะได้พาเอานางนั้นไปเสียด้วย เห็นจะหาทิ้งนางรูปงามไว้ให้เมาตุ้นไม่ นางอีซีคิดแล้วจึงส่งกระดาษรูปเขียนคืนให้แก่คนใช้แล้วว่า ซึ่งฮั่นเต้ให้ท่านนำเงินทองของมีราคามาให้นั้นก็ขอบใจฮั่นเต้นัก ท่านจงบอกแก่ฮั่นเต้เถิดเราจะว่ากล่าวให้เมาตุ้นถอยทัพไปจงได้ แลซึ่งนางรูปงามเป็นปรารถนาของฮั่นเต้นั้นเมื่อเมาตุ้นถอยทัพแล้ว ให้ฮั่นเต้พาเอาไปเสียด้วย อย่าทิ้งไว้ให้เมาตุ้นในเมืองนั้นเลย นางอีซีก็ให้นายประตูค่อยพาเอาตัวคนใช้กับกระดาษรูปเขียนนั้นไปส่งถึงประตูเมือง คนใช้ก็เข้าไปคำนับพระเจ้าฮั่นเต้แจ้งความให้ฟังทุกประการ พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก

ฝ่ายตันแผงจึงให้ผูกรูปหุ่นยนต์ มีรูปงามดังนางเทพธิดา ประดับเครื่องดุจดังเป็นได้ยี่สิบตัว ตันแผงก็ให้ซ่อนให้ในที่ลับ จะได้บอกฮั่นเต้หามิได้ หวังมิให้ความแพร่งพรายไป ครั้นเวลาค่ำเมาตุ้นจึงเข้าไปหานางอีซีผู้ภรรยา ปรึกษาการที่จะเข้าปีนปล้นหักเอาเมืองหันจับตัวฮั่นเต้นั้นให้ฟัง นางอีซีว่าแต่ท่านมาล้อมฮั่นเต้ไว้ถึงเจ็ดวันก็มิได้เห็นฮั่นเต้แต่งกองทัพออกมาตั้งรับประการใด ครั้นเราจะเข้าปล้นปีนกำแพงเมืองเข้าไปก็จะเสียทแกล้วทหารเป็นอันมาก เห็นจะหาสำเร็จความคิดไม่ แลฮั่นเต้มีบุญญาธิการเทพยดาพิทักษ์รักษาช่วยทำนุบำรุงอยู่เป็นอันมาก แม้นหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงแจ้งความว่าท่านมาตั้งล้อมฮั่นเต้จะทำอันตรายฮั่นเต้ฉะนี้ ต่างเมืองก็จะยกกองทัพมาล้อมกระหนาบหลัง กองทัพท่านก็จะตกอยู่กลางศึกกระหนาบภายหลัง จะคิดแก้ตัวยาก เห็นจะเสียทีแก่ฮั่นเต้เป็นมั่นคง ขอท่านจงให้ถอยทัพกลับไปโดยเร็วเถิด

เมาตุ้นได้ฟังนางอีซีผู้ภรรยาว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงออกไปสั่งทแกล้วทหารทั้งปวงว่า เวลารุ่งเช้าจะเลิกทัพกลับไปเมืองยงเหนา ขณะเมื่อคนใช้ฮั่นเต้นำกระดาษเขียนนางรูปงามเข้าไปหานางอีซีว่ากล่าวกับนางอีซี เมื่อเวลากลางวันนั้นมีผู้มาบอกความกับกีสินทุกประการ พอเวลาค่ำลง เมาตุ้นออกมาสั่งนายกองทั้งปวงจะให้เลิกทัพ กีสินแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงเข้าไปว่าแก่เมาตุ้นว่า ซึ่งท่านคิดกลอุบายล่อลวงเอาฮั่นเต้ให้เข้ามาอยู่ในที่ล้อมได้ อุปมาดังเสือติดจั่น ชีวิตเหมือนลูกไก่อันท่านกำไว้ในมือ แลซึ่งท่านจะให้เลิกทัพถอยไปนั้น อุปมาเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า อนึ่งข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าพระเจ้าฮั่นเต้เขียนรูปนางใส่กระดาษให้คนใช้นำมาให้นางอีซีภรรยาท่านช่วยว่ากล่าวให้ท่านถอยทัพเปิดทางให้แก่ฮั่นเต้ ๆ จะให้นางรูปงามดังเขียน อันมีอยู่ในเมืองนี้ให้แก่ท่าน แลในเมืองข้าพเจ้านั้นจะได้มีนางรูปงามดังเขียนนั้นหามิได้ ซึ่งฮั่นเต้แต่งกลอุบายเขียนรูปนางมาให้ท่านนั้น หวังจะล่อลวงให้ท่านถอยทัพ ขอท่านจงให้ฮั่นเต้เอานางรูปงามออกมาให้ท่านเห็นตัวก่อน จึงจะเห็นความเท็จแลจริงฮั่นเต้

