๓๘

ฝ่ายฮั่นอ๋องครั้นรู้ว่าพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเลิกทัพกลับไปแล้ว จึงปรึกษากับเตียวเหลียงว่า ซึ่งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องถอยทัพไปนี้ เพราะสำคัญว่าฮั่นสินจะยกไปตีเอาเมืองแพเสีย เหมือนถ้อยคำซกซุนถองบอกไว้นั้น ครั้งนี้เห็นพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจะรีบไปโดยเร็วเดินหาเป็นกระบวนไม่ เราคิดว่าจะยกทหารติดตามตีท้ายทัพฌ้อปาอ๋อง ท่านจะเห็นเป็นประการใดเล่า เตียวเหลียงจึงตอบแก่ฮั่นอ๋องว่า พระเจ้าฌ้อปาอ๋องถอยทัพไปครั้งนี้เห็นจะจัดทหารที่มีฝีมือให้คอยป้องกันไป ซึ่งท่านจะยกทหารออกไปไล่ตามตีหมายจะเอาชัยชนะนั้นยังไม่ได้ ขอให้ใช้แต่ผู้ใดผู้หนึ่งลอบตามไปดูพ้นเมืองทางห้าสิบเส้น ถ้าเห็นไม่ได้ทีก็ให้กลับมารักษาเมืองไว้ดีกว่า ฮั่นอ๋องได้ฟังเตียวเหลียงว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้จิวพุนกับจิวเชียงคุมทหารเดินสะกดตามทัพพระเจ้าฌ้อปาอ๋องไปตามคำเตียวเหลียงว่า

ฝ่ายพระเจ้าฌ้อปาอ๋องครั้นกลับมาถึงเมืองแพเสีย ฟัมแจ้งแลขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่รักษาเมืองนั้นก็ชวนกันออกมารับเสด็จ พระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงเล่าเนื้อความที่รบพุ่งกัน แลออกไปพูดจาจนฮั่นอ๋องให้ฆ่าซกซุนถองกับอ๋องหลินเสีย เล่าให้ฟัมแจ้งฟังทุกประการ ฟัมแจ้งได้ฟังดังนั้นก็รู้กลอุบายซกซุนถองออกมาพูด จะจริงดังพูดนั้นหามิได้เพราะเห็นว่าฮั่นสินยังไม่ยกไป ถึงกลัวว่าท่านจะหักเอาเมืองเอ๊กเอี๋ยง จึงแกล้งพูดจาล่อลวงจะให้ท่านถอยทัพมาเสีย ซึ่งว่าฮั่นอ๋องฆ่าซกซุนถองอ๋องหลินเสียนั้นจะมิใช่ตัวซกซุนถองอ๋องหลิน เป็นกลอุบายฮั่นอ๋อง พระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ได้คิด ให้มีความโกรธแค้นซกซุนถองนัก จึงถามฟัมแจ้งว่าเราจะกลับยกไปอีก เข้าหักเอาเมืองเอ๊กเอี๋ยงให้จงได้ ท่านจะเห็นประการใด ฟัมแจ้งจึงว่าครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าฮั่นสินจวนจะกลับไปอยู่แล้ว ถ้าท่านจะยกกลับไปตีเมืองเอ๊กเอี๋ยง แม้นกระทำการยังไม่สำเร็จ ฮั่นสินไปถึงเข้าเราก็จะเป็นศึกกระหนาบแก้ตัวยาก ขอให้งดไว้ก่อน คอยสืบข่าวว่าฮั่นสินไม่อยู่จึงยกไป พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งให้คนไปสืบข่าวราชการในเมืองเอ๊กเอี๋ยงอยู่มิได้ขาด

ฝ่ายฮั่นสินครั้นได้เมืองเปงเอี๋ยงแล้ว จึงจัดขุนนางที่มีสติปัญญาให้รักษาเมืองไว้ แล้วก็ยกกลับมาเมืองเอ๊กเอี๋ยงจึงเข้าไปคำนับฮั่นอ๋อง แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงที่ไปกระทำศึกมีชัยชนะให้แก่ฮั่นอ๋องฟังทุกประการ ฮั่นอ๋องได้ฟังก็สรรเสริญฮั่นสิน แล้วฮั่นอ๋องจึงถามฮั่นสินว่า บัดนี้ท่านก็ปราบปรามงุยป่าได้สำเร็จแล้ว ท่านจะยกไปตีเมืองใดสืบไปเล่า ฮั่นสินจึงว่าข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองไตจี๋ว เมืองเอี๋ยน เมืองเจ๋ เมืองเตียวเสียก่อน ถ้าได้สี่หัวเมืองนี้แล้วก็จะยกเข้าทำแก่เมืองแพเสียทีเดียว ฮั่นอ๋องมีความยินดีนัก ฮั่นสินจึงสั่งให้เอาตัวงุยป่าแลครอบครัวมาให้ฮั่นอ๋อง ๆ เห็นภรรยางุยป่าสองคนรูปร่างงาม ก็สั่งให้เอาตัวส่งเข้าไปข้างใน แล้วฮั่นอ๋องจึงว่าแก่งุยป่าว่า ครั้งยกไปตีเมืองแพเสียเราตั้งตัวเป็นแม่ทัพคุมคนถึงสี่สิบห้าหมื่น ตัวก็มิได้ตรึกตรองการให้รอบคอบทำให้เสียทีแก่ข้าศึกจนเสียทหารถึงสามสิบหมื่นเศษ ตัวเราก็เจียนจะตายอยู่ในกลางศึก นี่หากว่าบุญเรามีมากอยู่จึงเอาตัวรอดไปได้ ครั้งนั้นโทษตัวก็ผิดถึงสิ้นชีวิตอยู่แล้ว เราก็มีความกรุณายกโทษเสีย กลับตั้งตัวให้เป็นเจ้าเมืองเปงเกี๋ยง เรารักใคร่มีคุณแก่ตัวถึงเพียงนี้ ตัวก็มิได้มีความกตัญญูคิดถึงคุณ กลับคิดขบถแก่เรา บัดนี้เราจับมาได้ตัวจะว่าประการใดเล่า

