๕๖
“เมื่อ ดร. ซุนตายแล้ว ละครในจีนเหนือก็แสดงต่อไป บทบาทที่ตัวละครแสดงในตอนนี้ก็เหมือนบทเดิม ๆ คือจับอาวุธเข้าเข่นฆ่ากันต่อไปอีก สงครามกลางเมือง–ละครเมืองจีน ละครโรงใหญ่!
“เวลานั้นผู้มีอำนาจในจีนเหนือมีอยู่ ๓ คน คือ ต้วนฉีร่วย, เฟงยุกเสียง กับจางโซหลิน เมื่อเฟงกับจางปราบหวูเพ่ฝูหมดอำนาจลงไปแล้ว ก็ปรึกษากันเอาต้วนฉีร่วยเข้ามาร่วมมือด้วย เฟงแน่ใจว่าต้วนไม่มีอำนาจอะไร เพราะไม่มีกำลังทหารหนุนหลัง เอาเข้ามาเพื่อเป็นหลักที่จะทำการใหญ่ต่อไปเท่านั้น ทั้งนี้เพราะต้วนเป็นนักการเมืองมือเก่า เคยช่ำชองเวทีมามาก อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่เอาต้วนเข้ามาเป็นกำแพงคอยกันพวกของเฟงและจางไว้ ก็น่ากลัวว่าคนทั้งสองคือเฟงกับจางอาจจะต้องเป็นปากเสียงกันเร็วขึ้น เพราะต่างคนก็ไม่มีอุดมคติทางการเมืองจริงจังอย่างไร นอกจากต้องการอำนาจและดินแดนสำหรับครอบครอง เพื่อจะเลี้ยงกองทัพของตนให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น
“ทางฝ่ายต้วนก็มองเห็นว่า การที่ตนเข้าไปร่วมมือกับเฟงและจางเป็นการได้เปรียบ ทั้งนี้เพราะเข้าใจเอาเองว่าเฟงกับจางเป็นเพียงนักรบ ไม่มีความคิดลึกซึ้งอย่างไร คงจะใช้ความฉลาดของตนล่อหลอกพลิกแพลงเอาได้ สิ่งที่ต้วนต้องการก็คือตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งคะเนเอาว่าคงจะไม่พ้นมือ เพราะเฟงกับจางไม่มีอิทธิพลอะไรมากพอจนถึงกับจะเป็นประธานาธิบดีได้ด้วยตนเอง และขณะนั้นเฟงกับจางก็ได้แต่งตั้งให้ต้วนดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐบาลอยู่แล้วเป็นการชั่วคราว ยังรออยู่ที่จะเขยิบขึ้นเป็นประธานาธิบดีเท่านั้น
“เมื่อคิดเห็นเช่นนี้ ต้วนฉีร่วยก็เริ่มวางแผนการณ์ประจบเอาใจเฟงกับจางไว้ เช่นพอเฟงยุกเสียงขอรายได้ภาษีอากรไปบำรุงกองทัพของตน ต้วนก็หาทางอนุมัติให้อย่างเป็นที่พอใจ เรื่องนี้รู้ไปถึงหูจางโซหลินเข้า จางก็บังคับให้ต้วนจ่ายเงินให้ตนบ้างวันละล้าน ภายในเวลา ๒ วัน ต้วนตกอยู่ในที่ยาก ไม่สามารถจะทำตามคำของจางได้ ก็จำต้องปฏิเสธ จางโซหลินโกรธแค้นยิ่งนัก จึงแสดงความอาฆาตออกไปว่าจะใช้อำนาจเข้าจัดการกับต้วนและเฟงให้จงได้
“ต้วนอยู่ในที่ลำบากตลอดเวลา แต่ก็พยายามเล่นเกมการเมืองที่ไม่สะอาดต่อไปอีก ด้วยวิธียุให้เฟงยุกเสียงกับจางโซหลินแตกกัน แต่เฟงกับจางรู้ดีจึงคอยระวังตัวอยู่ แต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามจะเอาประโยชน์จากต้วนให้ได้ เช่นบีบรีดเอาเงินค่าภาษีอากรเป็นต้น แม้ต้วนจะพยายามประจบเฟงยุกเสียงอย่างเต็มความสามารถสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะชนะหัวใจนายพลคริสเตียนผู้นี้ได้ เฟงยุกเสียงพยายามเรียกเอาเงินรายได้ทางภาษีอากรไปวันละมากๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่เรียกเอาเสีย พรรคพวกของต้วนก็จะเรียกเอาลงกระเป๋าเสียเอง ต้วนไม่มีทางจะเจียดเงินมาให้เฟงได้ตามจำนวนที่ถูกเรียกร้อง จึงต้องปฏิเสธเอาบางครั้ง ซึ่งทำให้เฟงโกรธแค้นมาก โดยเหตุนี้ ทั้งเฟงและจางต่างก็ขัดใจกับต้วนเพราะเรียกเอาเงินไม่ได้
“เวลานั้นกล่าวได้ว่า อำนาจส่วนใหญ่ในกรุงปักกิ่งอยู่ในกำมือของเฟงยุกเสียง จางโซหลินเป็นแต่ไป ๆ มา ๆ ไม่มีกำลังทหารประจำเหมือนเฟงยุกเสียง โดยเหตุนี้ต้วนจะตายหรือจะเป็นก็ต้องแล้วแต่เฟงยุกเสียงทั้งสิ้น การประจบประแจงของต้วนไม่ทำให้เฟงเห็นใจแต่ประการใด ตรงกันข้ามกลับบีบรัดต้วนหนักมือขึ้นอีก เวลานั้นพรรคพวกของต้วนถูกสันติบาลซึ่งอยู่ในอำนาจของเฟงจับเอาตัวไปหลายคน ผลที่สุดต้วนทนไม่ได้ก็หนีไปเก็บตัวอยู่ในเขตสถานทูตต่างประเทศที่ลีเกชั่นสตรีท บรรดาพรรคพวกคนอื่น ๆ ก็กระจัดกระจายกันไปคนละทางสองทาง เป็นอันว่าต้วนหมดอำนาจลงอีก และคราวนี้เป็นเกมสุดท้ายของต้วน เมื่อแพ้แล้วก็ไม่ได้กลับขึ้นมาสู่เวทีอีกเลย ตัวละครสำคัญในโรงงิ้วโรงใหญ่ของเราได้เล่นบทของเขาจบลงไปอีกคน เช่นเดียวกับเหลียงฉีเชาซึ่งฉันได้เล่าให้เธอฟังแล้ว
“พอขับต้วนออกไปจากเวทีการเมืองในจีนเหนือแล้ว เฟงกับจางก็ต้องประจันหน้ากันเพราะได้สงสัยกินใจกันตลอดมา รออยู่แต่จะระเบิดออกเป็นสงครามกลางเมืองอีกเท่านั้น เฟงกับจางมีสติดีด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงไม่ยอมพลาด แต่เห็นว่าถ้าขืนรออยู่อย่างนี้ก็ต้องฟาดฟันกันเป็นแน่นอน ต่างคนจึงต่างคิดจะเข้าหาหวูเพ่ฝูเพื่อหาเสียงทางฝ่ายตน หวูเป็นผู้ที่ถูกเฟงกับจางเล่นงานมาแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเฟงกับจางต่างก็แข่งกันส่งทูตไปเจรจาขอให้หวูช่วย เรื่องจึงขบขันพอดู
“เวลานั้นหวูเพ่ฝูหนีไปนอนแต่งโคลงกินลมอยู่อย่างสบายใจที่เมืองหยูโจว หวูเป็นคนมักน้อย เมื่อแพ้ก็หลบไปซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่คิดทะเยอทะยานอะไรมาก ผู้คนพลเมืองก็พากันสรรเสริญอยู่ ที่ยำเกรงหวูมากก็เพราะหวูเป็นคนจริง องอาจเหมือนราชสีห์ เวลาแพ้ก็ไม่หนีเข้าไปซุกหัวอยู่ในร่มธงต่างชาติตามเขตสถานทูตเช่นเดียวกับต้วนฉีร่วยและนักการเมืองคนอื่น ๆ หวูหลบอยู่ตามเมืองเล็ก ๆ ตามซอกเขาลำเนาไม้ ไม่พรั่นพรึงว่าศัตรูจะส่งใครไปจับตัว ทหารสองพันคนที่ยอมตายกับหวูก็แวดล้อมนายของตนอยู่โดยไม่คำนึงว่าตนจะต้องอดมือกินมื้ออย่างไรหรือไม่ ความองอาจและความสัตย์จริงของหวูทำให้เป็นที่ดูดดึงใจคน ฉะนั้นแม้หวูจะหมดอำนาจทางการเมือง แต่ก็มีอิทธิพลเหนือจิตใจคนจีนเป็นส่วนมาก
