๑๗
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่ารถลากคันงามซึ่งมีคนลากที่สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วเหมือนม้านั้น ได้พาข้าพเจ้าผ่านเข้าถนนไหนออกถนนไหนบ้าง จำได้แต่เพียงว่า เมื่อได้ผ่านเขตสถานทูตและสถานีรถไฟ ตลอดจนซุ้มประตูเฉียนเหมินอันสูงตระหง่านคอตั้งบ่าไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ถูกพาเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ คล้ายสำเพ็ง สองข้างเต็มไปด้วยร้านขายของนานาชนิด มีป้ายอักษรจีนตัวเขื่อง ๆ แขวนไว้ระเกะระกะไปหมด ในตรอกแคบ ๆ นี้ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ เดินช้า ๆ ตามอารมณ์อันเยือกเย็น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นนิสัยของชาวจีนเหนือ ตรอกแม้จะเล็ก แต่รถลากก็วิ่งผ่านไปมาอย่างสับสน หลีกคนและหลีกกันเองอย่างว่องไวด้วยความชำนาญ ตรอกอันยาวนี้คดไปคดมาน่าเวียนศีรษะ และมีทางแยกนับไม่ถ้วน สังเกตดูรู้สึกว่าเป็นดงการค้าซึ่งมีตั้งแต่ร้านขายอาหารไปจนถึงร้านขายเครื่องเหล็ก ข้าพเจ้านั่งปล่อยอารมณ์เรื่อยไปจนกระทั่งออกถนนใหญ่ที่โรยหินไว้หลายปีแล้ว สึกกร่อนเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว รถของเราต้องหยุดเมื่อถึงทางสามแพร่ง ที่ตรงนั้นผู้คนและรถลากรถจักรยานคั่งกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนกำลังยืนมองดูแถวทหารม้า ซึ่งกำลังผ่านไปช้าๆ ทหารเหล่านั้นแต่งตัวค่อนข้างขะมุกขะมอม หน้าตาเหี้ยมเกรียมเต็มไปด้วยร่องรอยของการตรากตรำ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคงเป็นกองทหารที่กำลังเดินแถวไปฝึกตามทุ่งนอกเมือง แต่เมื่อสังเกตดูแววตาและกิริยาอาการของผู้คนที่ยืนดูอยู่นั้น รู้สึกว่าทุกคนมีความตื่นเต้นอย่างประหลาด เป็นความตื่นเต้นที่แฝงอยู่ในความเศร้า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และความไม่เข้าใจนี้แหละทำให้ต้องรอดูอยู่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อแถวทหารประมาณสองสามหมวดได้ผ่านหน้าเราไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยเข้าใจนักดังมาจากกลางแถวทหารนั้น คนดูทวีความตื่นเต้นยิ่งขึ้น ทุกคนชะเง้อมองไปยังรถที่มีลักษณะคล้ายเกวียนซึ่งมีม้าผอมโซตัวหนึ่งลากเคลื่อนที่ไปช้าๆ รถคันนี้อยู่กลางแถวทหารพอดี คือมีขบวนทหารม้าขนาบอยู่ทั้งหน้าและหลัง สองข้างรถยังมีทหารอีกสองคนถือปืนขี่ม้าขนาบไปด้วยคล้ายกับองครักษ์ พอรถประหลาดคันนี้ผ่านมาถึง ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นถนัดว่าผู้ที่ส่งเสียงร้องตะโกนอยู่เอ็ดอึงด้วยสำเนียงอันเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนนั้น ก็คือชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวที่ทำด้วยผ้าดิบสีขาว ซึ่งในเมืองจีนถือกันว่าเป็นสีของความตาย ชายผู้นี้ถูกมัดมือไขว้หลังผูกติดกับขอบรถจนอกแอ่น ที่หลังมีไม้ผูกติดศีรษะประมาณ ๑ วา บนปลายไม้มึป้ายปักกระดาษขาวแขวนอยู่เขียนด้วยอักษรจีนตัวยุ่ง ๆ ดวงตาทุกคู่เพ่งเล็งไปที่ชายผู้นั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นดวงหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด มิได้มีริ้วรอยแห่งความหวาดกลัวตกประหม่า เขายังคงร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง แม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจนักว่าเขาพูดว่ากระไร แต่ก็จับน้ำเสียงได้ว่า ชายผู้นี้กำลังตะโกนด่าใครคนหนึ่งด้วยความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก จวนเจียนที่หัวใจจะระเบิดออกมา คนที่ยืนอยู่ข้างถนนบ้างก็ซุบซิบกัน บ้างก็ยืนตะลึง มีสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสลดใจ ข้าพเจ้าเดาเอาเองว่า ชายที่นั่งอยู่บนเกวียนประหลาดนี้ จะต้องเป็นนักโทษอย่างไม่มีบัญหา เขาคงจะกำลังถูกนำตัวไปสู่คุกอันเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก หรือมิฉะนั้นก็........ข้าพเจ้าใจหายวาบ ไม่อยากจะคิดอีกต่อไป
