๒
ฝ่ายเตียวอ๋องเมื่องูไสไปแล้ว จึงมอบตัวอิหยินให้กองซุนเขียนแล้วว่า ท่านจงเบิกเอาทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังไปบำรุงรักษาอย่าให้หนีได้ กองซุนเขียนก็คำนับลาแล้วออกมารับตัวอิหยินขึ้นม้าคนละตัวเดินเคียงกันไปถึงถนนตลาด ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งแซ่ลิชื่อปุดอุยอยู่ ณ บ้านเอนเอียงเทียดในเมืองเตียวเมื่อรุ่นหนุ่มได้เป็นศิษย์กุยก๊กเรียนดูลักษณะ ครั้นใหญ่ขึ้นเป็นพ่อค้าเที่ยวค้าขายเดินมาพบอิหยินขี่ม้ามากับกองซุนเขียน เห็นลักษณะจะได้เป็นกษัตริย์ จึงนึกว่าคนผู้นี้เหมือนสิ่งของอันประเสริฐไม่ควรจะตีราคา จึงเดินเข้าไปสะกิดถามบ่าวกองซุนเขียนว่า คนขี่ม้ามาข้างหลังนั้นชื่อใด บ่าวกองซุนเขียนจึงบอกว่าชื่ออิหยิน หลานพระเจ้าเมืองจี๋นที่จับได้ในกลางศึก รับสั่งให้นายเราคุมไว้ กองซุนเขียนพาอิหยินมา ณ บ้าน
ฝ่ายลิปุดอุยครั้นมาถึงบ้านเข้าไปหาบิดาจึงถามว่า ถ้าจะทำไร่นาจะได้ผลเท่าใด บิดาจึงว่า ถ้าฝนฟ้าดีจะได้ภาษีสิบเท่า ลิปุดอุยจึงว่า จะชื้อหัวแหวนที่ดีเอามาตกแต่งขายจะมีกำไรฉันใด บิดาจึงว่าถ้ารู้ดูว่าดีจะมีประโยชน์ร้อยเท่า ลิปุดอุยจึงถามบิดาว่า ถ้าเชื้อกษัตริย์ตกไร้ จะช่วยทำนุบำรุงให้ได้ครองราชสมบัติจะจัดเป็นความชอบสถานใด บิดาจึงว่า ถ้าทำได้ดังนั้นจะมีความชอบยิ่งนัก ลิปุดอุยจึงว่าจะซื้อขายก็ลำบาก จะทำไร่ไถนานั้นป่วยการแรงคนแลประโยชน์ก็พอนับถ้วน เวลาวันนี้ข้าพเจ้าไปพบหลานพระเจ้าเมืองจี๋นชื่ออิหยินไปทรงต้องลักษณะนานไปภายหน้าจะมีบุญเป็นแท้ บัดนี้เหลียมโภ้ไปตีทัพจับมาได้ เตียวอ๋องมอบให้กองซุนเขียนพาตัวมาไว้ ข้าพเจ้าพบที่กลางทางเห็นขัดสนที่จะแก้ตัวรอดได้ ข้าพเจ้าจะทอดสนิทกับกองซุนเขียนให้คุ้นเคย แล้วจะคิดแก้ไข ให้อิหยินได้กลับคืนไปเมือง
ฝ่ายลิอ๋องผู้บิดาลิปุดอุยจึงว่า การครั้งนี้จะคิดทำเห็นยากนัก ถ้าสมความติดตลอดเจ้าจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้นไม่สมความคิดภัยก็จะมีแก่เรา เจ้าจงตรึกตรองดูการให้ดีก่อน ลิปุดอุยจึงว่า ข้าพเจ้าเรียนดูลักษณะ แต่ได้ทายมากว่าร้อยคนยังมิได้ผิด คนผู้นี้มีวาสนาแลราศีก็กล่ำขึ้นบิดาอย่าวิตกเลย แต่นั้นมาลิปุดอุยก็เที่ยวสืบเสาะไปหาคนที่รักสนิทกับกองซุนเขียน จึงพบผู้หนึ่งอยู่ทิศตะวันออกเป็นแซ่กุยชื่อเบ๊ก ลิปุดอุยจึงแต่งของกำนัลไปหาอุยเบ๊ก ว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองนี้จะมาพึ่งท่าน ให้พาข้าพเจ้าไปฝากตัวไว้กับกองซุนเขียน จะพึ่งบุญต่อไปภายหน้า กุยเบ๊กจึงว่า พรุ่งนี้ท่านจงจัดของกำนัลไว้ เราจะพาไปหากองซุนเขียน ลิปุดอุยก็กลับมาจัดแพรกับหยกเป็นของกำนัลชมเล่น ไปหากุยเบ๊กๆ ก็พาลิปุดอุยไป ครั้นถึงบ้านกองซุนเขียน กุยเบ๊กให้ลิปุดอุยนั่งอยู่ภายนอกตึก กุยเบ๊กก็เข้าไปหากองซุนเขียนว่า บัดนี้ลิปุดอุยเป็นคนรักข้าพเจ้าจะมาฝากตัวพึ่งบุญท่าน
