๖๐
เวลาผ่านต่อไปอีก ๓ เดือนเต็ม
หิมะกำลังละลาย สปริงกำลังย่างกรายเข้ามาในจีนเหนือ เป็นสปริงที่ดอกไม้จะเริ่มแย้มบานต้อนรับข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกของชีวิตในนครโบราณนี้ ปักกิ่งที่แห้งเกราะไปด้วยความหนาวเย็นไต้ศูนย์ดีกรีตลอดวันในฤดูเหมันต์ บัดนี้กำลังจะถูกระบายด้วยสีเขียวอ่อนตามก้านและใบผลิแห่งพฤกษชาติ ชีวิตใหม่กำลังตั้งต้น–ชีวิตแห่งความชื่นบานและสวยงาม ลมสปริงกำลังพัดมา ท้องฟ้าโปร่งสบาย พระอาทิตย์ฉายแสงสว่างสุกใส แสงแดดอันเหลืองอร่ามในตอนเช้าอบอุ่นเข้าไปในหัวใจ เป็นความอบอุ่นที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผิดกับความอบอุ่นที่ได้จากความร้อนของถ่านหินในเตาเหล็กที่จุดไฟลุกแดงตลอดฤดูหนาว ข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างมองดูอรุณอันสดชื่น อรุณแห่งฤดูใบไม้ผลิ อรุณของชีวิตที่น่าริษยา ท่านผู้อ่านที่รัก ท่านจะเชื่อไหม ถ้าข้าพเจ้าจะพูดว่า ในชีวิตของข้าพเจ้าที่ได้ผ่านไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับนี้ ความสุขใจครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังจำได้ไม่เคยลืมนั้นก็คือ อรุณแห่งชีวิตที่สงบของสปริงแรกในปักกิ่ง นครโบราณที่มีอายุมากกว่า ๓๐๐๐ ปี เช้าวันนั้นข้าพเจ้าตื่นก่อนท้องฟ้าสาง ความตื่นเต้นจะได้พบสหายที่พูดไทยได้ ได้ปลุกข้าพเจ้าให้ตื่นขึ้นก่อนเวลาปกติ ข่าวที่ฮูเวอร์กับภรรยาได้บอกกับข้าพเจ้าที่โต๊ะอาหารเมื่อเช้าวาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความเปลี่ยวใจของข้าพเจ้าคงจะถูกจำกัดลงไปบ้างแล้ว ฮูเวอร์บอกข้าพเจ้าว่า เขาได้พบคนไทยคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยเยียนจิง (Yenching University) คนผู้นี้เป็นชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๓ ปี มีชื่อไทยว่าดุสิต ฮูเวอร์เล่าว่าบุรุษผู้นี้เป็นดาราของเยียนจิงในทางกีฬาทุกชนิด เป็นหัวหน้าทีมบาสเกตบอลล์และวอลเลย์บอลล์ ซึ่งเป็นกีฬาที่นำหน้าที่สุดอย่างหนึ่งในการกีฬาตลอดจีนเหนือ “ดุสิตเป็นคนใจคอกว้างขวาง” ฮูเวอร์บอกข้าพเจ้า “ถ้าเธอพบเขาเธอจะต้องชอบเขา ฉันคิดว่าท่าทางของเขาเป็นคนไทยมากกว่าเป็นคนจีน”
รุ่งอรุณวันนั้น ข้าพเจ้าเตรียมตัวออกเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเยียนจิงแต่ผู้เดียว อากาศในตอนเช้าตรู่ทำให้จิตใจผ่องใสชื่นบาน ข้าพเจ้ามองดูสปริงที่แวดล้อมอยู่รอบกาย มองดูนกที่เต้นรับแสงแดดอ่อน ๆ อยู่บนกิ่งต้นหยาง ใบสนที่ไม่เคยเหี่ยวแม้ในขณะที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง บัดนี้กำลังชูยอดอ่อนโอนไปมาในสายลม กิ่งหลิวซึ่งทอดยาวปรกต้นลงมาแกว่งไกวอยู่เรี่ยดิน ดูประหนึ่งแม่พระธรณีกำลังสยายผมนั้น บัดนี้ก็กำลังเบิกตาสีเขียวอ่อนอยู่ทั่วไป ตาสีเขียวเหล่านี้เตรียมพร้อมที่ผลิออกเป็นใบอ่อนในสองสามสัปดาห์ข้างหน้า ภาพของสปริงในตอนเช้าตรู่ซึ่งแน่นิ่งอยู่ในความสงบเงียบ ทำให้ข้าพเจ้าบังเกิดความรู้สึกว่า ถ้าโลกมนุษย์มีความสงบร่มเย็นและสวยงามเหมือนอย่างนี้เสมอไปแล้ว เราคงจะมีความภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า
