๔๕
จางหลินมองดูตาข้าพเจ้าอย่างใช้ความสังเกต เมื่อรู้สึกว่าความสนใจของข้าพเจ้ามิได้ลดน้อยลงเลย จึงกล่าวต่อไปอีก
“ฉันพูดถึงความเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ พูดถึงเสรีภาพที่ไม่มีขอบเขต ชอบติ ชอบวิพากษ์กันอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ เป็นการติเพื่อทำลาย ไม่ใช่ติเพื่อก่อ ความจริงสองข้อนี้เป็นมูลเหตุสำคัญยิ่งที่ทำให้ประเทศจีนก้าวหน้าเร็วไม่ได้ ถ้าเธอฟังต่อไป เธอจะรู้ดีว่าความเห็นแก่ตัวและการบูชาความคิดเห็นอย่างเต็มไปด้วยมิจฉาทิษฐินี้ เป็นภัยแก่ความเป็นปึกแผ่นของชาติอย่างไร ความตายของยวนซีไขไม่ได้ทำให้เกมการเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจบลงเพียงนั้น คนเป็นอันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพรรคก๊กมินตัง พากันเข้าใจว่าหมดฉากยวนซีไขเสียแล้ว เหตุการณ์ก็คงจะเรียบร้อยดีขึ้น การก่อสร้างประเทศชาติก็คงจะดำเนินต่อไปได้ด้วยความสำเร็จสมหวังของนักประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่นั่นเป็นแต่ความหวัง เรื่องจริง ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมืองจีนเป็นโรงละครโรงใหญ่ที่มีเรื่องยุ่งจนเกินที่จะปิดฉากได้ง่าย ๆ มันเป็นเคราะห์กรรมของพวกเราเองที่เกิดมาในสมัยเช่นนี้ นี่แหละระพินทร์ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนโชคดีที่ได้เกิดเป็นคนไทย
“ทุกคนที่คิดว่าสิ้นยวนซีไขเสียแล้วประเทศชาติคงจะเป็นปึกแผ่นดีขึ้น ต้องผิดหวังมากเมื่อเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้เกิดตามมาอีก เวลานั้นไม่มีใครคิดว่า ต้วนฉีร่วย, เฝิงกวอชาง, จ้าวคุน, จางซุน, หนีชื่อจุง จางโซหลิน, หวูเพ่ฝู (วูแป๊ะฟู), จางจุงชาง, เฟงยุกเสียง, เยียนซีชาน และคนอื่น ๆ อีกเป็นอันมากจะเป็นผู้หมุนชาตาของประเทศแทนยวนซีไขต่อไปอีก คนเหล่านี้เป็นตัวละครที่สำคัญมากในสมัยต่อมา เขาทำให้ประเทศจีนแตกฉานซ่านเซ็นเลือดไหลนองทุกหย่อมหญ้า บางคนฉันไม่ติเตียนเขาดอก เพราะมีเหตุผลที่จะคิดจะทำ แต่บางคนฉันแทบจะทนอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ มันสลดใจเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าความเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ ตลอดจนมิจฉาทิษฐิของหลาย ๆ คนในจำนวนนี้ ได้ทำลายชาติที่เขาบอกว่าเขารักเสียจนย่อยยับแทบจะต้องล่มจมอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว”
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นความเยือกเย็นของจางหลินลดหายไปบ้างเมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ข้าพเจ้านิ่งฟังต่อไปอีกโดยไม่ได้พูดว่ากระไร
“เมื่อยวนซีไขตายแล้ว หลีหยวนหุงก็เป็นประธานาธิบดีต่อไป ความแตกร้าวในวงการเมืองยังมีอยู่ตามเดิม เวลานั้นคณะพรรคการเมืองที่เป็นปรปักษ์ต่อกันอย่างรุนแรง ก็มีพรรคจิ้นปู้ต่างกับพรรคก๊กมินตัง เหลียงฉีเชาผู้นำพรรคจิ้นปู้ต่างกับ ดร. ซุนยัดเซนผู้นำพรรคก๊กมินตัง ยังคงเป็นศัตรูที่คอยเชือดเนื้อเถือหนังกันอยู่ตามเดิม การต่อสู้ระหว่างพรรคสองพรรคนี้ได้ดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน เป็นการต่อสู้ที่ทำให้จีนมืดมัวไปอีกหลายปี หลีหยวนหุงได้เปิดสภาที่ถูกปิดไปโดยมือของยวนซีไขขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้พรรคก๊กมินตังเสียโอกาสหมดทุกอย่าง คลายความเข้มแข็งลงไปเป็นอันมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพรรคก๊กมินตังเสียคนสำคัญไปถึง ๒ คนในเวลาติด ๆ กัน คนแรกคือเฉินฉีเหม่ เฉินเป็นคนกล้าหาญ ทำอะไรเด็ดขาดไม่ยอมแพ้ เคยเข้ายึดโรงช่างแสงของราชบัลลังก์ที่เจียงนาน เมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ โดยมิได้พึ่งผู้ใดเลย เฉินเป็นหัวหน้าของพรรคก๊กมินตังที่สำคัญยิ่งคนหนึ่ง ความเก่งกาจของคนผู้นี้ทำให้ฝ่ายศัตรูต้องตัดสินไปในทางที่ชั่วช้า หมดสิ้นความเป็นนักเลง เฉินฉีเหม่ถูกลอบฆ่าตายที่เซี่ยงไฮ้ก่อนหน้ายวนซีไขตายเพียงเล็กน้อย ผู้ฆ่าก็คือจางจุงชาง ซึ่งต่อมาได้ครองอำนาจใหญ่โตยิ่งในแคว้นจี้หนานมณฑลซานตุง เมื่อเฉินตายแล้วไม่กี่เดือน หวงซินผู้ใหญ่คนสำคัญของคณะพรรคก๊กมินตังก็ป่วยสิ้นชีวิตไปอีกผู้หนึ่ง การเสียหัวแรงไปในเวลาใกล้ ๆ กันเช่นนี้ ทำให้พรรคก๊กมินตังหมดกำลังใจไปเป็นอันมาก โดยเหตุนี้เองเมื่อหลี่หยวนหุงเปิดสภาขึ้นอีก จึงต่อสู้พรรคจิ้นปู้ต่างไม่ได้ พรรคจิ้นปู้ต่างได้พยายามทำลายเกียรติคุณความดีของ ดร. ซุนยัดเซนอยู่เรื่อยมา หนังสือพิมพ์ที่อยู่ในอิทธิพลของพรรคนี้ ได้เขียนบทนำโจมตี ดร. ซุนไม่เว้นแต่ละวัน ความแตกแยกได้ทวีขึ้นทุกขณะ ซึ่งไม่ได้ทำให้บ้านเมืองได้รับส่วนดีแต่ประการใดเลย”