งุยป่าได้ฟังฮั่นอ๋องว่าดังนั้น ก็มิรู้ที่จะว่ากล่าวขอโทษประการใดก้มหน้านิ่งอยู่ ฮั่นอ๋องจึงสั่งให้ทหารเอาตัวงุยป่าไปฆ่าเสีย มารดางุยป่าเป็นคนสูงอายุประมาณแปดสิบเศษ จึงเข้าไปว่าแก่ฮั่นอ๋องว่า ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าคนชรานี้เถิด ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีบุตรแต่งุยป่าผู้เดียว หมายว่าจะฝากผีแก่มัน แลมันเป็นคนโฉดไปเชื่อถือถ้อยคำคนชั่วคิดกระทำอันตรายแก่ท่านผู้มีพระคุณเป็นอันมากนี้โทษมันก็ถึงตายอยู่แล้ว ข้าพเจ้าขอทานชีวิตงุยป่าไว้สักครั้งหนึ่งเถิด แต่พอให้มันปฏิบัติรักษาข้าพเจ้าไปกว่าจะตาย ถ้าสืบไปเมื่อหน้ามันมิรู้จักคุณท่านกลับกระทำแก่ท่านให้ขัดเคืองอีก ท่านจงประหารชีวิตข้าพเจ้าแลตัวงุยป่านั้นให้สิ้นแซ่ทีเดียว ฮั่นอ๋องได้ฟังมารดางุยป่าว่าดังนั้น เห็นว่ามารดางุยป่าเป็นคนสูงอายุชราอยู่แล้ว ก็มีความกรุณาจึงยกโทษให้งุยป่าเสีย แลถอดงุยป่าออกเป็นไพร่ให้ไปอยู่ปฏิบัติมารดา แล้วฮั่นอ๋องจึงตั้งจิวซกเป็นเจ้าเมืองเปงเอี๋ยง

ฝ่ายฮั่นสินครั้นถึงวันฤกษ์ดี ก็ยกทัพออกจากเมืองเอ๊กเอี๋ยงจะไปตีเมืองไตจี๋ว ฮั่นอ๋องจึงสั่งอ๋องหลินให้เป็นแม่ทัพรักษาเมืองเอ๊กเอี๋ยงคอยป้องกันพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง แล้วให้หนังสือไปถึงเสียวโห ให้เสียวโหบำรุงไทจูผู้บุตรฮั่นอ๋องให้อยู่เย็นเป็นสุข จะได้เป็นกำลังราชการ แล้วให้เสียวโหจัดแจงเสบียงอาหารให้บริบูรณ์

ฝ่ายฮั่นสินยกกองทัพไปถึงเมืองไตจี๋วพอเวลาบ่าย จึงให้ตั้งค่ายลงใกล้เมืองประมาณห้าสิบเส้น

ฝ่ายแห้อวดซึ่งเป็นเจ้าเมืองไตจี๋ว รู้ว่าฮั่นสินยกกองทัพมาตั้งค่ายอยู่ดังนั้น จึงปรึกษาแก่เตียวจ๋วนว่าฮั่นสินยกกองทัพมาตีเมืองงุย พึ่งสำเร็จราชการลงยังมิทันที่จะพักทหาร ฮั่นสินยกมาตีเมืองเราอีก ครั้งนี้เราเห็นว่าคนในกองทัพฮั่นสินยังอิดโรยอยู่ เวลาค่ำวันนี้เราจะยกออกตีตัดกำลังศึกเสียก่อน ท่านจะเห็นประการใด เตียวจ๋วนก็เห็นชอบด้วย แห้อวดจึงชวนเตียวจ๋วนออกมาจัดทหารให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ทุกด้าน แล้วจัดทหารเป็นกระบวนทัพสำหรับที่จะออกปล้นค่ายฮั่นสินเสร็จแล้ว แห้อวดกับเตียวจ๋วนก็คอยเวลาอยู่

