๓๒
“เมืองจีนเป็นละครโรงใหญ่” หม่อมเจ้าอากาศดำเกิงเพื่อนร่วมโรงเรียนผู้เป็นที่คุ้นเคยอันสนิทของข้าพเจ้า ได้กล่าวไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านนักประพันธ์ผู้เล่นละครแห่งชีวิตจบเรื่องไปแล้วผู้นี้ ได้กล่าวไว้ด้วยความถูกต้องทุกประการ เมืองจีนเป็นละครโรงใหญ่ที่สุดในโลก ที่ว่าใหญ่ที่สุด ก็เพราะว่าละครเมืองจีนมีคนแสดงถึง ๔๕๐ ล้าน มีเวทีกว้างใหญ่ไพศาล มีประวัติความเป็นมาเป็นเวลาพัน ๆ ปีขึ้นไป ละครโรงนี้ยังแสดงไม่จบเรื่อง แม้ในขณะที่ข้าพเจ้าบันทึกเรื่องนี้อยู่ ละครโรงใหญ่ก็ยังคงแสดงต่อไป ยังมีบทบาทอีกมากที่เราจะได้ดูจากละครโรงนี้—บทโศกของประวัติศาสตร์ที่ชอบซ้ำรอยของมันเสมอ ละครเมืองจีนเป็นละครที่ข้าพเจ้าคิดว่าสามารถเป็นบทเรียนของชีวิตแห่งพวกเราชาวตะวันออกได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าตลอดเรื่องซึ่งยังไม่จบ ล้วนเต็มไปด้วยบทบาทของชีวิตที่สอนข้าพเจ้าว่าโลกนี้ชีวิตคือการต่อสู้ที่ไม่มีกติกา ความเจริญทั้งปวงที่มนุษย์คุยว่าได้สร้างขึ้นอย่างงดงามด้วยอำนาจของวิทยาศาสตร์ เป็นแต่ความเจริญด้านเดียว คือทางด้านวัตถุ ข้าพเจ้ายังไม่คิดว่าจิตใจของมนุษย์ได้เจริญพอที่จะทำให้การต่อสู้ของชีวิตมีกติกาของสุภาพบุรุษเกิดขึ้นได้ คติที่ว่าสัตว์ใหญ่ย่อมกินสัตว์เล็กย่อมจะยังมีอยู่ และจะมีอยู่อีกนานโดยที่ไม่มีใครจะกำหนดได้ นี่เป็นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องเตรียมตัวสู้อยู่ทุกวินาที—สู้กับความป่าเถื่อนที่มนุษย์จะพึงประพฤติต่อกัน ข้าพเจ้าแน่ใจว่าในโลกเช่นนี้ ความตายก็คือรางวัลของผู้ที่อ่อนแอ ผู้ใดทำตัวให้ล้าหลังไม่คิดก้าวหน้า ผู้นั้นก็เท่ากับคนที่ตายแล้ว กำลังและอำนาจอย่างเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินว่าผู้ใดควรจะรอดชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าขยายความรู้สึกอันนี้ออกไปถึงประเทศชาติ ก็มองเห็นถนัดว่า สมัยของท่านและข้าพเจ้าเป็นสมัยที่น่าสะพรึงกลัวนัก–เป็นสมัยที่อนุประเทศควรสังวร—เป็นสมัยที่ประเทศซึ่งยังขาดกำลังอำนาจจะต้องรีบก่อร่างสร้างตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นโดยด่วนที่สุด เราทุกคนแม้แต่ประเทศชาติได้ขึ้นมาอยู่บนเวทีของการต่อสู้แล้ว และบนเวทีแห่งนี้รอยคราบของสมัยหินยังเหลืออยู่อีกมาก เราจะต้องสู้กันโดยปราศจากกติกา กำลังอำนาจยังคงเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่มนุษย์จะพึ่งได้ ช่วยอะไรกันได้เล่าท่าน ในเมื่อคนเป็นอันมากยังไม่พยายามจะสลัดรอยคราบของสมัยหินให้หลุดพ้นไปเสียจากชีวิตจิตใจ เขายังคงถือคติว่าใครดีใครได้ทีใครทีมัน–ยังคงพยายามเอาเปรียบกันกดขี่กัน และโกงกันทุกๆ โอกาสที่จะโกงได้ เมื่อเราไม่อยากถูกโกง ไม่อยากถูกย่ำเหยียบ ไม่อยากเป็นทาสใคร เราก็ต้องต่อสู้ เราไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ โดยเหตุนี้เองโลกจึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ทั้งทางฝ่ายที่รุกรานและฝ่ายที่ป้องกันตัว ผลที่เกิดขึ้นก็คือความอลหม่านอย่างร้ายแรง ซึ่งอาจกวาดล้างโลกให้เตียนโล่งได้อย่างดี ๆ ถ้าวิทยาศาสตร์เจริญกว่านี้อีกหลาย ๆ เท่า
ละครเมืองจีนที่จางหลินเล่าให้ข้าพเจ้าฟังกับที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาด้วยตนเอง ทำให้ข้าพเจ้าสำนึกตัวได้ว่า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย ข้าพเจ้าคงจะได้พบการต่อสู้ที่น่าสลดใจอีกไม่น้อยเลย แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า การต่อสู้ชนิดนี้เป็นของธรรมดาสำหรับโลก ในสมัยเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ประหลาดใจ ข้าพเจ้าได้แต่พยายามจะตัดสินใจว่าข้าพเจ้าควรจะเลือกทางเดินอย่างไรดี ข้าพเจ้าควรจะขึ้นไปอยู่บนยอดดงพญาเย็น หรือว่าข้าพเจ้าควรจะอยู่ต่อไปอย่างนี้–อยู่ด้วยการต่อสู้เพื่อที่จะได้มีโอกาสรอดชีวิตอยู่ด้วยความปกติสุขในขอบเขตอันสมควร อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ชีวิตคือการต่อสู้! นั่นไม่มีปัญหาเลย ข้าพเจ้าจะต้องต่อสู้เหมือนกัน เพราะข้าพเจ้ายังอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ แต่การต่อสู้ของข้าพเจ้าคงจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ปราศจากกติกา ข้าพเจ้าเคยเล่นกีฬาและข้าพเจ้ารู้สึกว่าการต่อสู้ของนักกีฬาที่ดีเป็นการต่อสู้ที่สะอาดหมดจดและเปิดเผยทุกประการ ไม่มีการปัดขาหลังไม่มีการซ้ำเติม มีแต่การพบกันซึ่ง ๆ หน้า แล้วก็ต่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้าอย่างลูกผู้ชายใจนักเลง ข้าพเจ้าคิดว่าการต่อสู้ของชีวิตจะงดงามมาก ถ้าเราจะต่อสู้กันอย่างสะอาดหมดจดเช่นนี้