ข้าพเจ้าเดินออกจากถนนซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของหอนอน บ่ายหน้าไปทางจัตุรัสตุงซื่อผายโล่ว ขณะนั้นยังเช้ามาก โรงร้านสองฟากถนนยังปิดประตูอยู่เป็นส่วนใหญ่ ผายโล่วหรือประตูซุ้มตรงสี่แยกตั้งอยู่ตระหง่านทั้ง ๔ ด้าน แม้ฝุ่นจะจับมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงโดยที่ไม่มีการปัดถูหรือซ่อมแซมเลย แต่สีที่ทาไว้เช่นสีชมพูแก่กับสีเขียวแก่ตลอดจนน้ำเงินก็ยังแลเห็นได้ถนัด ลายจีนที่เขียนไว้ตามเสาและส่วนต่าง ๆ ของซุ้มยังไม่ลบเลือน เป็นของเก่าที่มีค่าในประวัติศาสตร์ ของเก่าซึ่งไม่มีใครเหลียวแล! ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเป็นของธรรมดาไปสิ้น ประตูซุ้มเหล่านี้ถ้าเป็นผู้เป็นคนก็คงจะบอกเราได้ว่า ได้พบได้เห็นอะไรมาบ้างในสมัยที่ทหารจีนยังถือทวนถือง้าวอยู่–สมัยกบฏบ๊อกเซอร์ ซึ่งปักกิ่งนองไปด้วยเลือด–ตลอดจนสมัยที่เขาแห่ศพ ดร. ซุนยัดเซน ซึ่งใส่ไว้ในหีบแก้วไปเก็บไว้ชั่วคราวทางเขาซีซานนอกกำแพงเมืองปักกิ่ง ของเก่า ๆ ทำให้ข้าพเจ้าฝันไปไกล ข้าพเจ้านึกถึงภาพในประวัติศาสตร์ของกรุงปักกิ่งที่ข้าพเจ้าเคยอ่านในหอสมุดคอลเลชที่ข้าพเจ้าอยู่ กบฏบ๊อกเซอร์! ถ้าข้าพเจ้าได้มาเดินอยู่ในกรุงปักกิ่งสมัยนั้น ข้าพเจ้าคงจะตื่นเต้นมากทีเดียว
จากจัตุรัสตุงซื่อผายโล่วไปประมาณไม่ถึง ๘๐๐ เมตรก็ถึง Y.M.C.A. ซึ่งฮูเวอร์เป็นผู้อำนวยการอยู่ หน้าตึกใหญ่ ๓ ชั้นแห่งนี้มีคนยืนรอรถบัสอยู่กระจุกหนึ่ง ข้าพเจ้าพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเห็นยังเหลือเวลาอีก ๑๕ นาที รถบัสยังไม่มาจึงยืนเก้กังอยู่แต่ผู้เดียว ขณะที่ยืนคิดอะไรเพลินอยู่นั้น มีมือมาแตะที่บ่าและมีเสียงพูดว่า
“ยังไง สบายดีหรือ เราไม่ค่อยได้พบกันเลยตั้งแต่ลงรถไฟวันนั้น”
ข้าพเจ้าหันไปดูก็พบออสมียา บุรุษนักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ซึ่งขึ้นรถไฟร่วมทางกันมาจากเซี่ยงไฮ้คราวนั้น
ข้าพเจ้ายื่นมือไปเขย่ากับเขาด้วยความยินดี ยิ้มพลางพูดว่า
“นึกว่าไคร ไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบกันอีกในเวลาอย่างนี้ นี่จะไปไหนกัน?” ,
“ไปซีซาน” ออสมียาตอบอย่างเร็วตามเคย “ฉันจะไปพักผ่อนสักสิบวัน”
“ยังไม่ถึงฤดูร้อนเลย อะไร! ด่วนจริง”
“ฉันเป็นคนอารมณ์อิสระ” เขาพูดยิ้มๆ “แต่งเพลงมาหลายเดือนแล้ว ทนถ่านไฟไม่ไหว จะออกไปสูดอากาศที่ซีซานให้เต็มปอดสักหน่อย ก็เธอเล่าจะไปไหน?”
“เยียนจิง”
“ไปพักผ่อนเหมือนกันหรือ?”
