๕๑

พรรคอันฝู่ที่เกิดขึ้นในราว ค.ศ.๑๙๑๗ ได้เป็นศัตรูสำคัญที่ทำลายพรรคเหยียนจิวของเหลียงฉีเชาให้ล่มจมไปโดยเร็ว และไม่มีวันที่จะฟื้นขึ้นมาอีกเลย ความยุ่งยากของประเทศจีนตั้งแต่เริ่มปฏิวัติมา เมื่อใคร่ครวญดูโดยละเอียดแล้ว ฉันเห็นว่าต้นเหตุมาจากเปลี่ยนกันเร็วไป คือเปลี่ยนแต่ข้างบน แต่ไม่คิดถึงรากฐานที่รองรับอยู่ข้างล่าง เมืองจีนจะเป็นริปับลิคอย่างอเมริกาในวันเดียวนั้นทำไม่ได้ มติมหาชนยังไม่แข็งแรงพอที่จะบังคับให้การต่อสู้ในเกมการเมืองดำเนินไปอย่างถูกต้องตามวิถีทางของกฎหมาย ราษฎรยังไม่พร้อมที่จะร่วมใจกันบังคับให้การเล่นการเมืองเต็มไปด้วยความสะอาด กล่าวคือไม่ให้มีการใช้อำนาจของปืนมาตัดสินความคิดเห็นและการบริหารงานของประเทศชาติ โดยเหตุนี้เองการมีพรรคการเมืองมาก ๆ เช่นในสมัยนั้น จึงเป็นภัยแก่ประเทศอย่างที่สุด พรรคเหล่านี้แถลงนโยบายกันสวย ๆงาม ๆ ล้วนแต่จะก่อสร้างประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนา แต่โดยมากพอเอาจริงเอาจังเข้าก็มักถือเอาประโยชน์ส่วนตัวที่เป็นตั้ง ขัดใจกันขึ้นมาก็ไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากของราษฎร ใครมีกำลังทหารหนุนหลังก็ใช้กำลังนั้นเข้าห้ำหั่นฆ่าฟันกันเลือดนองแผ่นดิน ทำให้เกิดการแตกแยกร้าวรานจนกระทั่งเกือบจะไม่ใช่ชาติเดียวกัน ฉันไม่ได้คัดค้านเรื่องพรรคการเมือง แต่ฉันเห็นว่าการมีพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค แต่ละพรรคมีทหารหนุนหลังเช่นนี้ไม่ได้เป็นคุณแก่ชาติเลย ดร. ซุนยัดเซนได้มีความเห็นอย่างเด็ดเดี่ยวว่าประเทศจีนยังไม่ถึงเวลาที่จะมีพรรคการเมืองหลายพรรค สำหรับระยะที่มติมหาชนยังขาดการอบรมศึกษาเช่นนี้ ประเทศจีนควรมีพรรคการเมืองพรรคเดียวเท่านั้น

“การที่พรรคเหยียนจิวของเหลียงฉีเชา ซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่กับพรรคก๊กมินตังของ ดร. ซุนยัดเซนต้องล่มจมไป ก็เพราะมีคนดีตั้งพรรคอันฝู่ขึ้นมาแข่ง เวลานั้นเหลียงคิดจะรวมอำนาจการเมืองไว้ในกำมือด้วยการพยายามส่งคนของตนเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายพลฉู่ชู่เจิงกับหวางอี้ถางซึ่งเป็นพวกต้วนฉีร่วยเกรงว่าเหลียงจะมีอำนาจมากเกินไป จึงคิดตั้งพรรคอันฝู่ขึ้นเพื่อถ่วงอำนาจไว้ ต้วนฉีร่วยต้องการให้คนเหล่านี้ได้อำนาจในสภาผู้แทน จะได้สนับสนุนให้ตนได้เป็นประธานาธิบดีแทนเฝิงกวอชาง ฉะนั้นจึงพยายามช่วยเหลืออุ้มชูพรรคอันฝู่ให้ขยายตัวออกไปโดยเร็ว นายพลสฉู่ชู่เจิงวิงหาเงินให้ห้าแสนกว่าเหรียญ จึงช่วยให้ตั้งพรรคอันฝู่ได้สำเร็จเรียบร้อยในเวลาอันไม่ช้า เมื่อตั้งขึ้นแล้ว สฉู่ชู่เจิงกับพวกก็ส่งสมาชิกของตนออกไปสมัครรับเลือกตั้งตามท้องที่ต่าง ๆ การเลือกตั้งนี้ได้เต็มไปด้วยวิธีการที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ได้มีการซื้อคะแนนโหวตกันแพง ๆ สฉู่ชู่เจิงได้วิ่งเต้นหาเงินเพิ่มเติมสำหรับซื้อคะแนนถึงกว่าเจ็ดล้านเหรียญ จึงสามารถส่งคนของตัวเข้านั่งในสภาได้มากกว่าพรรคอื่น ๆ คณะพรรคอันฝู่ทำคะแนนเก้าอี้ในสภาได้ถึงเกือบสี่ร้อยที่ พรรคเจียวทงได้เก้าอี้ไว้เพียงห้าสิบกว่าที่ ส่วนพรรคเหยียนจิวของเหลียงฉีเชาได้คะแนนเก้าอี้เพียงสามสิบกว่าที่เท่านั้น ความปราชัยครั้งนี้ทำให้เหลียงโกรธแค้นมาก พยายามหาวิธีดิ้นรนต่อไปอีก เช่นเข้าหาเฝิงกวอชางประธานาธิบดีเป็นต้น แต่เหลียงสิ้นวาสนาเสียแล้ว การวิ่งเต้นจึงไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด มีแต่จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดเหลียงฉีเชาผู้เริ่มการปฏิวัติของจีนคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งก็สิ้นอำนาจลงอย่างเด็ดขาด ไม่มีโอกาสจะก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองอีกเลยจนกระทั่งสิ้นชีวิต