ฝ่ายฮั่นสินครั้นแต่งค่ายแล้ว จึงขึ้นม้าพาคนสนิทประมาณยี่สิบคนลอบไปดูที่ทางตามชานเมืองไตจี๋ว จึงเห็นทางใหญ่ออกจากประตูเมืองตรงมาค่ายทางหนึ่ง มีทางแยกอ้อมขึ้นไปข้างเหนือเมือง มีภูเขาอยู่ทางซ้ายทางแยกนั้นสองข้างเขา ในระหว่างเขานั้นเป็นช่องแคบควรจะซุ่มกองทัพไว้ได้ ฮั่นสินเห็นดังนั้นก็กลับมา ณ ค่าย จึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า แห้อวดจะหมายว่าเรายกมาพึ่งถึงเข้า ทหารทั้งปวงนั้นก็เหน็ดเหนื่อย เวลาค่ำวันนี้เห็นแห้อวดจะยกมาตีเราเป็นมั่นคง เราคิดว่าจะยกไปคอยตีสกัดกองทัพเสียก่อน ท่านจะเห็นประการใด นายทัพนายกองทั้งปวงจึงว่าการทั้งนี้ก็สุดแต่ท่านจะจัดแจงเถิด ฮั่นสินจึงสั่งโจฉำให้คุมทหารเข้าไปล่อแห้อวดที่ทางใหญ่จะออกจากเมือง ให้กวนหยินกับลีก้วนคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่สองข้างทางใหญ่ ถ้าเห็นทัพแห้อวดไล่โจฉำล่วงเกินเข้ามาให้กวนหยินกับลีก้วนตีตัดทางเข้าไป ให้ทัพแห้อวดนั้นขาดออกจงได้ ให้โจฉำตีต้านหน้าไว้ ถ้าแห้อวดแตกไปทางแยกเหนือเมืองนั้น ให้ห้วนโก้ยคุมทหารหมื่นหนึ่งไปซุ่มอยู่ตามทางแยก ถ้าเห็นแห้อวดแตกขึ้นไปให้ห้วนโก้ยตีสกัดไว้ จำเพาะให้แห้อวดเลี้ยวหนีเข้าทางซ้ายมือที่หว่างภูเขาช่องแคบนั้น นายทหารทั้งปวงก็ยกไปซุ่มอยู่ตามฮั่นสินสั่ง ฮั่นสินจึงจัดทหารให้อยู่รักษาค่าย ตัวฮั่นสินก็คุมทหารไปซุ่มอยู่ริมเชิงเขาช่องแคบ

ฝ่ายโจฉำจึงยกทหารเข้ามาตามทางใหญ่ ใกล้ถึงเชิงกำแพงเห็นประตูเมืองปิดมั่นคงอยู่ โจฉำจึงให้ทหารร้องว่ากล่าวแห้อวดเป็นข้อหยาบช้าต่างๆ หมายจะให้แห้อวดออกไปรบ ทหารที่อยู่บนเชิงเทินได้ยินดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่แห้อวดทุกประการ แห้อวดได้แจ้งก็โกรธ จึงแต่งตัวขึ้นม้าถือทวนคุมทหารเปิดประตูเมืองออกไปรบกับโจฉำ เตียวจ๋วนก็ยกทหารเป็นกองหนุนแห้อวดออกไป ขณะนั้นโจฉำเข้ารบกับแห้อวดแล้วทำเป็นเสียที พาทหารถอยหนีออกไปจนถึงทางแยกที่ซุ่มกองทัพไว้นั้น แห้อวดเห็นได้ทีก็ขับม้าพาทหารไล่ติดตามออกไป โจฉำก็กลับตีประจันหน้าอยู่

ฝ่ายกวนหยินลีก้วนก็ขับทหารโห่ร้องระดมตีตัดกลางกองทัพแห้อวดเข้าไปทั้งสองข้าง เตียวจ๋วนซึ่งเป็นกองหนุนแห้อวดก็ขาดออกไป ทหารกวนหยินลีก้วนไล่ฆ่าฟันทหารแห้อวดเตียวจ๋วนแตกกระจัดกระจายเป็นอันมาก พอเวลาพลบค่ำลงเตียวจ๋วนเห็นเหลือกำลังที่จะตามแก้ไขแห้อวด เตียวจ๋วนก็ขับม้าหนีกลับเข้าเมืองสั่งให้ปิดประตูเมืองเสีย แห้อวดตกอยู่ในระหว่างศึกกระหนาบทั้งสามด้าน กวนหยินลีก้วนก็ตีกระหนาบหลังเข้าไปโจฉำก็ตีต้านหน้าไว้ ทหารแห้อวดต้องอาวุธเจ็บล้มตายเป็นอันมาก แห้อวดรบพุ่งป้องกันอยู่กลาง จะถอยหลังเข้ามาจะรุกออกไปก็มิได้ ทหารทั้งสามกองล้อมหนุนแน่นอยู่ แกล้งเปิดช่องไว้แต่ทางแยกนั้น แห้อวดเห็นเหลือกำลังก็ขับม้าพาทหารบรรดาที่เหลือตายหนีไปตามทางแยกข้างเฉียงเหนือ โจฉำกวนหยินลีก้วนก็ไล่ติดตามตีกระชั้นไปข้างหลัง แห้อวดก็รีบขับม้าพาทหารหนีไปทางทิศเหนือ ถึงเขาช่องแคบซึ่งฮั่นสินซุ่มอยู่นั้น ห้วนโก้ยก็ขับทหารโห่ร้องเข้ากั้นหน้าแห้อวดไว้ แล้วไล่ฆ่าฟันทหารแห้อวดตายลงอีก บ้างจับเป็นได้เป็นอันมาก แห้อวดเหลือทหารอยู่ประมาณยี่สิบสามสิบคน ห้วนโก้ยก็ไล่บุกบั่นกั้นให้แห้อวดเข้าไปในช่องเขานั้น ทหารฮั่นสินก็กลุ้มรุมจับเอาตัวแห้อวดได้มัดเข้าไปให้ฮั่นสิน ๆ ก็มีความยินดี จึงถามแห้อวดว่า ตัวท่านหารู้ไม่หรือว่าฮั่นอ๋องเป็นผู้มีบุญ แต่บรรดาคนทั้งแผ่นดินก็กลัวฮั่นอ๋องสิ้น แลตัวมาแข็งเมืองอยู่ให้เราต้องลำบากยกพลมาจับตัวได้แล้ว แลตัวจะยอมสวามิภักดิ์ต่อฮั่นอ๋องเราจึงจะไว้ชีวิต แต่สืบไปเมื่อหน้าตัวอย่าได้คิดกระทำการอย่างนี้ต่อไปอีก แห้อวดจึงว่าแก่ฮั่นสินว่า เดิมเราคิดว่าตัวเราก็เป็นชายเหมือนกันกับฮั่นอ๋อง เราจะใคร่ตั้งตัวเป็นใหญ่บ้าง บัดนี้เราคิดการไม่สำเร็จก็เหมือนหนึ่งเราตายเสียแล้ว ที่เราจะแบกหน้าไปสวามิภักดิ์กับด้วยฮั่นอ๋องอันเป็นข้าราชการเหมือนกันกับเรานั้นเราหายอมไม่ เมื่อเราเสียทีไปแล้วก็ตามแต่จะทำโทษแก่เราเถิด ฮั่นสินได้ฟังแห้อวดว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราจะฆ่าท่านเสียบัดนี้ก็เป็นเวลากลางคืน หามีผู้ใดเห็นไม่ จึงสั่งทหารให้เอาตัวแห้อวดไปคุมไว้ให้มั่นคง ต่อได้ตัวเตียวจ๋วนมาจึงจะฆ่าเสียให้พร้อมกัน ฮั่นสินสั่งแล้วก็พาทหารกลับเข้าค่าย ครั้นเวลารุ่งขึ้น ฮั่นสินจึงยกเขาไปตั้งประชิดถึงกำแพงแล้วสั่งให้ตีเอาเมืองให้จงได้

