๕๒
“ศัตรูคนใหม่ของต้วนฉีร่วยก็คือ หวูเพ่ฝู หลังจากที่เหลียงฉีเชากับพรรคเหยียนจิวได้คว่ำไปแล้ว ต้วนก็ต้องเผชิญหน้ากับหวูต่อไปอีก หวูเพ่ฝูเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในพรรคจื๋อลี่ มีทหารอยู่ในกำมือมากพอที่จะทำให้ต้วนสะดุ้งสะเทือน หวูได้ต่อสู้กับพรรคอันฝู่ด้วยพู่กันเป็นเบื้องต้น โดยกล่าวหาว่าพรรคอันฝู่ขายชาติ ถ้าราษฎรไม่กำจัดเสีย อีกไม่ช้าประเทศจีนทั้งประเทศก็จะต้องตกเป็นทาสของชาติอื่น การโจมตีของหวูได้ผลมาก เพราะเวลานั้นราษฎรที่ได้รับการศึกษาดีแล้วย่อมเอาใจช่วยหวูโดยทั่วหน้ากัน ต้วนเห็นท่าไม่ค่อยดีก็เตรียมตัวสู้ โดยจัดตั้งกองทหารขึ้นใหม่ให้ชื่อว่ากองทัพติ้งกวอจุน ต้วนมีเครื่องอาวุธทันสมัยมาก ฉะนั้นจึงนึกเชื่อตัวเองว่าหวูคงจะทำอะไรตนไม่ได้ แต่ต้วนหาได้คิดไม่ว่า ปัญหาเรื่องคนมีความสำคัญไม่น้อยกว่าปัญหาเรื่องอาวุธ ถ้าคนไม่ดีอาวุธก็ไม่มีประโยชน์ ทหารของต้วนล้วนใช้การไม่ได้เป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้นจึงทำให้ต้วนต้องปราชัยแก่หวูอย่างง่ายดาย
“เมื่อได้วิวาทกันด้วยปากและพู่กันอย่างพอเพียงแล้ว สงครามกลางเมืองก็เริ่มต้น หวูเพ่ฝูส่งทหารตีโอบปักกิ่งเข้าไป ต้วนส่งทหารออกตีโต้หลายสาย แต่พอปะทะกันไม่ทันไรก็ยอมแพ้หวูหมด ประกอบด้วยจางโฮหลินได้ส่งทหารรุกขนาบลงมาทางเหนือด้วย ทหารของต้วนจึงเสียขวัญไม่มีใจจะสู้รบ ศึกครั้งนั้นจึงสงบภายใน ๖-๗ วันโดยหวูเป็นฝ่ายชนะ
“ที่จริงศึกครั้งนั้นประธานาธิบดีสฉู่ชื่อชางเป็นใจให้เกิดขึ้น เพื่อยืมมือหวูเพ่ฝูกำจัดต้วนฉีร่วย ต้วนกับพรรคอันฝู่มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นจึงคิดกำจัดเสียแต่ต้น ๆ มือ เพื่อจะรักษาอำนาจของตนไว้ โดยเหตุนี้เมื่อต้วนต้องปราชัยลงเพราะน้ำมือของหวู สฉู่ชื่อชางจึงดีใจมาก หลังจากที่กองทัพติ้งกวอจุนของต้วนได้แตกพ่ายไปแล้ว ประธานาธิบดีสฉู่ก็ออกคำสั่งให้สันติบาลจับสมาชิกคนสำคัญของพรรคอันฝู่ราวสิบคน สมาชิกพรรคอันฝู่คนอื่น ๆ ได้หนีเอาตัวรอดไปอาศัยอยู่ในเขตสถานทูตต่างประเทศ ตัวต้วนฉีร่วยได้ยอมแพ้อย่างราบคาบ แต่หาได้หนีไปไหนไม่ เพราะรู้ดีว่าหวูเป็นคนใจนักเลง คงจะไม่เอาโทษอะไรกับตน สฉู่ชื่อชางได้จัดการประกาศปิดสาขาที่ทำการต่าง ๆ ของพรรคอันฝู่ตลอดปักกิ่ง ซึ่งทำให้พรรคการเมืองสำคัญนี้สิ้นอำนาจไปชั่วขณะ แท้จริงศึกระหว่างหวูกับต้วนนี้ ผู้ชนะอันแท้จริงหาใช่หวูไม่ สฉู่ต่างหากที่เป็นผู้ชนะที่ได้รับความสมหวังแทบทุกอย่าง สฉู่ใช้ต้วนกำจัดเหลียงฉีเชาเสร็จแล้วก็ใช้หวูกำจัดต้วนอีกทีหนึ่ง เมื่อหวูทำธุระเสร็จแล้ว สฉู่ก็มิได้แต่งตั้งให้หวูเป็นใหญ่เป็นโตอะไร เพราะเกรงว่าจะมีอำนาจมากจนตนต้องเดือดร้อนอีก