“เมื่อพรรคอันฝู่ได้อำนาจทางการเมืองแล้วก็ลงมือเลือกประธานาธิบดีต่อไป เดิมคิดกันจะเลือกต้วนฉีร่วย เพราะต้วนต้องการจะเป็นประธานาธิบดีอยู่แล้ว แต่มากีดด้วยเกรงว่าเฝิงกวอชางจะก่อเรื่องขึ้น ถ้ายกต้วนคู่แข่งขันขึ้นเป็นแทนจึงลังเลอยู่ เฝิงกวอชางเป็นผู้สร้างพรรคจื๋อลี่ขึ้น พรรคการเมืองพรรคนี้มีอำนาจทหารหนุนหลังอยู่ เช่น กำลังทหารในมณฑลเจียงซู, เจียงซี, หูเป่, และจื๋อลี่ นายพลเฉาคุนข้าหลวงผู้กำอำนาจไว้ในมณฑลจื๋อลี่ซึ่งปักกิ่งตั้งอยู่ ได้เตรียมพร้อมจะยกทหารเข้ายึดปักกิ่ง ถ้าหากมีการคัดเฝิงกวอชางออกจากตำแหน่ง และเอาต้วนฉีร่วยขึ้นเป็นแทน อนึ่งเวลานั้นเสิ่นจุ้นสวนประมุขรัฐบาลจีนใต้ซึ่งยึดอำนาจการปกครองมาได้จาก ดร. ซุนยัดเซนใหม่ๆ ก็ทำการติดต่ออยู่กับเฝิงโดยมีข้อตกลงว่า ถ้าเฝิงได้เป็นประธานาธิบดี เสิ่นจะได้เป็นรองประธานาธิบดี โดยเหตุนี้การที่จะเอาต้วนเป็นประธานาธิบดีแทนเฝิง จึงย่อมจะเป็นโอกาสให้รัฐบาลจีนใต้เปิดการโจมตีเอาได้ นอกจากนี้เฝิงยังได้รับการสนับสมุนจากพรรคเหยียนจิวของเหลียงฉีเชาอีกอย่างเต็มที่ เพราะพรรคเหยียนจิวโกรธแค้นที่ถูกพรรคอันฝู่โจมตีอย่างย่อยยับในการเลือกตั้ง กำลังของเฝิงกวอชางยังมีอยู่มากมายเช่นนี้ สฉู่ชู่เจิงและประมุขคนอื่น ๆ ของพรรคอันฝู่จึงชักขยาด ไม่กล้ายกต้วนฉีร่วยขึ้นเป็นประธานาธิบดี

“บังเอิญขณะนั้น หลูจุงยู่กับเฉาหรูหลินประมุขของพรรคการเมืองเจียวทงยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้วย หลูกับเฉาให้ความเห็นว่า เพื่อจะไม่ให้ทั้งต้วนและเฝิงต้องเสียน้ำใจ และป้องก้นไม่ให้เกิดการใช้กำลังทหารขึ้นโดยไม่จำเป็น ควรยกสฉู่ชื่อชางขึ้นเป็นประธานาธิบดีเสีย สฉู่ชื่อชางมีอายุมากกว่า ๖๐ ปีแล้ว เคยเป็นอาจารย์ของต้วนและเฝิง คนทั้งสองก็นับถือยำเกรงอยู่ คงจะไม่ทำให้เกิดอิจฉาริษยาขึ้นได้ สฉู่ชู่เจิงกับพวกก็เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าสฉู่ชื่อชางคงจะคุมอำนาจอะไรไม่ได้ ตนคงจะเชิดเล่นได้อย่างสบาย และเมื่อสฉู่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ก็จงจะเลือกต้วนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างเป็นการตอบแทนกัน แต่สฉู่ชื่อชางเป็นเสือเก่าที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล เมื่อได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว แทนที่จะเอาต้วนเป็นนายกรัฐมนตรี กลับยกพวกของตนขึ้นเป็นเสียเอง พรรคอันฝู่ผิดหวังอย่างคาดไม่ถึง ความไม่พอใจได้ทวีมากขึ้นทุกวัน เพราะเกรงสมาชิกของตนจะไม่ได้เข้าอยู่ในคณะรัฐมนตรี เฉาหรูหลินเกรงจะเกิดนองเลือดขึ้น จึงวิ่งเต้นให้สฉู่ชื่อชางกับพรรคพวกยอมตกลงให้สมาชิกพรรคอันฝู่ได้เข้าเป็นรัฐมนตรีบ้าง สฉู่กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่เกรงอำนาจพรรคอันฝู่ก็ยินยอม การกระทบกระเทือนอย่างเลือดนองจึงระงับไปได้ชั่วคราว