ฝ่ายกองซุนเขียนได้ฟังกุยเบ๊กว่า ก็ให้กุยเบ๊กไปพาตัวลิปุดอุยเข้าไปในตึก ลิปุดอุยจึงยกสิ่งของเข้าไปคำนับกองซุนเขียน แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าจะมาฝากตัวอยู่พึ่งบุญท่าน กองซุนเขียนจึงว่า ถ้าท่านมีธุระประการใดจงมาหาเราเถิด แล้วกองซุนเขียนให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกุยเบ๊กลิปุดอุยๆ กินโต๊ะพลางพูดปราศรัยเป็นที่สบาย พอเวลาบ่ายกุยเบ๊กลิปุดอุยคำนับลากองซุนเขียนกลับมาบ้าน แต่นั้นมาลิปุดอุยได้ของสิ่งใดดีมีรสก็เอาไปให้กองซุนเขียนเนืองๆ ครั้นถึงเดือนเจ็ดขึ้นห้าค่ำเทศกาลกินขนมจ้าง กองซุนเขียนสั่งคนใช้ให้ไปยกโต๊ะมาตั้งจึงชวนให้กินโต๊ะพูดปราศรัยกัน ลิปุดอุยจึงแกล้งถามกองซุนเขียนว่า ท่านผู้นี้ชื่อใดข้าพเจ้าไปมาไม่รู้จัก กองซุนเขียนจึงบอกว่าชื่ออิหยินเป็นหลานพระเจ้าเมืองจี๋น ลิปุดอุยทำตกใจถ่อมตัวลงว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่พ่อค้าจะนั่งร่วมกันกับท่านไม่สมควร ขยับตัวจะถอยลงมานั่งที่ต่ำ กองซุนเขียนจึงว่า เราทั้งสี่คนรักใคร่กันสนิท จึงเรียกมาจะให้กินโต๊ะพร้อมกัน อิหยินกุยเบ๊กลิปุดอุยก็นั่งกินโต๊ะกับกองซุนเขียนแล้วพูดจากันไปจนเวลาบ่าย กุยเบ๊ก ลิปุดอุยก็ลากองซุนเขียนกลับมาบ้าน ครั้นรุ่งเช้าลิปุดอุยจึงหยิบแพรกับเงินห้าสิบตำลึงไปบ้านกองซุนเขียน เวลานั้นพอกองซุนเขียนเข้าไปสู่ที่เฝ้า ลิปุดอุยก็เอาแพรเข้าไปคำนับอิหยิน แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าได้มานั่งกินโต๊ะร่วมท่านอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย อิหยินจึงว่า เราเป็นคนโทษพลัดบ้านเมืองมา ยศศักดิ์ก็เหมือนท่านๆ เอาของมาให้เราขอบใจท่านหาที่สุดมิได้ ลิปุดอุยไม่เห็นผู้ใดนั่งอยู่จึงกระซิบบอกอิหยินว่า ข้าพเจ้าตั้งใจมาจะได้พบท่านสู้เสียของกำนัลไปเที่ยวคำนับ จนมาชอบกับกองซุนเขียนเพราะด้วยตัวท่านผู้เดียว อันความคิดของข้าพเจ้ายังลึกซึ้งอยู่ หมายจะพึ่งบุญท่าน ควรจะพูดในที่ลับ อิหยินได้ฟังลิปุดอุยพูดดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าถ้าท่านได้ดีเราจะพึ่งท่านอีก ไฉนท่านกลับว่าจะมาพึ่งเราเป็นคนโทษไม่เห็นสม ว่าแล้วก็ชวนลิปุดอุยเข้าไปในที่ลับ ลิปุดอุยจึงว่า ข้าพเจ้าไปเที่ยวค้าขาย รู้ว่าพระเจ้าปู่เป็นเจ้าในเมืองจี๋น อันก๊กกุ๋นบิดาท่านเป็นไทจู๊มีบุตรถึงยี่สิบเศษตัวท่านเป็นบุตรกลางหามารดาไม่ ข้าพเจ้าคิดจะแก้ไขท่านให้ได้กลับไปเมือง ถ้าพระเจ้าจี๋นเจี๋ยวอ๋องสิ้นพระชนม์ลง อันก๊กกุ๋นก็คงจะได้ครองเมืองจี๋นพี่น้องของท่านจะชิงกันเป็นที่ไทอุ๊ ตัวท่านมาตกอยู่เมืองนี้ได้ความยากทำไฉนจึงจะได้คืนไปเล่า