เมาตุ้นได้ฟังกีสินว่าดังนั้น จึงสั่งทหารให้เข้าไปริมเชิงกำแพงร้องบอกเข้าไปว่า ซึ่งฮั่นเต้จะให้นางรูปงามแก่เรานั้น ก็ให้ฮั่นเต้พาเอาตัวมาให้เราดูบนเชิงเทินช่องเสมาเวลานี้เถิด จึงจะถอยทัพเปิดทางให้ไป ทหารเมาตุ้นก็ร้องบอกทหารฮั่นเต้ซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินตามคำเมาตุ้นสั่ง ทหารฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้น ก็ไปแจ้งความแก่ฮั่นเต้ทุกประการ

พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจน้ก จึงให้หาตันแผงเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งให้เขียนนางมีรูปงามออกไปให้แก่เมาตุ้นว่าจะให้นางรูปงามแก่เมาตุ้น บัดนี้เมาตุ้นจะเรียกเอานางรูปงามออกไปดูในเวลานี้ ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้นางรูปงามมาให้เมาตุ้นดูตัวให้ทันเวลาค่ำวันนี้เล่า ตันแผงจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจัดแจงเตรียมไว้สำเร็จอยู่แล้ว ตันแผงจึงสั่งคนใช้ให้ร้องบอกออกไปว่า ซึ่งเมาตุ้นจะใคร่ชมนางรูปงามนั้น ฮั่นเต้จะพานางรูปงามยี่สิบคนขึ้นไปบนกำแพงเชิงเทิน เชิญให้เมาตุ้นเข้ามาใกล้เชิงกำแพงข้างนอก เลือกชมนางตามช่องหว่างเสมาในเวลาค่ำนี้เถิด ทหารเมาตุ้น ได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้าไปแจ้งความแก่เมาตุ้นทุกประการ เมาตุ้นแจ้งความดังนั้นก็มีใจยินดีด้วยจะได้ดูนางรูปงาม ก็แต่งตัวขึ้นม้าพานายกองทหารทั้งปวงออกจากค่ายไปยืนม้าคอยดูนางรูปงามอยู่ริมเชิงกำแพงเมืองหันนั้น

ฝ่ายตันแผงก็ให้คนใช้นำเอารูปหุ่นยนต์ รูปนางมีลักษณะขึ้นไปยืนเยี่ยมหน้าอยู่บนเชิงเทิน ประจำช่องเสมา ผินหน้าหุ่นยนต์ทั้งยี่สิบออกมาภายนอกกำแพง แล้วเก็บเอาหญิงชาวเมืองซึ่งมีเสียงเจรจาไพเราะให้ขึ้นไปพูดจาให้เมาตุ้นได้ยินเป็นเสียงหญิง แล้วตันแผงจึงให้จุดประทีปสว่างขึ้นให้เห็นรูปหุ่นนั้น แลคนใช้ตันแผงซึ่งประจำหุ่นให้ยกมือแลเหลียวแลไปมากระทำอาการดังเป็น แลให้หญิงซึ่งประจำรูปหุ่นพูดจาสนทนากันดังรูปหุ่นรู้เจรจาได้ ฝ่ายเมาตุ้นยืนม้าพิจารณาดูรูปนางงามดังเทพธิดา ได้ยินเสียงเจรจาก็เพราะจับใจ เมาตุ้นยืนม้าตะลึงแลพิศวงหลงด้วยรูปทั้งยี่สิบนั้นจนสิ้นสมประดีไป

ฝ่ายตันแผงจึงร้องเตือนลงไปว่า นางทั้งยี่สิบนี้พระเจ้าฮั่นเต้จัดแจงไว้ยังมิได้เป็นห้าม ด้วยคิดว่าท่านช่วยกรุณาเปิดช่องให้พระเจ้าฮั่นเต้ออกไป ก็จะให้คนอยู่พิทักษ์รักษาจะคอยมอบให้แก่ท่านโดยดี เมาตุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดี ด้วยจะได้นางรูปงามสมความปรารถนาโดยเร็ว ก็สั่งนายกองทหารให้เปิดทางให้กองทัพฮั่นเต้ออกไป ฮั่นเต้ครั้นเห็นเมาตุ้นเปิดทางให้ดังนั้น ก็รบเร่งยกกองทัพออกจากเมืองหัน แล้วจึงจัดให้ห้วนโก้ยหนึ่ง จิวพุนหนึ่ง โจฉำหนึ่ง อ๋องหลินหนึ่ง ทั้งสี่นาย คุมทหารสามหมื่นเป็นกองหลังรั้งท้าย แล้วพระเจ้าฮั่นเต้ก็รีบยกกองทัพหลวงไปตามเมืองเตียว