ฝ่ายเตียวจ๋วนก็กะเกณฑ์คนเพิ่มเติมขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นสามารถ ทหารฮั่นสินก็หักเข้าไปมิได้ ฮั่นสินจึงสั่งให้เอาตัวแห้อวดมัดไพล่หลังไล่เกวียนลากเข้าไปริมเชิงกำแพงเมือง แล้วให้ทหารร้องประกาศว่าเราจับตัวแห้อวดได้แล้ว เหตุใดคนในเมืองจึงขืนแข็งอยู่ หมายจะสู้กับเราได้แล้วหรือ ถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมต่อเรา ๆ จะฆ่าแห้อวดเสีย แล้วเราจะยกเข้าหักเอาเมืองให้จงได้ ถ้าได้เมืองแล้วจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมือง เตียวจ๋วนยืนอยู่บนกำแพงได้ยินดังนั้นก็แลออกไป เห็นแห้อวดต้องมัดก็มีความสงสารกลั้นน้ำตามิได้ จึงร้องว่าแก่แห้อวดว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านได้ความเวทนาอยู่ฉะนี้ อกใจข้าพเจ้าจะแตกครากออกไปแล้ว แห้อวดได้ฟังเตียวจ๋วนว่าดังนั้น กลัวว่าเตียวจ๋วนจะออกมายอมเข้ากับฮั่นสิน แห้อวดจึงร้องว่า ท่านอย่าคิดวิตกถึงเราเลยตามบุญเราเถิด แต่ท่านอุตส่าห์รักษาเมืองไว้ให้ได้ อย่าออกมาอ่อนน้อมต่อข้าศึกเป็นอันขาดทีเดียว ฮั่นสินได้ฟังแห้อวดว่าดังนั้นก็โกรธ จึงให้ฆ่าแห้อวดตัดเอาศีรษะไปเสียบประจานไว้ตรงประตูเมือง แลเมื่อทหารลงดาบฟันแห้อวดศีรษะขาดกระเด็นออกไปนั้น เตียวจ๋วนแลไปเห็นดังนั้นก็ตกใจตะลึงสิ้นสติสมประดี พลัดตกเชิงเทินลงไปตายอยู่กับเชิงกำแพงเมืองนั้น