อิหยินได้ยินคำลิปุดอุยว่า ก็มีความอาลัยคิดถึงบ้านเมืองจึงตอบว่า คำของท่านพูดมาทั้งนี้ เรายินดีดังหนึ่งเอาทองคำแลหยกสิ่งของที่ดีมาให้แก่เรา ท่านจงช่วยแก้ไขให้เราได้กลับไปเมืองเถิด คงจะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด ลิปุดอุยจึงว่าข้าพเจ้าจะลาไปคิดการเมืองจี๋นก่อน ตัวท่านเล่าก็จนกันดารนักไม่มีสิ่งใดจะฝากไป ข้าพเจ้าตั้งใจจะพึ่งท่าน บรรดาสิ่งของมีอยู่ ณ เรือนจะขายลงได้ประมาณสักพันตำลึงทอง แม้นไปถึงเมืองจี๋นจะได้หยิบออกใช้กับจะคิดแก้ไขตัวท่าน แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าไม่รู้จักผู้ใดที่จะได้พาเฝ้า ขอกองทัพมารับแล้วจะกลับมาพาท่านไป อิหยินได้ฟังลิปุดอุยจึงว่า ตัวเราอุปมาดังตกอยู่ที่มืด ท่านจะแก้ไขให้คืนไปเมืองนั้น ดุจเห็นดวงพระจันทร์พระอาทิตย์อันส่องสว่างในเมืองฟ้า ซึ่งท่านวิตกว่าไม่รู้จักใครเราจะบอกให้ นางห้ามที่ชอบอัชฌาสัยบิดาเราเขาก็มีใจเอ็นดูชื่อนางฮัวเอี๋ยงชาวเมืองฌ้อ บิดาเราให้เป็นฮูหยินใหญ่กว่าสนมทั้งปวง มีพี่สาวชื่อนางฮองกั้ว ตั้งร้านไว้สำหรับเช่าอยู่หน้าวังบิดาเรา ถ้าพบจะได้แจ้งความ จึงเขียนหนังสือสองฉบับส่งให้ลิปุดอุย ลิปุดอุยรับหนังสือแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าจะหาปิ่นแก้วไปถวายสองอันพอเป็นสำคัญของท่าน แล้วหยิบทองให้อิหยินเอาไว้ใช้ภายหลังห้าร้อยตำลึง จึงกำชับว่าการนี้อย่าให้แพร่งพรายได้ แล้วลิปุดอุยคำนับลาอิหยินกลับมาหากองซุนเขียนบอกว่า ข้าพเจ้าจะลาไปเที่ยวค้าขายหลายเดือนจึงจะมา ปิดากับภรรยาข้าพเจ้าขอฝากท่านไว้ด้วย กองซุนเขียนได้ฟังลิปุดอุยจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อยู่ภายหลังเป็นธุระเรากว่าท่านจะกลับมา ลิปุดอุยก็ลากองซุนเขียนกลับไปบ้าน จัดสิ่งของใส่หาบกับคนใช้สามคนออกจากเมืองเตียวไปถึงฝั่งแม่น้ำเจียงหอ จึงจัดสิ่งของเป็นกำนัลเข้าไปคำนับหลีเกซก หลีเกซกก็มีใจกรุณาสั่งว่าท่านเป็นคนเที่ยวค้าขาย แม้นสืบไปภายหน้าถ้ามีธุระทุกข์ร้อนสิ่งใดในเมือง เราจงมาบอกเราจะช่วย ลิปุดอุยได้ฟังก็ดีใจ จึงลาหลีเกซกออกจากเมืองมาข้ามแม่น้ำเจียงหอไปสองคืน ถึงแม่นํ้าอุยโหปลายแดนเมืองจี๋น ตั้งแต่ปลายแดนเข้าไปถึงเมืองจี๋นทางประมาณพันโยชน์ มีแมน้ำแปดแห่งมีดงสามดง พ้นดงไปมีด่านห้าด่าน ครั้นถึงเมืองจี๋นลิปุดอุยจึงเข้าหยุดอาศัยร้านแห่งหนึ่งสืบถามหานางฮองกั้ว มีผู้บอกว่าตั้งตึกอยู่หน้าวังอันก๊กกุ๋น ลิปุดอุยแจ้งความแล้วหานายหน้าพาขึ้นไปบนตึกนางฮองกั้ว ลิปุดอุยหยิบเงินสิบแท่งกับแพรอย่างดีออกมาคำนับ
ฝ่ายนางฮองกั้วจึงถามว่าท่านนี้มาแต่ไหน มีกิจธุระประการใดหรือ ลิปุดอุยจึงว่า ข้าพเจ้ากับอิหยินซึ่งตกอยู่ในเมืองเตียวนั้น ได้ไปมาหากันชอบอัชฌาสัยคิดจะแก้ไขให้ได้คืนมาเมือง ลิปุดอุยจึงแจ้งความหนหลังให้ฟังทุกประการ แล้วส่งหนังสือสองฉบับกับปิ่นแก้วให้นางฮองกั้วๆ รับหนังสือแล้วก็เข้าไปในวังเล่าความแก่นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินตามคำลิปุดอุยบอก จึงส่งหนังสือให้แก่นางผู้น้องแล้วว่า ตัวเจ้าทุกวันนี้ก็ชอบอัชฌาสัยแก่ไทจู๊ แต่ยังไม่มีบุตรดุจดอกไม้พึ่งแย้มเป็นที่เจริญใจแก่แมลงผึ้ง แม้นนานไปจะร่วงโรยเหี่ยวแห้งแมลงภู่ก็จะแรมร้างไป