ฝ่ายเมาตุ้นขณะเมื่อกองทัพฮั่นเต้ยกออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็ขับม้าพาทหารเข้าในเมือง ขึ้นไปบนเชิงเทินมุ่งหมายจะได้นางรูปงาม ครั้นเข้าใกล้เห็นเป็นรูปหุ่นยนต์ก็รู้ว่าเป็นกลล่อลวง เมาตุ้นมีความละอายให้ขัดแค้นฮั่นเต้นัก จึงสั่งอ๋องค้วงนายทหารเอก ให้คุมทหารเร่งติดตามไปจับฮั่นเต้ฆ่าเสียให้จงได้ อ๋องค้วงก็คำนับลาเมาตุ้น ขับม้าพาทหารออกจากเมืองมาทางประมาณสามสิบเส้น พอพบนายทหารฮั่นเต้ออกขวางทางอยู่ อ๋องค้วงก็ขับม้าเข้ารบ ห้วนโก้ย โจฉำ จิวพุน อ๋องหลิน ก็ชักม้าเข้ารุมรบ ห้วนโก้ยก็เอาง้าวฟันถูกอ๋องค้วงคอขาดตกม้าตาย ฝ่ายทหารห้วนโก้ยก็ไล่ฆ่าฟันพวกทหารอ๋องค้วงป่วยเจ็บล้มตายแตกหนีกระจัดกระจายไปสิ้น ห้วนโก้ยก็พาทหารตามกองทัพหลวงไปถึงเมืองเตียว ฮั่นเต้ครั้นทแกล้วทหารมาพร้อมแล้ว จึงให้ทหารไปถอดเหลาเก้งให้พ้นจากโทษ ทหารไปถอดเครื่องจำแล้วพาเหลาเก้งเข้ามาเฝ้า ฮั่นเต้จึงว่าแก่เหลาเก้งว่า ครั้งนี้เราประมาทไป มิได้ตรึกตรอง หลงเชื่อคนใช้สิบคน เราจึงมิได้ฟังคำท่านสำคัญคิดว่าได้ท่วงทีแล้วจะได้เมืองหันโดยง่าย จึงรีบเข้าเมืองหันต้องกลศึกเมาตุ้น ๆ ให้ทหารประมาณร้อยหมื่นเศษล้อมไว้ แทบประหนึ่งจะอับจนเสียแล้ว นี่ได้ตันแผงแต่งกลล่อลวงเมาตุ้น จึงถอยทัพเปิดทางให้ออกมาจากที่ล้อมได้ ซึ่งเราให้จองจำทำโทษท่านนั้นเราขออภัยเสียเถิด ฮั่นเต้ก็ตั้งเหลาเก้งให้เป็นที่เกียมสิ้นเหา ฮั่นเต้พักทหารอยู่สองสามวัน ก็ยกกองทัพออกจากเมืองเตียว ไปถึงซกเงะก้วนเป็นที่ประทับพักทหาร ขุนนางนายทหารเฝ้าพร้อมกัน ฮั่นเต้จึงว่า แต่บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงในแผ่นดินนี้ เราเที่ยวดูแลภูมิฐาน ที่ทางบ้านเรือนราษฎร จะหนาแน่นมั่นคงเหมือนเมืองลกเอี๋ยงแลซกเงะก้วนนั้นหามิได้ อันเมืองทั้งสองแสนสนุกยิ่งนัก ฮั่นเต้จึงยกความชอบตันแผงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราเสียทีแก่เมาตุ้นตกอยู่ในที่ล้อมเมาตุ้นครั้งนี้ ตันแผงแต่งกลล่อลวงให้เมาตุ้นถอยทัพไป ตัวเราแลขุนนางทแกล้วทหารสามสิบหมื่นจึงออกจากที่ล้อมได้ ความชอบตันแผงครั้งนี้ ควรจะตั้งให้เป็นเจ้าเมืองซกเงะก้วนจึงจะสมความชอบ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อม ฮั่นเต้ก็ตั้งตันแผงให้เป็นที่ซกเงะเหา เป็นเจ้าเมืองซกเงะก้วน ครั้นรุ่งเช้าฮั่นเต้ก็ยกกองทัพออกจากเมืองซกเงะก้วนไปเมืองหํ้าเอี๋ยง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