“ตอนนี้ ถึงแม้คณะพรรคอันฝู่จะไม่ได้ชัยชนะในเชิงการเมืองแต่ก็คุมอำนาจไว้ได้มาก เพราะกำลังมีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง พรรคเหยียนจิวของเหลียงฉีเชากำลังจะหมดอำนาจ แต่ก็พยายามดิ้นรนยุแหย่ให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พรรคเหยียนจิวได้มีโอกาสแสดงอิทธิพลทางการเมือง ในปีนั้นบรรดานักเรียนทั่วปักกิ่งได้พากันเดินขบวนเป็นครั้งแรก เพื่อคัดค้านรัฐบาลที่ยอมยกดินแดนบางส่วนให้แก่คนต่างชาติ นักเรียนได้เข้าทำลายบ้านของรัฐมนตรีบางคน ซึ่งเป็นตัวการในเรื่องนี้ และยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลปลดรัฐมนตรีสามคนออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังให้ขับพรรคอันฝู่ออกไปเสียจากวงการเมือง โดยกล่าวหาว่าพรรคการเมืองพรรคนี้มีนโยบายโปรชาวต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของนักเรียนครั้งนั้นทำให้ราษฎรตำหนิรัฐบาลอย่างเซ็งแซ่ ประธานาธิบดีสฉู่ชื่อชางทนอำนาจมติมหาชนไม่ได้ ก็ยอมไล่รัฐมนตรีทั้งสามออกจากตำแหน่ง อันที่จริงมีข้อเท็จจริงบางประการที่ทำให้ฉันเห็นใจพวกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นครั้งนั้น เรื่องมันจะเกิดการขายชาติกันขึ้นจริงๆ ซึ่งเป็นข้อที่น่าสลดใจอย่างบอกไม่ถูกเทียว, ระพินทร์ ฉันรับรองว่าฉันอายเธอเมื่อพูดถึงเรื่องอุบาทว์เหล่านี้

“การเรียกร้องของพวกนักเรียนที่ก่อการวุ่นวายขึ้นในครั้งนั้น สามารถเพียงแต่ทำให้รัฐมนตรีผู้ขายชาติ ๓ คนพ้นไปจากตำแหน่งเท่านั้น ยังหาทำให้พรรคอันฝู่ต้องสะเทือนแต่ประการใดไม่ ต้วนฉีร่วยและสฉู่ชู่เจิงคนสำคัญของพรรคนี้ ยังดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในวงการเมืองได้ต่อไป ต้วนเมื่อพลาดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็หันไปคุมอำนาจทหารไว้ในกำมือเพื่อเป็นกำลังสำหรับเล่นเกมการเมืองต่อไปอีก แต่พรรคอันฝู่ได้ย่างเข้ามาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสำคัญยิ่งคือพรรคจื๋อลี่ซึ่งเฝิงกวอชางเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เฝิงถึงแก่กรรมภายหลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แต่พรรคจื๋อลี่ก็ยังคงมีอำนาจอยู่ตามเดิม เพราะนายพลหวูเพ่ฝูและเฉาคุนหนุนหลังอยู่

“ต้วนกับสฉู่โค่นเหลียงฉีเชากับพวกได้แล้ว ก็ต้องหันมาผจญกับหวูเพ่ฝูและเฉาคุนต่อไปอีก นี่แหละระพินทร์ การเมืองของเราเป็นอย่างนี้, แก่งแย่งชิงดีประหัตประหารกันไม่รู้จักหมดสิ้น เหมือนกับนักมวยที่จะต้องชกต่อไปเสมอเพื่อสงวนตำแหน่งชนะเลิศของตนไว้ พอสิ้นเหลียงฉีเชา หวูเพ่ฝูกับพวกก็ขึ้นเวทีมาแทนที่ ซึ่งต้วนจะต้องเอาชนะต่อไปอีก แต่หวูไม่เหมือนเหลียง เหลียงไม่มีอำนาจทหารหนุนหลัง หวูมีกองทัพทั้งกองคอยฟังบัญชาว่าจะให้ไปยิงใครเมื่อไร ดังนี้ศัตรูคนใหม่ของต้วนจึงเป็นเรื่องหนักใจไม่น้อย”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