“แต่หวูเพ่ฝูเป็นคนกว้างขวาง ชื่อเสียงได้ทวีขึ้นทุกวัน คนนับหน้าถือตามาก ในที่สุดก็เป็นใหญ่ขึ้นเองโดยไม่ด้องมีใครแต่งตั้ง ความใหญ่โตของหวูทำให้ประธานาธิบดีสฉู่เกิดกลัวขึ้นมาอีก จึงลงมือใช้วิธีเก่าต่อไป คือยืมมือคนอื่นมากำจัดหวู ดังเช่นที่เคยทำมาแล้วคราวก่อน ๆ และผู้ที่ให้มือสฉู่ยืมคราวนี้ก็คือ จางโซหลิน ซึ่งมีฉายาว่า กษัตริย์ผู้ปราศจากมงกุฎแห่งแมนจูเรีย
“จางโซหลินแท้จริงก็เป็นคนซื่อไม่น้อยกว่าหวูเพ่ฝู นี่เป็นความเห็นของฉันซึ่งอาจไม่ตรงกับความเห็นของคนอื่น ๆ ก็ได้ จางโซหลินผิดกับหวู ก็เฉพาะที่ไม่มีความรู้ทางอักษรศาสตร์เลย หวูนั้นเก่งทั้งทางพู่กันและทางอาวุธ หวูแต่งโคลงเก่งมาก เป็นจินตกวีที่เอาเรื่องคนหนึ่ง ได้รับการศึกษาดี เฉลียวฉลาด สายตาไกล ส่วนจางไม่ได้รับการศึกษาแต่อย่างใด มีแต่ความซื่อ ฉะนั้นจึงถูกชักจูงง่ายซึ่งทำให้มีใจไม่แน่นอน จางโซหลินช่วยหวูกำจัดต้วนเสร็จไปแล้ว ก็เกิดกลัวหวูจะมีอำนาจมากไป ความกลัวได้กลายเป็นความริษยา พอถูกคนยุเข้าหน่อยจางก็เลยเกลียดหวูเอาง่าย ๆ ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดศึกกลางเมืองขึ้นอีก
“หวูเพ่ฝูยิ่งมีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ซึ่งหมายถึงความเป็นใหญ่ในวงการเมืองแห่งพรรคจื๋อลี่ด้วย ต้วนฉีร่วยเวลานั้นยังเป็นอิสระอยู่ เมื่อเห็นหวูมีอำนาจมากไปก็คิดอ่านจะโค่นหวูด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาตลอดเวลา ในที่สุดก็เกิดการรวมหัวขึ้นระหว่างจนสำคัญสามคนคือ ดร. ซุนยัดเซน ต้วนฉีร่วย และจางโซหลิน คนทั้งสามนี้ได้ร่วมมือกันแสดงเจตนาจะโค่นหวูเสีย ข้อตกลงมีว่าเมื่อกำจัดหวูสำเร็จแล้ว ดร. ซุนจะได้เป็นประธานาธิบดี ต้วนจะได้เป็นรองประธานาธิบดี และเหลียงชื่ออี้ซึ่งเป็นคนของจางโซหลินจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี การที่ ดร. ซุนนำตัวเข้าไปร่วมมือกับต้วนและจางครั้งนั้น ได้กลายเป็นจุดด่างจุดหนึ่งซึ่งมีคนพูดกันมาก