ฝ่ายอ๋องจุ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองไตจี๋วกับตัวต๋ง ครั้นเห็นแห้อวดเตียวจ๋วนตายแล้ว อ๋องจุ้นกับตัวต๋งจึงปรึกษาแก่กันว่า บัดนี้ทหารในเมืองเราที่เข้มแข็งก็ไม่มีแล้ว ทางนอกเมืองก็หามีผู้ใดจะยกมาช่วยเราไม่ ซึ่งเราจะขืนแข็งรักษาเมืองอยู่ฉะนี้ก็เห็นไม่พ้นมือฮั่นสิน จำเราจะเปิดประตูเมืองออกไปยอมเข้าด้วยฮั่นสินเสียโดยดี คนทั้งปวงจะไม่พลอยเดือดร้อนด้วย อ๋องจุ้นกับตัวต๋งปรึกษากันเห็นชอบแล้วก็ชวนกันเปิดประตูเมืองออกมาคำนับรับฮั่นสินเข้าไปในเมือง ฮั่นสินก็ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในเมืองไตจี๋วจึงเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎร์ให้ทำมาหากินเป็นปกติอยู่ตามภูมิลำเนา ฮั่นสินจึงแต่งหนังสือบอกไปถึงฮั่นอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปตีเมืองไตจี๋วได้สำเร็จราชการแล้ว บัดนี้ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองแลเกลี้ยกล่อมคนได้อีกประมาณสามสิบหมื่น จะขอยกไปตีเมืองเตียวทีเดียว ครั้นแต่งหนังสือแล้วฮั่นสินจึงให้คนเอาหนังสือไปแจ้งแก่ฮั่นอ๋อง ณ เมืองเอ๊กเอี๋ยง ฮั่นสินก็พักทแกล้วทหารประมาณหกเจ็ดวัน จึงให้อ๋องจุ้นกับตัวต๋งอยู่รักษาเมืองไตจี๋ว ฮั่นสินจัดทหารประมาณสิบหมื่นยกไปถึงแดนเมืองเตียว ทางไกลเมืองประมาณพันเส้นจึงหยุดพักทัพตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ ป่าเจ๋เก๋งเค้า แล้วฮั่นสินจึงปรึกษาแกเตียวยี่ว่า ในเมืองเตียวนี้มีคนดีอยู่คนหนึ่งชื่อหลีโจเฉีย เป็นขุนนางอยู่ในเตียวอ๋องชื่อก๋องปู๋กุ๋น หลีโจเฉียคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมอยู่ ครั้นเราจะยกล่วงเข้าไปก็ยังมิได้เแยบคายประการใด เกลือกหลีโจเฉียจะทำกลอุบายไว้เราจะเสียที จำจะแต่งคนให้ลอบเข้าไปสืบเอาข่าวราชการดูก่อน ถ้าได้ความแล้วเราจึงจะคิดทำการได้ เตียวยี่จึงว่า หลีโจเฉียเป็นคนมีสติปัญญาอยู่ในเมืองเตียวอ๋องก็จริง แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าเตียวอ๋องหาสู้นับถือหลีโจเฉียเหมือนตินอี๋ซึ่งเป็นแม่ทัพอยู่ในเมืองเตียวอ๋องนั้นไม่ ครั้งนี้หลีโจเฉียจะคิดทำกลอุบายประการใด ตินอี๋ก็ไม่เอาถ้อยคำด้วยตินอี๋ถือตัวว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าหลีโจเฉีย ข้าพเจ้าเห็นการทั้งปวงก็จะสิทธิ์ขาดอยู่กับตินอี๋สิ้น ฮั่นสินจึงจัดคนสนิทที่มีสติปัญญาเคยไว้ใจประมาณสี่ห้าคนให้ทำเป็นพ่อค้าเข้าไปค้าขายในเมืองเตียว

ฝ่ายคนสนิทฮั่นสินก็เข้าไปอาศัยชาวร้านอยู่ริมบ้านหลีโจเฉีย อุตส่าห์ทอดสนิทเข้าไปเป็นเพื่อนฝูงกับบ่าวหลีโจเฉียได้คนหนึ่ง