เมื่อสิ้นแถวทหารแล้ว รถก็พาข้าพเจ้าผ่านไปตามถนนใหญ่ และสักครู่ก็เลี้ยวเข้าตรอกแบบเดียวกับทุก ๆ ตรอกที่ผ่านมา คือพื้นถนนมีฝุ่นหนา สองข้างเต็มไปด้วยกำแพงบ้านและประตูบ้านคน ซึ่งมักเขียนคำจีนอันไพเราะไว้ที่บานประตูทั้งสอง อึดใจเดียวนักวิ่งทนรุ่นหนุ่มก็พารถมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านแห่งหนึ่ง เขาเคาะห่วงทองเหลืองที่ห้อยอยู่บนบานประตู ๒-๓ ที ครู่เดียวก็มีเสียงชักกลอนไม้ข้างใน แล้วบานประตูก็แย้มออก หญิงชราผู้หนึ่งโผล่หน้าอันเหี่ยวย่นออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นรถที่บ้าน ก็งันงกเปิดประตูออกทั้งสองบาน แล้วร้องเชิญข้าพเจ้าให้เข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าตามหญิงชราผู้นี้เข้าไปในห้องรับแขกซึ่งจัดไว้อย่างโอ่โถงภายในตัวตึกด้านตะวันออก บ้านของจางหลินเป็นบ้านเก่าแบบจีนแท้–และทั่วปักกิ่งก็เป็นบ้านแบบนี้เกือบทั้งนั้น กล่าวคือมีตึกชั้นเดียวหลังคาลูกฟูก หลังหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเป็นที่ว่างลาดด้วยกระเบื้องซิเมนต์ ตึกสร้างแบบง่าย ๆ คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงประมาณ ๘ ศอก ตรงกลางเจาะเป็นช่องประตู ในตึกมีห้องเพียงสามห้องเป็นอย่างมาก เรียงกันเป็นตับ รูปร่างของดีกซิ่งเหมือนกันหมดทั่วปักกิ่ง หรือเกือบทั่วประเทศจีนนี้ เมื่อพิจารณาดูแล้วก็คล้ายกระโจม (Tent) มากกว่าจะเป็นบ้านที่มีซอกมีมุมกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างบ้านในประเทศอื่น ๆ มีผู้สันนิษฐานว่า บ้านชาวจีนซึ่งรักษาแบบอย่างเหมือนกันเรื่อยมาตลอดพัน ๆ ปีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปนี้ ย่อมเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่แสดงว่า แต่เดิมเป็นชาติมนุษย์ที่เร่ร่อนอยู่ไม่เป็นที่ (Nomads) คือเร่ร่อนอยู่ทางขอบทะเลแคสเปียน เมื่อต้องเร่ร่อนอยู่ไม่เป็นที่เช่นนั้น จึงต้องกางกระโจมอยู่ เพื่อสะดวกแก่การรื้อถอน โดยเหตุนี้เมื่อเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในลุ่มแม่น้ำเหลือง และขยายตัวออกไปทั่วแผ่นดินจีนจึงยังคงติดนิสัยเดิม ชอบสร้างบ้านแบบกระโจมมีชั้นเดียว หลังคาสามเหลี่ยมง่าย ๆ แม้แต่พระที่นั่งต่างๆ ในวังหลวง ก็สร้างชั้นเดียวคล้ายศาลาใหญ่หรือกระโจมทั้งนั้น บ้านของจางหลินเป็นบ้านเก่ามาก คงจะปลูกสร้างมาหลายสิบปีแล้ว แต่เจ้าของรักษาความสะอาดตกแต่งอย่างประณีต มีการฉาบสีและปูนใหม่ ที่ฝาผนังปิดกระดาษใหม่เอี่ยม เพราะย่างเข้าฤดูหนาว ตามธรรมดาเมื่อย่างเข้าเขตเหมันต์หรือตงเทียน เขามักเปลี่ยนกระดาษปิดฝาห้องด้านหน้าเสียใหม่ เพราะฝาด้านนี้ส่วนบนสร้างด้วยไม้ระแนงโปร่ง ตรงกลางฝาฝังกระจกซึ่งเจ้าของอาจทำม่านรูดติดไว้ข้างในก็ได้ตามอัธยาศัย ที่ไม้ระแนงโปร่งซึ่งขัดกันเป็นรูปต่างๆ นี้ เขาเอากระดาษว่าวสีขาวปิดทับไว้แลดูขาวสะอาดดี แสงสว่างลอดเข้าไปข้างในห้องได้ กระดาษนี้อาจจะฉีกขาดออกเป็นช่องหรือเป็นรูเล็กๆ ซึ่งในฤดูหนาวกระแสลมอันเย็นเฉียบพัดลอดเข้าไปทำลายความอบอุ่นของเตาถ่านหินข้างใน ฉะนั้นพอเริ่มเข้าเขตเหมันต์ บ้านคนมีจึงมักปิดกระดาษกันใหม่ ส่วนบ้านคนจนก็ใช้ปะเอาตามรูรั่ว เหตุผลที่ฝาผนังด้านหน้าไม่กรุไม้ทึบหรือสร้างเป็นกำแพงถาวรเสียเลยนี้ ก็คงเนื่องมาจากบ้านแบบนี้ไม่มีหน้าต่างเลย ฝาอีกสามด้านเป็นกำแพงทึบ อย่างดีก็มีช่องลมเล็ก ๆ อยู่ข้างบนนิดหนึ่ง ฉะนั้นฝาด้านหน้าจึงต้องทำระแนงโปร่ง ปิดกระดาษขาวพอแสงสว่างลอดเข้าไปได้ ผู้ที่ไม่เคยอยู่อาจรู้สึกอึดอัด ข้าพเจ้าต้องใช้เวลาร่วมปีจึงค่อยชินต่อบ้านแบบนี้