เหมือนดังตัวเจ้าทุกวันนี้จะหมายพึ่งผู้ใดเล่าก็ไม่เห็นใคร จงรับเอาอิหยินไว้เป็นบุตรเลี้ยงเกลือกจะกลับมาได้จากเมืองเตียว ถ้าพระเจ้าจี๋นเจี๋ยวอ๋องหาบุญไม่ อันก๊กกุ๋นก็จะได้เป็นเจ้าแผ่นดินที่ไทจู๊ก็จะอยู่กับบุตรที่มีมารดา ถ้าชอบทีจงขอคำอันก๊กกุ๋นยกที่ไทจู๊ไว้กับอิหยิน นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินเห็นชอบด้วย จึงคลี่หนังสือออกอ่าน ได้ความว่า ข้าพเจ้าอิหยินขอคำนับมาถึงท่านด้วยข้าพเจ้าตกไปอยู่เมืองเตียวได้ความทุกขเวทนา แจ้งมาแก่ลิปุดอุยสิ้น ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้านำหนังสือแลข้อความบอกแก่พระบิดาให้ทราบ แล้วช่วยจัดแจงให้ลิปุดอุยกลับไปโดยเร็วจะได้คิดการกลับมาเมือง ถ้าชีวิตข้าพเจ้ายังมีอยู่ตราบใดจะได้ฉลองคุณท่าน ครั้นเวลาเย็นอันก๊กกุ๋นกลับมาจากสวนเข้าสู่ที่ข้างใน นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินไปคอยรับ เห็นอันก๊กกุ๋นรื่นเริงปราศรัยได้ช่องจึงแจ้งความว่า อิหยินบุตรท่านบัดนี้ใช้คนสนิทถือหนังสือให้ปิ่นแก้วคู่หนึ่งเป็นสำคัญมา อันก๊กกุ๋นได้ฟังความยินดี จึงคลี่หนังสือออกอ่านได้ความว่า ข้าพเจ้าอิหยินผู้บุตรขอคำนับมาถึงพระบิดาให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าไปอยู่เงื้อมมือข้าศึก คิดถึงความตายอยู่เป็นนิจ ระลึกถึงคุณพระบิดากับพระเจ้าปู่มิได้ขาดจึงป้องกันอันตรายชีวิตไว้ด้วยความกตัญญู ต่องูไสไปแจ้งราชการจึงเห็นว่าชีวิตจะรอด เตียวอ๋องให้ไปอยู่กับกองซุนเชียนเขาก็มีใจกรุณา แล้วได้รู้จักชอบกับลิปุดอุยๆ รับว่าจะช่วยแก้ไขให้ได้กลับคืนมาเมืองแต่หนทางไกลกันดารเกลือกจะมามิได้ จึงให้ลิปุดอุยมาเฝ้าจะได้กำหนดทางที่จะมา พระบิดาช่วยทูลพระเจ้าปู่ขอกองทัพมารับข้าพเจ้าที่ปลายแดน อันก๊กกุ๋นได้แจ้งในหนังสือนั้นก็มีความสงสารแก่บุตรยิ่งนัก นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินเห็นอันก๊กกุ๋นมีความอาลัยได้ทีจึงทูลว่า อิหยินผู้นี้มีกตัญญูผู้ซึ่งจะไปมาก็สรรเสริญ ว่ามีสติปัญญามากกว่าบุตรทั้งปวง ทุกวันนี้พระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้าได้ความสุขพระคุณหาที่สุดมิได้ ถ้าหาพระชนม์ไม่ ข้าพเจ้าจะมีแต่ความทุกข์ ด้วยหาบุตรมิได้ทั้งไร้ญาติ อิหยินก็ไม่มีมารดา ข้าพเจ้าจะขอไว้เป็นบุตร อันก๊กกุ๋นยังตกตะลึงมิได้ว่าประการใด นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินเห็นอันก๊กกุ๋นไม่ตรัสด้วยก็ทำทีประหนึ่งจะร้องไห้หมอบซบหน้านิ่งอยู่ อันก๊กกุ๋นลุกออกมาพยุงนาง ฮัวเอี๋ยงฮูหยินให้ลุกขึ้นนั่งแล้วว่า เราพิเคราะห์ดูบุตรทั้งปวง ที่มิสติปัญญาก็น้อย ไพร่บ้านพลเมืองจะเอาเป็นที่พึ่งมิได้ เห็นแต่อิหยินผู้เดียวค่อยมีสติปัญญาแต่ไม่มีมารดา เจ้าจะรับเลี้ยงเป็นบุตรก็ตามอัชฌาสัยเถิด ตัวอิหยินก็ยังตกอยู่เมืองเตียวการที่จะคิดมาก็ยาก จะไปทูลพระเจ้าจี๋นเจี๋ยวอ๋อง