ฝ่ายม้าใช้ซึ่งเตียวอ๋องเกณฑ์ให้ไปสอดแนมข้อราชการอยู่ปลายแดนนั้น ก็รีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เตียวอ๋องว่า บัดนี้ฮั่นสินยกทัพมาตั้งอยู่ ณ ป่าเจ๋เก๋งเค้า คนมาประมาณสิบหมื่นเศษ ข้าพเจ้าเห็นจัดแจงกันทีประหนึ่งจะยกล่วงเข้ามาอยู่แล้ว เตียวอ๋องได้แจ้งดังนั้นจึงให้หาตินอี๋กับหลีโจเฉียเข้าไปปรึกษาราชการว่า ฮั่นสินจะยกมาตีเอาเมืองเราแลบัดนี้ยังตั้งรออยู่ ณ ป่าเจ๋เก๋งเค้านั้นมีทหารประมาณสิบหมื่น แลทหารในเมืองเรามีอยู่ยี่สิบหมื่น เราจะคิดอ่านป้องกันเมืองเราได้ประการใด หลีโจเฉียจึงว่า ฮั่นสินยกมาตั้งอยู่ป่าเจ๋เก๋งเค้าก็สมความคิดแล้ว ด้วยที่นั้นเป็นช่องแคบทางกันดารนัก แต่ม้าจะเดินเคียงกันทีละสองม้าก็มิได้ จะเป็นล้อแลเกวียนมาส่งลำเลียงกันก็ยาก ครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเกวียนเสบียงฮั่นสินจะตกอยู่ข้างหลัง จะหามาถึงพร้อมกันไม่ ข้าพเจ้าจะขอทหารสามหมื่นไปซุ่มสกัดตัดกองลำเลียงฮั่นสินเสียก่อน ถึงมาตรว่าฮั่นสินจะยกเข้ามาตีเมืองเรา ท่านก็อย่าออกรบพุ่ง รักษาแต่เมืองให้มั่นไว้ แม้นเต็มช้าก็ประมาณสักเก้าวันสิบวัน ข้าพเจ้าจะจับตัวฮั่นสินมาให้จงได้ ซึ่งท่านจะคิดอ่านรบพุ่งนั้นเห็นจะเอาชัยชนะฮั่นสินได้โดยยาก ด้วยฮั่นสินเคยเป็นแม่ทัพชำนิชำนาญในการศึกนัก แล้วก็ให้เตียวยี่คนมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษาด้วย อนึ่งทหารในกองทัพฮั่นสินก็มีฝีมือเคยกระทำสงครามมามากแล้ว ที่ท่านจะหมายออกสู้รบด้วยฮั่นสินซึ่งๆ หน้าเห็นจะไม่ได้ เตียวอ๋องได้ฟังหลีโจเฉียว่าดังนั้น จึงว่าซึ่งท่านคิดดังนี้เราไม่เห็นด้วย ตัวเราก็จะเป็นเจ้าเมืองใหญ่ จะทำตามความคิดท่านนั้นเหมือนศึกโจรลักลอบตีทำข้างเดียว ถึงชนะก็หามีเกียรติยศไม่ บัดนี้ฮั่นสินมีทหารสิบหมื่นเท่านั้น ก็จะเกณฑ์ให้รักษาค่ายแลกองลำเลียงบ้าง คงจะได้รบพุ่งกับเราแต่เพียงหกเจ็ดหมื่น ทหารรบในเมืองเรามีอยู่ถึงยี่สิบหมื่น แล้วเราก็ได้ฝึกหัดในการสงครามชำนาญแล้วท่านเห็นจะไปรบฮั่นสินไม่ได้เจียวหรือ หลีโจเฉียก้มหน้านิ่งอยู่ ตินอี๋จึงว่า ซึ่งฮั่นสินเคยกระทำศึกมีชัยมามากก็จริง ได้แต่คนที่หาสติปัญญามิได้จึงทำกลอุบายได้ต่างๆ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกออกไปตั้งรบกับฮั่นสินโดยซึ่งหน้า ถึงมาตรว่าฮั่นสินจะทำกลอุบายประการใดข้าพเจ้าจะคิดแก้กลศึกฮั่นสินเสียให้จงได้ เตียวอ๋องได้ฟังตินอี๋ว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงยื่นตราสำหรับแม่ทัพมอบให้แก่ตินอี๋ ให้ตินอี๋จัดแจงทหารออกไปรบกับฮั่นสิน หลีโจเฉียก็ลาเตียวอ๋องกลับมา ณ บ้าน จึงพูดกับญาติพี่น้องว่า เราคิดกลอุบายให้เตียวอ๋อง ๆ มิได้ทำตามถ้อยคำเรา บัดนี้จะให้ตินอี๋เป็นแม่ทัพยกไปรบกับฮั่นสิน ที่ไหนตินอี๋จะสู้ฮั่นสินได้ เมืองเราเห็นจะเสียแก่ฮั่นอ๋องเป็นมั่นคง หลีโจเฉียว่าแล้วก็ถอนใจใหญ่