“การกระทบกระแทกระหว่างเฟงยุกเสียงกับจางโซหลินได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน จนในที่สุดก็เป็นการแน่ชัดว่าสงครามกลางเมืองระหว่างเฟงกับจางจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีปัญหา ขณะนั้นบังเอิญซุนฉวนฟางนายพลคนหนึ่งซึ่งคุมอำนาจทหารอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงโดยมีนครนานกิงเป็นฐานกำลัง เกิดไม่พอใจจางโซหลินขึ้นมา เพราะทหารของจางได้ล้นข้ามกำแพงใหญ่จากแมนจูเรียเข้ามาในจีนเหนือมากขึ้นทุกที ถ้ารอต่อไปจางโซหลินก็คงมีอิทธิพลกล้าแข็งขึ้นในลุ่มน้ำแยงซีเกียงอย่างแน่แท้ ซุนฉวนฟางตรองดูแล้วก็ไม่สบายใจ จึงชักชวนบรรดานายพลต่าง ๆ ซึ่งคุมอำนาจทหารอยู่ในมณฑลหลายมณฑลในลุ่มน้ำแยงซีเกียงตอนปลาย ให้ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับจางโซหลิน ในเวลาเดียวกันเฟงยุกเสียงเห็นได้โอกาสก็เข้าร่วมมือกับซุนฉวนฟางด้วย เพื่อขับไล่ทหารจางโซหลินให้ออกไปจากจีนกลางและจีนเหนือ ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๒๕ กองทหารของซุนก็ปะทะกับกองทหารของจางโซหลินรอบ ๆ เซี่ยงไฮ้ สงครามกลางเมืองได้เปิดฉากขึ้นอีกฉากหนึ่ง
“ฉันเล่ามาถึงตรงนี้ เธอคงจะสังเกตเห็นได้ว่า เวลานั้นบ้านเมืองของฉันดูช่างไม่มีขื่อไม่มีแปเอาเสียเลย บรรดานายพลทั้งหลายต่างก็คุมทหารกันคนละหมื่นคนละแสน ตั้งป้อมคอยรักษาประโยชน์ของตัว ใครเหลื่อมล้ำเข้ามาหรือเกิดไม่ชอบใจใครขึ้นมาก็คุมทหารเข้าเข่นฆ่ากัน มิได้คำนึงถึงความทุกข์ยากของราษฎร มันเป็นเรื่องละครของความสลดใจ ละครของความโสมม มันทำให้ฉันนึกไปถึงสมัยชุนชิวจ้านกวอเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ซึ่งเป็นสมัยที่ประเทศจีนได้แบ่งออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยหลายสิบประเทศ รบราฆ่าฟันกันเองเป็นเวลานานร่วมแปดร้อยปี ทุกคนคิดเอาแต่ได้ ชาติของเขาก็คือแคว้นของเขา ไม่มีชาติจีน ไม่มีชาวจีน มีแต่ชาวสฉู่ ชาวฉี, ชาวเฉิน, ชาวหลู, ชาวฉิน, ชาวหวู, ชาวจิ้น, ชาวหาน, ชาวซุ่ง และชาวอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ ทุกแคว้นคอยคุมเชิงกัน แคว้นใหญ่คอยข่มเหงแคว้นเล็ก แคว้นเล็กคอยแก้แค้นแคว้นใหญ่ ยุ่งเหยิงชุลมุนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่นั่นมันเกือบสามพันปีมาแล้วนะ ระพินทร์ เดี๋ยวนี้โลกศิวิลัยซ์แล้ว โลกเจริญแล้ว แต่ว่า........คนไม่เจริญ!”