ให้ปรึกษาขุนนางทั้งปวงที่มีสติปัญญา จะได้คิดแก้ไขให้อิหยินคืนมาเมืองก่อน นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินจึงทูลว่า ลิปุดอุยผู้ถือหนังสือมาเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าพระองค์ให้หาเข้ามาถามก็จะได้เนื้อความ อันก๊กกุ๋นก็ออกไปข้างนอกจึงใช้คนไปหาลิปุดอุย ครั้นลิปุดอุยมาถึงจึงคุกเข่าลง คำนับอันก๊กกุ๋นแล้วถอยออกมายืนนิ่งอยู่ อันก๊กกุ๋นจึงปราศรัยกับลิปุดอุยว่า ท่านกรุณาบุตรเราจะช่วยธุระนั้นขอบใจท่าน ดังเอาแก้วมาให้เราสักร้อยดวง ลิปุดอุยจึงทูลว่า อิหยินกับข้าพเจ้ารักใคร่สนิทกัน คิดจะแก้ไขให้อิหยินกลับมาแต่หนทางนั้นก็ไกลกันดาร ข้าพเจ้าจะขอกองทัพไปคอยท่า ข้าพเจ้ากับอิหยินจะมาที่แม่นํ้าอุยโห อันก๊กกุ๋นได้ฟังลิปุดอุยกำหนดดังนั้นดีใจนัก จึงตอบว่าเราจะจารึกถ้อยคำแลชื่อท่านไว้ในแผ่นศิลาแลแผ่นทอง ถ้าอิหยินได้กลับมาเหมือนคำท่านเราจะบำเหน็จให้ถึงขนาด แล้วจะทูลพระเจ้าจี๋นเจี๋ยวอ๋องให้ชุบเลี้ยงท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งท่านจะพาอิหยินมานั้นจะกำหนดเมื่อไรให้รู้ จะได้แต่งกองทัพไปคอยรับที่แม่น้ำอุยโห ลิปุดอุยจึงทูลว่า เดิม ข้าพเจ้าเห็นอิหยินกับกองซุนเขียนขี่ม้ามาคนละตัว ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูลักษณะอิหยินเห็นสืบพระวงศ์ต่อไปได้ จึงคิดกับบิดาจะมาพึ่งบุญท่าน แม้นนานไปภายหน้าพระองค์ได้ครองราชสมบัติขอให้อิหยินเป็นที่ไทจู๊ลูกหลวงเอกแทนพระองค์ด้วยหามารดาไม่ ถ้าพระองค์โปรดขอประทานหนังสือปิดตราไว้ ซึ่งข้าพเจ้าจะพาอิหยินมานั้นหนทางก็ไกลจะแก้ไขได้โดยนาน เพียงสิ้นฤดูหนาวจึงจะได้พาอิหยินมา อันก๊กกุ๋นรับคำลิปุดอุย จึงทำหนังสือสัญญาเสร็จแล้วว่า เราจะให้หนังสือนี้ไว้แก่นางฮัวเอี๋ยงฮูหยิน จึงพระราชทานทองห้าร้อยตำลึงให้แก่ลิปุดอุย ว่าท่านเอาไปใช้สอยในเมืองเตียวเถิด ลิปุดอุยคำนับรับเอาทองแล้วทูลลาออกมาจากที่เฝ้าไปหานางฮองกั้วบอกว่าจะลากลับไปเมืองเตียว แล้วนางฮองกั้วก็ให้ของตอบลิปุดอุยแล้วบอกว่านางฮัวเอี๋ยงฮูหยินฝากทองกับโสมไปให้อิหยินใช้พลาง
ฝ่ายลิปุดอุยคำนับรับของแล้วก็ลาออกมาจัดหาบคอน กับบ่าวสามคนออกจากเมืองจี๋นมาหลายวัน ครั้นเวลาค่ำถึงเมืองเตียวเข้าไปคำนับลิอ๋องผู้บิดา บอกว่าได้ไปเฝ้าอันก๊กกุ๋นถึงเมืองจี๋นทูลการซึ่งคิดไว้ได้เสร็จแล้ว ลิอ๋องจึงว่าซึ่งคิดการครั้งนี้อย่าเบาความรักษาตัวให้จงหนัก ลิปุดอุยก็ลามาตึกเห็นนางจูกี๋ผู้เป็นภรรยาออกมารับ พิเคราะห์ดูผิวหน้าเป็นนวลผิดขึ้นกว่าแต่ก่อนก็เข้าใจว่ามีครรภ์ ลิปุดอุยก็มีความยินดีนักคิดจะยกนางจูกี๋ให้แก่อิหยิน กองซุนเขียนจะได้ไว้ใจสนิท การที่คิดให้อิหยินคืนไปเมืองนั้นจึงจะสมคะเน บุตรของเราซึ่งติดครรภ์นางจูกี๋ไปก็จะได้เป็นเชื้อกษัตริย์ ครั้นเวลาเข้านอนพูดกันโดยปกติ ลิปุดอุยจึงถามภรรยาเป็นทีสัพยอกว่าข้าไปทางไกล เจ้าอยู่ภายหลังเห็นเจ้าจะไม่วิตกถึง