ฝ่ายบ่าวหลีโจเฉียได้ยินดังนั้น จึงเอาเนื้อความมาเล่ากับคนสนิทฮั่นสินซึ่งเป็นเพี่อนกันทุกประการ

ฝ่ายตินอี๋ก็ยกทหารออกมาตั้งค่ายคอยรบกับฮั่นสิน อยู่ใกล้แม่น้ำเมืองเตียวประมาณห้าสิบเส้น

ฝ่ายคนใช้ฮั่นสินที่ปลอมเป็นพ่อค้าเข้าไปสืบข่าวอยู่ในเมืองเตียว ครั้นรู้เนื้อความที่บ่าวหลีโจเฉียบอกแลเห็นตินอี๋ยกทหารออกมาตั้งอยู่ดังนั้น ก็รีบเอาเนื้อความทั้งปวงมาบอกฮั่นสิน ๆ มีความยินดี ให้รางวัลแก่คนสนิทตามสมควรแล้ว จึงเกณท์ทหารม้าสองพันให้ถือธงเขียวคนละคัน ข้ามแม่น้ำไปซุ่มอยู่ที่ภูเขาเฉาซัวใกล้ค่ายตินอี๋ แล้วสั่งว่าให้คอยดูท่วงที ถ้าเห็นตินอี๋ยกทหารออกจากค่ายแล้วให้รีบชิงเอาค่ายให้จงได้ แล้วเอาธงสำคัญของเราปักขึ้นไว้บนค่าย ทหารทั้งปวงก็ลาฮั่นสินข้ามไปซุ่มอยู่ตามสั่ง ฮั่นสินจึงพูดกับเตียวยี่ห้วนโก้ยโจฉำแลนายทหารทั้งปวงว่า เวลาค่ำวันนี้ เรากินอาหารแต่พอรองท้องเถิด รุ่งขึ้นจึงค่อยไปกินให้สบายในเมืองเตียว ทหารทั้งปวงได้ยินฮั่นสินว่าดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่แต่มิได้ว่าประการใด ครั้นเวลาใกล้รุ่งฮั่นสินจึงสั่งห้วนโก้ยโจฉำสองนายให้คุมทหารคนละพันข้ามฟากขึ้นไปอยู่ข้างเหนือน้ำ จิวพุนกับจำเอียงให้คุมทหารคนละพันข้ามฟากลงไปอยู่ข้างใต้น้ำ ถ้าเห็นตินอี๋ไล่ตามเราไป ห้วนโก้ยกับโจฉำรีบขับทหารเข้ารบรับตนอี๋ไว้ให้ได้ จิวพุนกับจำเอียงจงตามตีท้ายทัพตินอี๋เข้าไป ตัวเราจะคุมทหารเป็นกองล่อข้ามไปขึ้นตรงหน้าค่ายตินอี๋นั้น ห้วนโก้ยจึงถามฮั่นสินว่า ซึ่งท่านจะข้ามไปขึ้นตรงหน้าค่ายตินอี๋นั้นข้าพเจ้าคิดเกรงอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยเห็นว่าเมื่อขณะท่านจะยกทัพไปแม้นยังไม่ไปถึงพร้อมกัน ถ้าตินอี๋รู้ไปให้ทหารลงมาคอยรบอยู่ริมฝั่งน้ำ เราจะข้ามแม่น้ำไปช่วยกันทันทีหรือ ฮั่นสินจึงว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย เราคิดตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ด้วยเราเห็นว่าแม่น้ำนี้แคบ น้ำก็ไม่ไหลเชี่ยวนัก เราให้เอาพวนใหญ่ลอบไปผูกไว้ฟากข้างโน้นขึงข้ามมาฟากข้างนี้ แล้วจะจัดทหารที่มีฝีมือประมาณห้าสิบคนลงแพสาวพวน รีบขึ้นไปรักษาต้นเชือกไว้ให้ได้ก่อน ถึงมาตรว่าตินอี๋จะให้ทหารออกมาคอยทำประการใด ก็เห็นว่าทหารห้าสิบคนจะรบพุ่งป้องกันอยู่พลางกว่าทหารทั้งปวงจะข้ามไปช่วยกันได้ ห้วนโก้ยก็เห็นชอบ แล้วจึงชวนโจฉำจำเอียงจิวพุนคำนับลาฮั่นสินคุมทหารยกไปคอยตามสั่ง ครั้นเวลาใกล้สว่าง ฮั่นสินจึงคุมทหารหมื่นหนึ่งลงแพสาวพวนข้ามไปขึ้นตรงหน้าค่ายตินอี๋ ทหารตินอี๋เห็นจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่ตินอี๋ ๆ ก็หัวเราะแล้วว่าฮั่นสินจะเอาทหารมาจมนํ้าตายเสียครั้งนี้แล้ว ท่านอย่าวุ่นวายไปเลย นิ่งให้ข้ามเถิด เราจะไล่ให้ลงน้ำบัดเดี๋ยวนี๋ให้จงได้ ตินอี๋ก็ให้ตรวจเตรียมทหารไว้ให้พร้อม ฮั่นสินครั้นข้ามขึ้นฝั่งได้พร้อมกันก็ยกตรงเข้าไปหน้าค่ายตินอี๋ ตินอี๋ก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากค่ายเข้ารบกับฮั่นสินหมายจะเอาชัยชนะให้จงได้ ฮั่นสินทำเป็นเสียทีให้ทหารทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสียพากันวิ่งหนีลงไปริมแม่น้ำ ตินอี๋เห็นได้ทีก็ขับม้าพาทหารไล่ติดตามไป ฮั่นสินจึงถอยหนีไปริมตลิ่งเลี้ยวขึ้นไปข้างเหนือน้ำ พวกทหารตินอี๋เห็นม้าแลเครื่องศัสตราวุธเกลื่อนกลาดก็ชวนกันไล่จับม้าแลเก็บสิ่งของทั้งปวงวุ่นวายอยู่ ห้วนโก้ยโจฉำเห็นดังนั้นก็ขับทหารโห่ร้องไล่ฆ่าฟันทหารตินอี๋ลงมา จิวพุนจำเอียงก็ตีกระหนาบส่งขึ้นไป ทหารตินอี๋เห็นข้าศึกไล่ล้อมเข้ามาดังนั้นก็ตกใจไม่เป็นอันจะรบ พากันวิ่งหนีแตกกระจายไปเป็นอลหม่าน ตินอี๋จึงถอดกระบี่ขึ้นแกว่งห้ามทหารทั้งปวงก็ไม่ฟัง ตินอี๋ฟันเสียในขณะนั้นหลายคน ทหารตินอี๋ก็ยิ่งแตกตื่นจะถอยกลับมาค่ายเก่าให้จงได้ ตินอี๋เห็นเหลือกำลังก็ชักม้าจะกลับมาค่าย พอแลเห็นธงเขียวปักอยู่บนปลายค่าย เห็นทหารฮั่นสินเข้ารักษาค่ายไว้มั่นคง ทหารตินอี๋ก็ยิ่งเสียใจนัก ต่างคนต่างทิ้งตินอี๋เสียหนีเอาตัวรอด ทหารฮั่นสินล้อมตินอี๋เข้าไว้รอบ ตินอี๋ขับม้าไล่ฝ่าฟันอยู่ในท่ามกลางศึกเป็นสามารถมิได้คิดชีวิต กวนหยินจึงขับม้าตรงไปเอาทวนแทงถูกตินอี๋ตกม้าตาย