“หวูเพ่ฝูเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ใคร ประกอบด้วยขณะนั้นผู้คนนิยมมาก เพราะหวูได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่าตนต้องการจะหักล้างคนขายชาติจริง ๆ หวูไม่ต้องการอะไร ไม่มีความทะเยอทะยานที่จะมีอะไรเป็นส่วนตัว หวูมีชีวิตง่าย ๆ กินนอนคลุกอยู่กับพลทหาร ไม่มีทรัพย์สมบัติส่วนตัวมั่งคั่งแต่อย่างใด เพราะตลอดเวลาที่มีอำนาจ หวูไม่ได้กอบโกยอะไรไว้เลย เหล่านี้เป็นเครื่องประกันความซื่อตรงต่ออุดมคติของหวูซึ่งทำให้คนนับถือยำเกรงทั่วไป หวูได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากเวลาเกิดเรื่องกับจางโซหลิน โดยเหตุนี้ ถึงจะถูกปรปักษ์เล่นงานรอบข้าง แต่ก็มีขวัญดีเสมอไม่ย่อท้อถอยหลังเลย
“แล้วศึกระหว่างหวูเพ่ฝูกับจางโซหลินก็เร่มต้น หวูกำลังใจดีมากรบด้วยความมั่นใจว่าจะชนะ ทหารก็รักใคร่เชื่อฟัง จึงเอาชนะจางโซหลินได้ตลอดทุกด้านเพียงชั่วเวลาไม่นาน จางพ่ายแพ้ก็หนีกลับไปแมนจูเรีย และหวูก็มีอำนาจใหญ่โตยิ่งขึ้นอีก
“หวูเพ่ฝูไม่ใช่คนโง่ เคยรู้ดีว่าประธานาธิบดีสฉู่ชื่อชางชอบยืมมือคนนั้นเล่นงานคนนี้บ่อยๆ การที่หวูกำจัดต้วนฉีร่วยครั้งนั้น ที่จริงไม่ใช่เพราะว่าหวูไม่รู้เท่าสฉู่ แต่หากเป็นเพราะหวูมีเรื่องอยู่กับต้วนจึงยอมตัวเข้ารบกับต้วน มาคราวนี้หวูรู้ดีว่าสฉู่ต้องการให้จางโซหลินกำจัดตนบ้าง เพราะฉะนั้นพอชนะจางแล้วหวูก็หันมาเล่นงานสฉู่ทันที ประธานาธิบดีสฉู่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หลี่หยวนหุงเข้ามาเป็นประธานาธิบดีแทนอีกครั้งหนึ่ง หวูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่หวูปฏิเสธไม่ยอมรับ กลับคุมทหารออกไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง) ใต้ปักกิ่งลงไปทางแม่น้ำเหลือง ทั้ง ๆ ที่หวูไม่รับร่วมกับคณะรัฐบาล อำนาจการเมืองในจีนเหนือก็ยังติดตามไปอยู่กับหวูจนได้ ทั้งนี้เพราะอำนาจทหารที่หวูกำไว้ในมือ เวลานั้นศูนย์กลางของการเมืองหาได้อยู่ที่ปักกิ่งไม่ แต่กลับไปวนเวียนอยู่ที่เมืองลั่วหยางซึ่งหวูเข้าไปตั้งมั่นอยู่
“ฉันเล่ามาถึงเพียงนี้ เธอคงจะเห็นว่าการเมืองของเราตลอดยุคปฏิวัติยุ่งเหยิงอย่างน่าเวียนหัว แต่ยังมีเรื่องที่น่าเวียนหัวอีกมาก ซึ่งถ้าเธอได้ทราบ เธอก็คงเข้าใจดีว่า ทำไมฉันจึงมานั่งเขียนหนังสือพิมพ์ ฉันอาจทำประโยชน์ให้แก่ชาติฉันเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่อาจไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ยังดีกว่าที่ฉันจะหนีเอาตัวรอดโดยไม่ได้ทำอะไรให้แก่ชาติเลย”