ดูกิริยาเจ้าจึงรื่นเริงอยู่ดังนี้ นางจูกี๋จึงตอบคำสามีว่าท่านพูดประหลาด ดูประหนึ่งจะสงสัยข้าพเจ้าว่าจะมีที่ลอบรักอยู่ ตั้งแต่มาเป็นภรรยาท่านแต่ประตูบ้านก็มิได้ออกไป ชายผู้ใดก็มิได้ล่วงเข้ามา ซึ่งหน้าข้าพเจ้านวลนั้นเห็นจะมีครรภ์ประมาณสักสองเดือน ลิปุดอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามเป็นทีสัพยอกว่า ถ้าเจ้ายังไม่มีผัวแม้นชายมีตระกูลพ่อค้าเศรษฐีคฤหบดีแลกษัตริย์จะมาสู่ขอบิดามารดาจะยกเจ้าให้ น้ำใจเจ้าจะรักตระกูลอันใด นางจูกี๋จึงตอบว่าอันเกิดมาเป็นสตรีจะละเมิดนอกใจจากบิดามารดานั้นไม่ควร ถึงจะได้ผัวดีแลชั่วประการใดสุดแต่บิดามารดาจะตกแต่ง เหมือนตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้บิดามารดายกให้ก็เป็นสิทธิอยู่กับท่าน ลิปุดอุยจึงตอบว่า เราดูลักษณะเจ้าจะได้เป็นฮ่องเฮ้าคือมเหลีเป็นมั่นคง ซึ่งเราไปถึงเมืองจี๋น เพราะได้อิหยินหลานพระเจ้าจี๋นเจี๋ยวอ๋องเสียทัพตกมาอยู่กับกองซุนเขียน อิหยินคนนี้รูปงามต้องลักษณะดังมังกรประการหนึ่ง เหมือนหงส์ประการหนึ่ง ดุจดวงพระอาทิตย์ประการหนึ่ง ได้ลักษณะสามประการควรจะเป็นกษัตริย์ เราจะได้พึ่งจึงไปทอดสนิทไว้ พรุ่งนี้เราจะไปหากองซุนเขียนชวนอิหยินมากินโต๊ะที่บ้าน จะให้เจ้าออกไปนั่งใช้สอยเหมือนหนึ่งเสี่ยงวาสนา ถ้าสมหมายก็จะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เราจะทำเป็นเมาสุราเข้านอนอยู่ภายใน ถ้าอิหยินมีใจรักหยอกเจ้าเราจะทำเป็นโกรธ เจ้าจึงขอโทษตัวแลอิหยินไว้ เราจึงจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาอิหยิน จึงจะสมวาสนาเจ้า แลบุตรของเราในครรภ์นั้นจะได้ร่วมแซ่เป็นเจ้าในเมืองจี๋น นางจูกี๋จึงตอบว่า น้ำใจข้าพเจ้ารักท่านโดยสัตย์บริสุทธิ์ดุจบิดามารดา ซึ่งท่านว่ามาทั้งนี้ดุจหยิบกาวแลนำรักมาพานในแผ่นทองให้หมองมัว ทุกวันนี้มีแต่ต้องตามใจท่านด้วยความกลัว ลิปุดอุยจึงว่า เราคิดกันทั้งนี้จะให้ได้ดีมีประโยชน์ แลความสุขไปภายหน้าถึงหมื่นชาติ แต่จะมีคำคนนินทาอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าสมความคิดแล้วคำซึ่งคนติเตียนนั้นก็จะสูญไปเอง ครั้นเวลารุ่งเช้า ลิปุดอุยก็จัดถ้วยหยกคูหนึ่งกับรัดประคตสายหนึ่งเดินไปถึงประตูตึกกองซุนเขียน
ฝ่ายกองซุนเขียนแลเห็นลิปุดอุยก็ออกมายืนต้อนรับ ลิปุดอุยจึงคำนับกองซุนเขียนแล้วว่า ข้าพเจ้าไปค้าขายหลายเดือนก็ไม่สู้จะมีกำไร ได้แต่ถ้วยชาหยกกับรัดประคตมาฝากท่าน กองซุนเขียนจึงว่าท่านไปทางกันดารลำบากกาย ยังมีจิตคิดถึงเราอุตส่าห์หาของดีมาให้ขอบใจท่าน แล้วสั่งให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงลิปุดอุยเชิญอิหยินมากินด้วย
