๒๕
ปาฐกถาของ ดร. เจียงเมิ่งหลิน เป็นปาฐกถาชิ้นแรกที่ข้าพเจ้าได้ฟังในปักกิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้รับประโยชน์อย่างเกินคาดจากการฟัง ดร. เจียงพูด ข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่เรื่องเมืองจีนหลายอย่าง ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจว่าทำไมจีนจึงรวมกันไม่ได้ และอนาคตของจีนน่าจะบ่ายโฉมหน้าไปทางไหน ดร. เจียงเป็นชายร่างสูงผอมบาง คางใหญ่ อายุประมาณ ๕๐ ปี พูดจาฉาดฉาน มีเสน่ห์ดึงดูดใจคนฟังอย่างประหลาด จวนฟางเล่าให้ฟังว่า ดร. เจียงเป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์รักมากที่สุดคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยเยียนจิง ซึ่งตั้งอยู่ที่ชานเมืองปักกิ่งทางภาคตะวันตกใกล้ ๆ กับว่านโส้วซาน อันเป็นที่ประทับร้อนของราชวงศ์ชิง มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถานศึกษาของจวนฟาง มีชื่อเสียงโด่งดังมากในจีนเหนือ เพราะคณาจารย์ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในวงการศึกษาของจีนทั้งนั้น ดร.เจียงเป็นอาจารย์ประจำอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ เป็นนักปรัชญาลือชื่อของจีน เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุด คำพูดของบุรุษผู้นี้ได้เตือนใจให้ข้าพเจ้าระลึกว่า ชาวตะวันออกเป็นเจ้าของวัฒนธรรมอันเก่าแก่ควรภาคภูมิใจได้อย่างไรบ้าง ตะวันออกเป็นแม่แห่งความเจริญของชาติมนุษย์แม่หนึ่ง แต่ทำไมตะวันออกจึงล้าหลังกว่าตะวันตกหลายประการตลอดศตวรรษปัจจุบัน? นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ ดร. เจียงพูดทิ้งไว้ ซึ่งคงจะได้พูดต่อไปอีกในคราวหน้า
นอกจากประโยชน์ในการฟัง ข้าพเจ้ายังได้รับประโยชน์อีกอย่างหนึ่งในวันนั้น จวนฟางได้แนะนำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับโจวกวอเสียน กงสุลคนเก่าประจำเกาะชวาและเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในทะเลใต้ โจวกวอเสียนเป็นคนอ้วนเตี้ย อายุประมาณ ๕๕ ปี ผมหงอกขาวเป็นส่วนมาก ไว้หนวดซึ่งขริบไว้อย่างเรียบร้อย ท่าทางมีสง่า พูดเก่งและพูดได้หลายภาษา เขารู้ภาษาไทยหลายคำ เพราะเคยติดต่อกับคนไทยเมื่อครั้งเป็นกงสุลอยู่ทางภาคใต้ โจวเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้ามาก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนไทยคนแรกที่เขามีโอกาสได้รู้จักในปักกิ่ง วันนั้นข้าพเจ้าเชิญจวนฟางและโจวกวอเสียนรับประทานอาหารกลางวันที่หอพักทางตึกด้านตะวันออก เราได้คุยกันถึงเรื่องเมืองจีนและเมืองไทย โจวได้แสดงความยินดีในการที่ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นคนไทย ข้าพเจ้าประหลาดใจในคำพูดของเขามากจึงกล่าวว่า
“ท่านให้เกียรติยศฉันมากที่พูดเช่นนี้ บางทีท่านอาจมีเหตุผลที่น่าฟังมากทีเดียว”
โจวกวอเสียนหัวเราะด้วยอารมณ์ที่ร่าเริง วางมือลงบนแขนของข้าพเจ้าแล้วตอบว่า
“ฉันเคยรู้เรื่องเมืองไทยมาบ้าง เมืองไทยเป็นเมืองที่สบายมากไม่ใช่หรือ?”