“ฉันยังไม่มีเวลาพักผ่อนดอกออสมียา งานยังเหลืออีกเยอะ ดร. เพทตัสว่าฉันจะต้องอยู่คอลเลชอย่างน้อยอีกหนึ่งปี”
“หนึ่งปีสำหรับคนอย่างเธอพอถมไป” เขาพูดอย่างจริงใจ “เธอคงจะอยู่ปักกิ่งอีกนาน”
“ก็หลายปีกว่าจะเรียนจบ”
ขณะนั้นรถบัสสีแสดแล่นมาเทียบทางเท้า คนที่ยืนรออยู่ทยอยกันขึ้นไป ออสมียากับข้าพเจ้าเลือกที่นั่งทางด้านหน้าใกล้คนขับ เราคุยกันตลอดทาง
“ฉันคิดว่าเราจะต้องไปกินข้าวกันสักวันหนึ่ง” เขาพูดขึ้นเมื่อรถพุ่งออกนอกประตูเมือง “เธอจะว่างวันไหน?”
“ทุกวัน ฉันขอนัดก่อน วันพุธที่จะถึงนี้เธอจะว่าอย่างไร?”
“ได้ ระพินทร์ แต่ต้องเป็นหน้าที่ของฉัน”
รถผ่านไประหว่างต้นหยางและต้นหลิว ซึ่งยังมิได้แตกใบ ในท้องนาข้าวสาลีซึ่งยังไม่มีต้นข้าว ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลุมฝังศพระเกะระกะไปทั่ว บางหลุมอยู่หน้าประตูโรงนาก็มี หลุมเหล่านี้ทำคล้ายเจดีย์ที่ตัดยอด ไม่ได้ทำเป็นหลุมยาวเหมือนอย่างที่เห็นอยู่ในประเทศอื่น ๆ การฝังศพในเมืองจีนเขามักเลือกทำเลดี ๆ นอกเมือง เช่นตามเชิงเขาเป็นต้น การเลือกทำเลนี้เขามีตำราดู คือดูน้ำดูลม ถ้าฝังถูกทำเลดี ก็เชื่อกันว่าลูกหลานจะเจริญ ที่ฝังศพนี้เขาเรียกว่าเฟิงส่วย หรือทางใต้เรียกกันว่าฮวงซุ้ยนั่นเอง สำหรับชาวนามักฝังกันในที่ดินของเขา บางคนก็ฝังไว้ข้างๆ บ้าน ที่สุสานฝังพระศพกษัตริย์ราชวงศ์หมิง เขาทำไว้ใหญ่โตมากที่หุบเขานอกกรุงปักกิ่ง ปากทางมีผายโล่วหรือประตูซุ้มสูงตระหง่านทำด้วยหินอ่อน เป็นประตูซุ้มที่ใหญ่ยิ่งและงามยิ่งแห่งหนึ่งของประเทศจีน สองข้างทางเข้ามีตุ๊กกระตาหิน ๑๘ คู่แกะสลักจากหินทั้งแท่ง เป็นคนบ้างสัตว์บ้าง สูงใหญ่มหึมา เรียงรายกันไปจนถึงประตูแดงซึ่งเป็นที่หยุดขบวนพระศพ ทุกคนที่ตามพระศพเมื่อถึงประตูแดงนี้ต้องลงเดินตามต่อไปจนถึงสุสาน แล้วจึงทำพิธีฝัง ทางนี้ยาวหลายกิโลเมตร ที่หลุมเขาก่อเป็นหอสูง เหนือที่ตั้งพระศพมีป้ายจารึกอักษรตัวทองบอกพระนามและลำดับรัชกาล รอบ ๆ ที่ฝังมีโรงพิธีขนาดใหญ่ หอวิญญาณเรียงรายอยู่สำหรับเซ่นไหว้ประจำปี ที่ฮวงซุ้ยกษัตริย์ราชวงศ์หมิงนี้ ได้ฝังไว้ทั้งหมด ๑๓ พระศพ ที่ฝังแต่ละแห่งอยู่ห่างกันมาก ถ้าจะเดินให้ทั่วและดูให้ละเอียดก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ฮวงซุ้ยอันมหึมาเป็นเสมือนชิ้นหยกแห่งประวัติศาสตร์จีนนี้ ได้มีการเลือกทำเลกันเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ ๑๐ คือเมื่อประมาณเก้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้เคยไปเที่ยวที่สุสานนี้ ๒ คราว เป็นโบราณสถานซึ่งผู้คนไปเที่ยวกันมากในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
ตลอดทางก่อนจะถึงมหาวิทยาลัยเยียนจิง ออสมียากับข้าพเจ้าได้คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เราสนใจ เช่นเรื่องดนตรี เรื่องหนังสือ ตลอดจนเรื่องธรรมชาติอันสวยงามซึ่งแวดล้อมอยู่โดยรอบ การสนทนาของเราได้มาสุดลงที่เรื่องของจางหลิน ออสมียาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า จางหลินเป็นนักอุดมคติซึ่งมีคนเข้าใจน้อย “เขาเป็นคนดื้อ และนับถือตัวเองมาก เท่ากับที่เขานับถือคนอื่น เป็นคนใจกว้าง อยากเห็นโลกมีความสุขมากกว่านี้ ฉันว่าเขาฝันมากไปสักหน่อย มันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ ระพินทร์ ที่เราจะให้คนทั้งโลกมารักกัน?”