ฝ่ายกองซุนเขียนกินสุราเหงื่อไหลเสื้อที่ใส่เปียก ลุกเข้าไปผลัดเสื้อในตึก ลิปุดอุย จึงกระซิบบอกอิหยินว่า ข้าพเจ้าได้ไปถึงนางฮองกั้วให้ทำหนังสือไปแจ้งความแก่นางฮัวเอี๋ยงฮูหยินๆ ทูลความอันก๊กกุ๋นสิ้นทุกประการ บิดาท่านจึงหาข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้า ข้าพเจ้าซ้ำทูลขอที่ไทจู๊ไว้ให้ท่าน อันก๊กกุ๋นก็เขียนหนังสือปิดตราเป็นสำคัญให้ไว้แก่นางฮัวเอี๋ยงฮูหยิน อิหยินได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านมีคุณครั้งนี้หาที่สุดมิได้ ถ้าเรากลับไปได้ครองราชสมบัติในเมืองจี๋น จะให้ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ กองซุนเขียนชำระกายแล้วก็ออกมาพูดกันเป็นที่สบาย ลิปุดอุยจึงว่าวันพรุ่งนี้ขอเชิญท่านทั้งสองไปบ้าน บุตรแลหลานข้าพเจ้าจะได้รู้จักไปมาคำนับเป็นที่พึ่ง กองซุนเขียนจึงว่า เมื่อท่านไม่อยู่เราได้พูดกับอิหยินอยู่เนืองๆ แม้นท่านกลับมาจะพากันไปเยี่ยม บัดนี้ท่านกลับมาเวลาพรุ่งนี้เราจะไปให้ถึงบ้านท่าน ลิปุดอุยก็คำนับลากองซุนเขียนกลับไป ครั้นถึงบ้านจึงจัดแจงที่ทางสิ่งของซึ่งจะเลี้ยงดูนายไพร่เตรียมไว้พร้อม ครั้นเวลารุ่งเช้ากองซุนเขียนก็ชวนอิหยินขึ้นม้าพาบ่าวไพร่ไปบ้านลิปุดอุย
ฝ่ายลิปุดอุยก็ออกไปต้อนรับเข้ามาที่อยู่เชิญให้นั่งโดยสมควร ส่วนบ่าวไพร่ทั้งปวงให้เลี้ยงดูอยู่แต่ภายนอก จึงให้ยกโต๊ะอย่างดีเข้ามาตั้ง เชิญกองซุนเขียนกับอิหยินให้กินโต๊ะตามสบาย ลิปุดอุยจึงให้หญิงคนใช้ไปเรียกนางจูกี๋ออกมา นางจูกี๋ครั้นรู้ว่าสามีให้หาก็คิดละอาย แม้นจะขัดกลัวผัวจะโกรธจึงออกไปนั่งอยู่ ลิปุดอุยจึงบอกนางจูกี๋ว่า ท่านทั้งสองจะได้เป็นที่พึ่งของเราไปภายหน้า เจ้าจงคำนับแล้วรินสุราให้อิหยินแลกองซุนเขียน นางจูกี๋ก็คำนับจับปั้นสุรารินรายถ้วยไว้ริมโต๊ะ กองซุนเขียนแลอิหยินกินสุราพลางพิศดูรูปจริตแลกิริยานางจูกี๋งามพร้อมด้วยสรรพลักษณะ จะหาหญิงมาเปรียบนางจูกี๋นี้หายากนัก ไม่สมควรเลยที่จะมาเป็นเมียพ่อค้า
ฝ่ายนางจูกี๋เห็นอิหยินรูปงามสมเป็นเชื้อกษัตริย์ ถ้อยทีทำกิริยาแลมีน้ำใจปฏิพัทธ์ ด้วยวาสนาทั้งสองเคยเป็นคู่กัน ครั้นเวลาคํ่าลิปุดอุยก็จุดโคมแสงเพลิงสว่างกองซุนเขียนกินสุราเมาเหลือกำลัง จึงบอกว่าเราจะขอไประงับกายสักครู่หนึ่งก่อน ลิปุดอุยกับคนใช้ก็พยุงกองซุนเขียนเข้าไปนอนในตึก ลิปุดอุยจึงคิดว่านางจูกี๋กับอิหยินนั่งอยู่ด้วยกันแต่สองคนจำจะลอบดูกิริยานางจูกี๋กับอิหยิน คิดแล้วก็แอบดูตามช่องตึก นางจูกี๋รินสุราส่งให้อิหยิน ทำกิริยาให้เห็นว่ารัก อิหยินรับจอกสุราจากมือนางแล้วชวนพูดสัพยอกเป็นทีเกี้ยวเอี้ยวตัวไปจับมือ ลิปุดอุยครั้นเห็นอิหยินหยอกนางจูกี๋ ก็ออกมาว่าท่านนี้ดูหมิ่นหยอกภรรยาเรา ไม่คิดถึงตัวที่เราทำคุณไว้ แม้นกองซุนเขียนตื่นขึ้นเราจะบอกให้ทำโทษถึงสาหัส อันนางจูกี๋ภรรยาเราจะหาสตรีมาเปรียบนั้นยาก ถ้าจะหาทองคำแลหยกที่มีราคาก็จะได้โดยง่าย ไม่ควรที่ท่านจะมาทำกับเรา นางจูกี๋เห็นสามีทำโกรธ คำนับแล้ววอนขอโทษ ว่าท่านอุตส่าห์สู้เสียเงินทองคิดการทำนุบำรุงอิหยิน หมายจะหาความสุขไปภายหน้า บัดนี้ท่านมาโกรธอิหยินการที่คิดไว้จะมิเสียไปหรือ ทั้งนี้ก็เพราะข้าพเจ้าผู้เดียวจะ อยู่ไปไยให้อายคน ว่าแล้วก็ไปหยิบกระบี่ทำทีจะเชือดคอ ลิปุดอุยก็ยุดข้อมือไว้จึงว่าเจ้าอย่าเพ่อฆ่าตัวเสียก่อน ซึ่งรักใคร่กับอิหยินเราจะยกให้อยู่ด้วยกันนานไปเมื่อหน้าได้ดีแล้วอย่าลืมเรา อิหยินครั้นได้ฟังลิปุดอุยว่ามีความยินดีนัก จึงว่าข้าพเจ้าทำผิดท่านมิได้ถือ กลับยกภรรยาให้พึ่งเห็นใจท่านครั้งนี้ ถ้าชีวิตข้าพเจ้าอยู่ตราบใด คงจะฉลองคุณท่านให้ลือชื่อถึงพันปึ