ฮั่นสินเห็นได้ทีก็ยกทหารไล่ติดตามเข้าไปจนประตูเมือง ชาวเมืองปิดประตูเมืองไม่ทัน ฮั่นสินกับทหารก็ยกทะลวงเข้าในเมืองจับตัวเตียวอ๋องได้ แล้วประกาศแก่ชาวเมืองว่าคนทั้งปวงอย่าได้มีความสะดุ้งตกใจเลย จงทำมาหากินเป็นปกติอยู่ตามภูมิลำเนาเถิด ฮั่นสินจึงสั่งให้เอาตัวเตียวอ๋องไปคุมไว้ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวง ในขณะเลี้ยงโต๊ะอยู่นั้นนายทัพนายกองจึงว่าแก่ฮั่นสินว่า ง่วนโซ่ยกระทำศึกครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยที่จะเอาชัยชนะได้ ด้วยว่าข้ามแม่น้ำมารบกันกับตินอี๋ก็เสียเปรียบตินอี๋อยู่หลายประการ เหตุใดท่านจึงชนะตินอี๋เล่า ฮั่นสินได้ฟังก็หัวเราะจึงว่า ท่านหารู้ไม่หรือ ในตำราพิชัยสงครามนั้นว่าให้เข้าที่ตายก่อนจึงออกที่เป็น เราทำถูกตำราจึงเอาชัยชนะแก่ข้าศึกนั้นได้ ขุนนางทั้งปวงได้ฟังสรรเสริญฮั่นสินว่าสติปัญญาหาผู้เสมอมิได้ ฮั่นสินจึงให้ประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเอาตัวหลีโจเฉียมาให้เราได้ เราจะปูนบำเหน็จเงินพันตำลึง ขณะนั้นมีทหารผู้หนึ่งจับตัวหลีโจเฉียมัดเข้ามาให้ฮั่นสิน ฮั่นสินแลเห็นก็ลุกจากเก้าอี้ให้แก้มัดหลีโจเฉีย แล้วเชิญให้นั่งบนที่ตามสมควร ฮั่นสินจึงว่าแก่หลีโจเฉียว่าเราให้หาตัวท่านขึ้นมาหวังจะขอสติปัญญาท่านให้ช่วยคิดอ่านราชการด้วย เราคิดว่าจะยกไปตีเมืองเอี๋ยงเมืองเจ๋ครั้งนี้จะทำประการใดจึงจะสำเร็จโดยง่าย หลีโจเฉียจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเสียบ้านเมืองแก่ท่าน จะให้ข้าพเจ้าคิดราชการแผ่นดินสืบไปด้วยท่านนั้น ข้าพเจ้ามีความละอายนัก ฮั่นสินจึงว่า ท่านไม่รู้หรือเมื่อครั้งแผ่นดินเลียดก๊กนั้น เปกลิเหคนหนึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมเป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมืองเต๊ก ครั้นข้าศึกมาติดเมืองเปกลิเหจึงคิดกลอุบายให้เจ้าเมืองเต๊กป้องกันเมือง เจ้าเมืองก็มิได้เชื่อถือถ้อยคำเปกลิเหจนเสียเมืองแก่ข้าศึก ครั้นจี๋นอ๋องได้เปกลิเหมาไว้ก็ชุบเลี้ยงนับถือกระทำตามถ้อยคำเปกลิเหมาจนเมืองจี๋นได้เป็นใหญ่ขึ้น อันเปกลิเหนั้นถึงเมื่ออยู่ในเมืองเต๊กก็มีสติปัญญานัก ใช่จะดีขึ้นเมื่อไปอยู่กับจี๋นอ๋องหามิได้ เหตุทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่จะนับถือมินับถือนั้น ตัวท่านเป็นที่ปรึกษาของเตียวอ๋อง ก็เพราะเตียวอ๋องมิได้เชื่อถ้อยคำท่าน เตียวอ๋องจึงเสียเมืองแก่เรา ซึ่งท่านมาคิดวิตกกลัวความตายดังนั้นหาสมควรไม่ ซึ่งเราถามทั้งนี้เป็นความดีโดยสุจริต ถ้าท่านเห็นชอบประการใดก็ว่าไปเถิด หลีโจเฉียจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินคำโบราณว่ามาอยู่ว่า ผู้ใดถึงมีสติปัญญาเป็นอันมากก็ย่อมจะเสียทีด้วยความประมาท ผู้ใดหาสติปัญญามิได้แต่ทว่าคิดทำการสิ่งใดอุตส่าห์หมั่นตรึกตรองพากเพียรไป ก็คงจะสำเร็จครั้งหนึ่งจงได้ บัดนี้ท่านมีความนับถือว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญา จะเอามาช่วยคิดอ่านราชการแผ่นดินด้วยนั้น ขอบคุณท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าก็จะว่าไปตามสติปัญญา ซึ่งท่านยกกองทัพมาครั้งนี้ ตีเมืองงุยเมืองไตจี๋วเมืองเตียวหัวเมืองใหญ่ได้โดยง่ายถึงสามเมืองนั้น คนมีสติปัญญาน้อยเห็นว่าท่านมีสติปัญญามาก เกียรติยศของท่านก็ปรากฏไปแก่หัวเมืองทั้งปวง บัดนี้ท่านจะยกไปตีเมืองเอี๋ยนข้าพเจ้าเห็นจะได้โดยยาก ด้วยเมืองเอี๋ยนผู้คนมั่งคั่ง ข้าวปลาอาหารก็ปริบูรณ์แล้วขึ้นไปทางกันดารนัก อนึ่งฌ้อปาอ๋องก็คอยทีอยู่ ถ้าเห็นว่าท่านไกลออกไปก็จะยกไปตีฮั่นอ๋อง ณ เมืองเอ๊กเอี๋ยง ซึ่งท่านจะคิดให้ยืดยาวนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าจะสั้นเสียอีก ฮั่นสินจึงว่าท่านเห็นประการใดเล่า หลีโจเฉียจึงว่าครั้งนี้ท่านอย่าเพิ่งยกไปให้ยากแก่ไพร่เลย ตั้งบำรุงทแกล้วทหารอยู่ในเมืองเตียวก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่ากิตติศัพท์ที่ท่านเที่ยวตีเมืองก็จะปรากฏไปถึงเมืองเอี๋ยน หัวเมืองเอี๋ยนก็จะไม่เป็นอันทำมาหากิน คิดสะดุ้งตกใจด้วยระวังกองทัพท่านอยู่ ถ้าเรารู้ว่าชาวเมืองเอี๋ยนได้ความเดือดร้อนระส่ำระสายอยู่แล้ว จึงแต่งคนไปเกลี้ยกล่อมเอาเมืองเอี๋ยนเมืองเจ๋ก็เห็นจะได้โดยง่าย ฮั่นสินเห็นชอบด้วยจึงแต่งหนังสือให้ซุยโหถือไปเมืองเอี๋ยน ฮั่นสินก็ตั้งอยู่ในเมืองเตียว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