“มันเป็นเรื่องของอุดมคติ” ข้าพเจ้าตอบ “แต่อุดมคติเป็นของจำเป็นสำหรับมนุษย์ ถ้าเราไม่มีอุดมคติกันเสียเลย โลกก็จะก้าวหน้าออกไปจากความป่าเถื่อนไม่ได้”
“เธอรู้ไหมว่าหนังสือพิมพ์ของจางหลินเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีคนมองมาก?”
ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่ขณะหนึ่งจึงได้ตอบ
“ฉันก็เคยทราบอยู่ แต่มันช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อเมืองจีนเต็มไปด้วยนักคิด และการคิดนี้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันไปทุกคน ปัญหามีอยู่ว่าใครคิดอย่างสุจริตใจหรือไม่เท่านั้น”
สหายของข้าพเจ้าโคลงศีรษะช้า ๆ
“ฉันว่ามันต้องแล้วแต่เหตุการณ์”
“ความคิดที่มีอุดมคติเป็นความคิดที่มีหลักเกณฑ์ เหตุการณ์เป็นแต่เรื่องประกอบการพิจารณาเท่านั้น จางหลินเคยพูดบ่อยๆ ว่าความคิดของเขาเกิดขึ้นก็เพราะเหตุการณ์ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่แน่นอน”
“เขาต้องการอะไร เธอทราบไหม?” ออสมียาถามขึ้นอย่างรวดเร็วตามเคย
“ฉันทราบเท่าที่เธอทราบ เขาต้องการสันติภาพและการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์ทุกชาติ”
“นักสันติภาพ!” นักดนตรีพูดค่อนข้างดัง “หมดหวัง ไม่มีหวังอะไรเลย”
ขณะที่รถจวนจะถึงตำบลห่ายเตี้ยน ข้าพเจ้าถามออสมียาว่า
“เธอรู้จักจวนฟางดีไม่ใช่หรือ?”
เขาพยักหน้า
“เคยรู้จักดี เป็นคนสวยมาก”
“ฉันเคยสังเกตหลายครั้ง” ข้าพเจ้าหยุดคิดขณะหนึ่ง “รู้สึกว่าจางหลินชอบจวนฟางมากทีเดียว”
“อ๋อ, นั้นเป็นเรื่องที่เพื่อนฝูงหลายคนรู้ดี อะไร, เธอไม่รู้เรื่องเลยหรือนี่?”
“ฉันไม่ทราบ”
นักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ถอนหายใจเบา ๆ
“มันเป็นเรื่องน่าเห็นใจคนหลายคน จวนฟางกับจางหลินคนดีด้วยกันทั้งคู่ แต่ดูเหมือนจางหลินจะรักเขาข้างเดียว”
“มันเป็นเรื่องของเวลานี่, ออสมียา”
“เวลาจำนวนปี ไม่ใช่เรื่องของเวลา มันนานพอแล้วสำหรับความรัก เธอรู้ไหมว่า ฉันลงมือรักเมียของฉันได้เดือนเดียว ฉันก็แต่งงาน”
ข้าพเจ้าหัวเราะ
“จางหลินสีไวโอลินไม่เก่งเหมือนเธอ เขาจึงใช้เวลาเป็นจำนวนปี”
“ยังงั้นหรือ? มันไม่ใช่เรื่องของไวโอลิน มันเป็นเรื่องของหัวใจ”
“จวนฟางไม่มีหัวใจว่างเปล่าพอเช่นนั้นหรือ, ออสมียา?”
เขาพยักหน้า
“จวนฟางมีคู่รักเสียแล้ว”