“ในฐานที่ฉันเป็นคนไทยฉันก็รู้สึกเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบอย่างถ่อมตัว เพราะเคยทราบว่าชาวจีนชอบการถ่อมตัวเป็นที่หนึ่งในโลก
“ท่านเรียนการถ่อมตัวได้เร็วพอใช้” โจวพูดแล้วหัวเราะอีก “ฉันรู้ว่าเมืองไทยสบายมาก ฉันอยากไปอยู่เหลือเกิน ฉันเบื่อเมืองจีนบอกตรง ๆ”
“เมืองจีนเป็นเมืองน่าอยู่ ฉันชอบเมืองจีนมากทีเดียว” ข้าพเจ้ากล่าวเป็นเชิงแย้ง
“ท่านชอบอะไรในเมืองจีนบ้าง” โจวมองหน้าข้าพเจ้าด้วยสายตาอันคมวาว คล้ายกับจะค้นหาความจริงซึ่งเขาคิดว่าข้าพเจ้าพยายามปกปิดไว้
ข้าพเจ้าหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า
“ฉันชอบดอกไม้ในฤดูสปริง ชอบหิมะในฤดูหนาว ชอบปราสาทราชวังที่สวยงามมาก ชอบนิสัยชาวจีนที่เต็มไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ”
“ขอบใจที่ท่านพยายามให้เกียรติยศแก่บ้านเมืองของฉัน”
“เปล่า! ฉันพูดด้วยความจริงใจ” ข้าพเจ้าขัดขึ้นโดยเร็ว “จวนฟางเป็นพยานได้ดีว่าฉันชอบเมืองจีนมาก”
“ระพินทร์เคยพูดว่าอยากจะอยู่ที่ปักกิ่งหลาย ๆ ปี” จวนฟางเอ่ยขึ้น
โจวผู้เฒ่ายิ้มอย่างร่าเริงตามเคย จับแขนข้าพเจ้าเขย่าซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขาชอบทำ แล้วพูดว่า
“ท่านอาจชอบปักกิ่งมาก ฉันรู้ ใครๆ ก็ชอบปักกิ่ง ปักกิ่งเป็นเมืองสงบ เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมของเรา มีของเก่า ๆ น่าดูเยอะแยะ ถ้ายกเว้นฝุ่นเสียแล้ว ฉันว่าปักกิ่งเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด ถ้าเมืองจีนเป็นปักกิ่งได้ทั้งหมด ฉันจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก”
ข้าพเจ้ามองตานักการเมืองผู้เฒ่า รู้สึกว่าเขาได้ซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ากระไร
แล้วโจวกวอเสียนก็กล่าวต่อไปว่า
“มีหลายอย่างที่ทำให้ฉันชอบเมืองไทย ประการแรกเมืองไทยเป็นเมืองที่สมบูรณ์พูลสุขที่สุดในโลก ฉันยังไม่เคยได้ยินว่าเมืองไทยขาดแคลนอาหาร จนมีคนอดอาหารตายเป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสน เมืองไทยไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีสงครามกลางเมือง ที่สำคัญที่สุดนั้นเมืองไทยมีอิสรภาพ มีเสรีภาพร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ท่านทำให้ฉันมีความสุขที่กล่าวเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่ท่านยินดีที่ฉันเป็นคนไทย” ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ
โจวกวอเสียนยังคงมีสีหน้าจริงจังอยู่เช่นเดิม
“ฉันอาจจะพูดตรงเกินไปที่ว่าฉันเบื่อเมืองจีน แต่เราพูดกันระหว่างพวกเราชาวตะวันออกดูจะไม่เป็นไรนัก แต่ความจริงของเมืองจีนเป็นความจริงที่ไม่มีใครที่ไม่รู้ แทบทุกคนในโลกรู้ดีว่าเมืองจีนเป็นอย่างไร ตลอดเวลานี้เราชอบรบกันเอง จนบางครั้งฉันไม่รู้จะหนีไปซุกหัวอยู่ที่ไหน”
“ฉันควรจะได้มาปักกิ่งเมื่อสองปีก่อน” ข้าพเจ้าพูดแล้วหันมาทางจวนฟาง “แต่ศึกเฟงยุกเสียงทำให้ฉันมาไม่ได้”
“ยังงั้นหรือ?” โจวเลิกคิ้วถาม “นายพลคริสเตียนผู้นี้มีทหารดีมาก ระเบียบวินัยเจี๊ยบ รบเก่ง เฟงเป็นคนไม่ชอบยศศักดิ์ กินง่ายนอนง่าย แต่งตัวเหมือนพลทหาร ดูเหมือนจะทำตัวเอาอย่างมหาตมะคัณทีเข้าไปทีเดียว แต่อะไรก็ตามเถิด ฉันไม่ชอบสงครามกลางเมือง”
จวนฟางหันมาทางข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “เรากำลังอยู่ในระยะที่มืดมัวสักหน่อย แต่เราก็มีดอกเถางามสะพรั่งทุกๆ ฤดูสปริง มันช่วยเรามากทีเดียวระพินทร์”
โจวกับข้าพเจ้าหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ดอกเถา! ฤดูสปริง! ดอกเถากับสงครามกลางเมือง!