ฝ่ายกองซุนเขียนสร่างเมาสุราแล้ว ก็ออกมานั่งสนทนาพร้อมกัน ลิปุดอุยจึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าวิตกด้วยท่านเป็นผู้รักษาตัวอิหยินอยู่แต่ผู้เดียวมิรู้ที่จะวางใจ บัดนี้มาพอใจนางจูกี๋ ข้าพเจ้าจะยกให้อยู่ด้วยกันท่านจะเห็นเป็นประการใด กองซุนเขียนได้ฟังดังนั้นจึงสรรเสริญลิปุดอุยว่า มิเสียทีที่ท่านเป็นชายมีสติปัญญาซื่อตรงต่อมิตร อันน้ำใจของท่านหาผู้เสมอมิได้ ซึ่งท่านจะอุปถัมภ์อิหยินครั้งนี้เรายินดีนัก ว่าแล้วกองซุนเขียนจึงแก้เอารัดประคตเหลืองของอิหยินตำแหน่งหลานหลวงคาด ส่งให้ลิปุดอุยไว้เป็นสำคัญ
ฝ่ายลิปุดอุยก็รับรัดประคตไว้ แล้วจึงว่าถึงวันดีเมื่อใดข้าพเจ้าจะพาตัวนางจูกี๋ไปส่ง ณ ตึกท่าน ครั้นเวลาสองยามเศษกองซุนเขียนอิหยินก็ลาลิปุดอุยไปถึงบ้าน อยู่สามวันกองซุนเขียนจึงคิดว่าอิหยินจากเมืองมาอยู่แต่ผู้เดียว ถ้าหนีไปที่ไหนเราจะพ้นโทษ ซึ่งคำลิปุดอุยว่าจะให้ภรรยามาอยู่ด้วยอิหยินก็เห็นผูกพันพอจะวางใจได้ หลายวันแล้วลิปุดอุยยังไม่พานางจูกี๋มาจะคงคำอยู่หรือประการใด จำจะหาตัวลิปุดอุยมาถามดู แล้วเรียกคนใช้มากระซิบสั่งให้ไปหาลิปุดอุย
ฝ่ายคนใช้ไปถึงบ้านจึงบอกลิปุดอุยว่า กองซุนเขียนให้ท่านเชิญไปตึกจะปรึกษาด้วยฮ่องซุนอิหยิน ลิปุดอุยได้ฟังคนใช้ว่าดังนั้น พอถึงเดือนสิบเอ็ดแรมสิบค่ำเป็นวันดีจึงบอกแก่คนใช้ว่า เวลาเย็นเราจะพานางจูกี๋ไปส่ง คนใช้ก็กลับไปบอกกองซุนเขียน ลิปุดอุยครั้นเวลาบ่ายก็จัดแจงให้นางจูกี๋แต่งตัวขี่เกวียน แล้วพาไปส่งบ้านกองซุนเขียนๆ กับลิปุดอุยก็พากันไปที่ตึกฮ่องซุนอิหยินอาศัย แล้วมอบตัวนางจูกี๋ให้อิหยิน อิหยินก็อยู่กินกับนางจูกี๋ได้สิบเดือน คิดบรรจบทั้งมีครรภ์ติดไปสองเดือนเป็นสิบสองเดือน ครั้นถึงเดือนแปดข้างขึ้นเป็นวันฤกษ์ดี นางจูกี๋คลอดบุตรเป็นชายมีลักษณะหน้าผากใหญ่ ดวงตาใหญ่คิ้วยาวสุดหางตา เส้นขึ้นตามแนวสันหลังวงเวียนเหมือนลายราชสีห์ มีฟันเบื้องบนสองเบื้องต่ำสอง สีสันผิดลักษณะเด็กทั้งปวง อิหยินสำคัญว่าบุตรรักใคร่ยิ่งนัก แล้วให้คนใช้ไปบอกลิปุดอุยว่า นางจูกี๋คลอดบุตรเป็นชายขอเชิญท่านไปตึก ลิปุดอุยได้ฟังคิดจะไปเยี่ยม จึงจัดสิ่งของจะให้แก่บุตรไป ณ บ้านกองซุนเขียน ครั้นถึงจึงเดินตรงไป ณ ตึกที่อิหยิน อาศัย กองซุนเขียนก็มาพร้อมกัน
ฝ่ายอิหยินเรียกนางจูกี๋ให้พาบุตรออกมาคำนับ ลิปุดอุยเห็นลักษณะบุตรเป็นชายสมที่คิดไว้จึงทำขวัญ ทั้งสามคนก็ขนานนามบุตรนางจูกี๋ให้ชื่อเจ๋ง แต่นั้นมาลิปุดอุยก็ไปมามิได้ขาด