๒๘

วันคืนผ่านไปอีก........

หิมะตกหนัก ลมพัดแรง ความหนาวทวีขึ้นจนกระทั่งปรอทวิ่งลงไปอยู่ใต้สูญดีกรี น้ำในบึงและในแม่น้ำลำธารแข็งไปทั่ว เหมันต์อันแท้จริงได้ย่างเหยียบเข้ามาถึงแล้ว

ปักกิ่งขาวสะอาดอยู่ในปุยหิมะ ถนนหนทางดูประหนึ่งว่าลาดไว้ด้วยสำลี ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความหนาวที่ต้องเผชิญเป็นครั้งแรกนี้ทารุณมากอยู่ เสื้อผ้าอันหนาและหนักไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แทบทุกคราวที่ออกไปธุระข้างนอก ความหนาวเย็นได้แซกเข้าไปในถุงมือขนสัตว์และรองเท้าซึ่งกรุพื้นในด้วยสักหลาด ทำให้ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าปวดรวดร้าวราวกับถูกมีดโกนเชือด ที่หูก็ปวดชาจนกระทั่งรู้สึกเป็นแผ่นหนักคล้ายท่อนไม้ เวลาลมพัดจัดตามถนนว่างแทบไม่มีคน เพราะเป็นเวลาที่หนาวจัดที่สุด อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าชอบความขาวบริสุทธิ์ของหิมะ ชอบความเงียบวังเวงเวลาหิมะตก ถึงแม้จะหนาวจนไม่อยากจะออกไปข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีพายุ แต่ข้าพเจ้าก็ยังรักฤดูเหมันต์ ข้าพเจ้าต้องการเห็นความขาวสะอาดของพื้นโลก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสบายใจ เพราะสามารถลืมความโสมมของโลกเสียได้ชั่วขณะ แท้จริงเรามีวันอันอบอุ่นอย่างสบายเหมือนกัน คือวันที่ไม่มีลมพัด ฟ้ากระจ่างดวงตะวันสุกใส ในวันเช่นนี้ ข้าพเจ้าชอบออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชฐานของราชวงศ์ชิงที่เป๋ห่าย หรือที่เรียกว่า Winter Palace มีคนไปเที่ยวมาก สวนสาธารณะแห่งนี้เดิมเป็นที่ประทับของกษัตริย์ในฤดูหนาว มีบริเวณใหญ่โตเต็มไปด้วยบึงอันกว้างแลเห็นฝั่งลิบ ๆ มีเนินดินและภูเขาที่ก่อด้วยหินประดับด้วยเก๋งใหญ่น้อย และดงสนซึ่งมีอายุนับด้วยศตวรรษ สวนแห่งนี้ดูเหมือนจะงามไปเสียทุกฤดู เมื่อชุนเทียนมาถึงก็สะพรั่งไปด้วยดอกเถาสีแดง จนแทบแลไม่เห็นอะไร ครั้นถึงเวลาตงเทียนก็ดาระดาดไปด้วยปุยหิมะสีขาวโพลนสะอาดบริสุทธิ์เหมือนสวนสวรรค์ น้ำในบึงแข็งไปทั่ว ในฤดูชุนเทียนเต็มไปด้วยดอกบัวและเรือบตน้อยๆ ซึ่งบันทุกหนุ่มสาวผู้มีหัวใจอันเบิกบานเหมือนกับดอกเถาที่กำลังแย้ม แต่พอถึงฤดูตงเทียนเมื่อน้ำแข็งแล้ว พวกนักสะเก๊ทก็ลงไปวิ่งกันอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น ทำให้ชีวิตครึกครื้นไปอีกทางหนึ่ง ข้าพเจ้าชอบเป๋ห่าย ชอบภูเขาที่ประดับด้วยหินอันเต็มไปด้วยศิลป ชอบเก๋งน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ตามหลั่นเขาและเนินดิน ชอบร้านขายน้ำชาซึ่งตั้งอยู่ตามชายน้ำ ข้าพเจ้าไม่อาจจะลืมเป๋ห่าย เพราะอุทยานแห่งนี้เป็นที่เกิดของความเข้าใจเมืองจีน ในห้องกระจกที่ร้านขายน้ำชาชายเนินด้านตะวันตก ซึ่งแวดล้อมไปด้วยดงสน จางหลินกับข้าพเจ้าได้นั่งสนทนากันอยู่เงียบ ๆ ในตอนเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งซึ่งอากาศกำลังโปร่งสบาย ลมหยุดพัด หิมะหยุดตก แสงแดดส่องต้องเกร็ดน้ำแข็งในบึงเป็นประกายวาววาม มองลอดกระจกออกไปแลเห็นพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ กำลังเล่นสะเก๊ทกันอยู่บนพื้นน้ำแข็งอันราบเรียบ หิมะตกแต่ตอนกลางคืนยังคงค้างอยู่ตามกิ่งและใบสน ทำให้เป็นพุ่มสีขาวคล้ายช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ จางหลินมีอารมณ์เต็มไปด้วยความชื่นบาน เขาเล่าถึงความสวยงามในฤดูสะปริงที่คงจะผ่านเข้ามาในไม่ช้า เขาพูดถึงซีซาน หรือ Western Hills ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเที่ยวเตร่ที่น่าเพลินยิ่งในเวลาดอกเถาบาน เรานัดกันว่า เมื่อน้ำแข็งละลายแล้วจะไปเที่ยวดูนอกเมืองให้ทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระราชวังฤดูร้อน ณ เนินเขาว่านโส้วซานริมทะเลสาบคุ้นหมิงหู

การสนทนากับจางหลินในวันนั้นทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเมืองจีนดีขึ้น นอกจากหิมะ ต้นสน เก๋ง ตลอดจนดอกไม้ ซึ่งจะบานสะพรั่งเมื่อน้ำแข็งละลายแล้ว จางหลินยังได้พูดถึงเหตุการณ์ในประเทศจีนตลอดสมัยปัจจุบันให้ข้าพเจ้าฟัง จนกระทั่งข้าพเจ้าพอจะจับเค้าได้ว่าอะไรเป็นอะไรในเมืองจีน ซึ่งกำลังเต็มไปด้วยการปฏิวัตินี้ ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นความยากลำบากที่ชาวจีนจะต้องเผชิญต่อไปเป็นเวลานานปี ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า ทำไมเมืองจีนจึงยุ่งเหยิงหาความสงบมิได้ นั่นคือผลของการปฏิวัติใหญ่ที่เป็นเสมือนการหักด้ามพร้าด้วยเข่า–การปฏิวัติที่ขาดรากฐานอันมั่นคงทางฝ่ายราษฎร–การปฏิวัติที่ขาดการคำนึงถึงหลักประกันความเป็นปึกแผ่นในทางชีวิตจิตใจ นั่นคือประเพณีของการมีพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีมาแล้วตลอดเวลาพัน ๆ ปี เมืองจีนได้ปฏิวัติแล้ว แต่การปฏิวัตินั้นยังจะต้องดำเนินต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลา

จางหลินได้เล่าอะไรให้ข้าพเจ้าฟังบ้าง? ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องบันทึกไว้อย่างละเอียด ชีวิตของจางหลินเป็นชีวิตที่ข้าพเจ้าลืมไม่ได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ในบางสมัยคนดีก็คือคนบ้านั่นเอง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