๒๖

การพบปะกับโจวกวอเสียนในวันนั้นได้ให้ข้อสังเกตแก่ข้าพเจ้าข้อหนึ่ง นั่นคือ ความรู้สึกของชาวจีนที่มีต่อบ้านเมืองของเขา โจวกวอเสียนมีความรู้สึกเช่นเดียวกับจางหลินในเรื่องความแตกแยกของประเทศชาติ สงครามกลางเมือง ตลอดจนการมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างร้ายแรงในบรรดาประมุขของราษฎร ได้ทำให้ความใหญ่ของประเทศและจำนวนพลเมือง ๔๕๐ ล้านไม่มีความสำคัญอะไรเลย ปาฐกถาของ ดร. เจียงก็เป็นข้อยืนยันความรู้สึกของชาวจีนอีกข้อหนึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ของประเทศจีนในขณะนั้น ความรู้สึกของคนเหล่านี้ได้ช่วยให้ข้าพเจ้าค่อย ๆ จับความสำคัญได้ทีละน้อยว่า มติมหาชนในวงราษฎรชาวจีนผู้มีการศึกษาดีนั้น มีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร จวนฟางเป็นสตรีที่มีการศึกษาดีผู้หนึ่ง ความรู้สึกของสตรีผู้นี้ช่วยให้ข้าพเจ้าคะเนได้ว่า บรรดาสตรีชาวจีนผู้ได้ผ่านการศึกษามาแล้ว มีความนึกคิดอย่างไรในเรื่องชาติบ้านเมือง ข้าพเจ้าเพิ่งผ่านชีวิตในปักกิ่งมาได้ไม่นาน แต่การพบปะสนทนากับมิตรสหายผู้มีอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นภาพเมืองจีนถนัดขึ้นเสมอ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าอยู่เมืองไทย ข้าพเจ้าเคยอ่านข่าวสงครามกลางเมืองของประเทศจีนบ่อย ๆ ความเห็นของนักเขียนคนสำคัญ ๆ ของไทยเช่น อัศวพาหุ ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติของจีน ข้าพเจ้าก็เคยอ่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในหน้ากระดาษ ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ภาพอันสลดใจทั่วทั้งแผ่นดินจีน ข้าพเจ้าคิดว่าจีนเป็นประเทศที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เป็นแผ่นดินของความตายและความทุกย์ยากด้วยประการทั้งปวง ความรู้สึกอันนี้ทำให้ข้าพเจ้าใจเต้นเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องไปเมืองจีน วันแรกที่ขึ้นบกที่ซัวเถา ข้าพเจ้าแลเห็นทหารและตำรวจถือปืนทั้งสั้นและยาวเกะกะอยู่ตามถนน ข้าพเจ้าไม่ประหลาดใจ เพราะข้าพเจ้าเตรียมตัวมาแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ เช้าวันแรกที่เรือคาลกันถึงท่าเมืองซัวเถา ข้าพเจ้าก็ได้ข่าวเรื่องการยิงเป้ากันเป็นการใหญ่ที่ชายทะเล ผู้โดยสารเรือหลายคนรีบลงเรือบตไปดู แต่ข้าพเจ้าคงเก็บตัวอยู่ในเคบิน เพราะมีความรู้สึกว่า การดูความตายของคน หรือแม้แต่หมูหรือวัวที่เขานำไปฆ่าไม่ใช่ของสนุกอะไร แม้มันจะเป็นเสมือนเรื่องละครแห่งความสลดใจฉากสุดท้ายก็ตามเถิด แต่มันก็สลดใจจนเกินที่เราจะหาความเพลิดเพลินอะไรได้ ข้าพเจ้าคิดว่าโลกนี้เศร้ามากพออยู่แล้วสำหรับข้าพเจ้า ฉะนั้น ถ้าแม้จะมีโอกาสหลีกเลี่ยงความเศร้าได้ ข้าพเจ้าก็จะเลือกเอาข้างหลีก ซัวเถา–ละครเมืองจีนฉากแรก–ข้าพเจ้าได้พบสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะพบเลยในรุ่งอรุณวันแรก ที่เรือคาลกันเข้าไปทอดสมออยู่ในอ่าว

อย่างไรก็ดี ความน่ากลัวของเมืองจีนได้ลดหายลงไปทุกทีตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่ง นครโบราณแห่งนี้ได้ให้ความรู้สึกใหม่ๆ แก่ข้าพเจ้าหลายประการ ข้าพเจ้าได้พบความสงบที่แวดล้อมไปด้วยศิลปอันงดงามเก่าแก่นับด้วยจำนวนศตวรรษ ข้าพเจ้าได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติที่ชื่นชูใจในฤดูเหมันต์ เรามีหิมะอันขาวสะอาดประหนึ่งจะหลอกว่าโลกนี้บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเมืองสวรรค์ ในฤดูสปริงเรามีดงดอกเถาแดงสะพรั่งไปทุกหนทุกแห่ง ในฤดูร้อนเราออกไปฟังเสียงนกร้องเพลง และเสียงน้ำเซาะตลิ่งในลำธาร เรามีความเศร้าเพียงฤดูเดียวคือ ขณะที่ใบไม้ร่วงและลมพัดจัด แต่ความเศร้านั้นทุกคนชินเสียแล้ว เสียงลมได้กลายเป็นเสียงเพลงโศก ประกอบด้วยภาพใบไม้สีแดงที่ร่วงลงจากกิ่งตกเกลื่อนแผ่นดิน นี่คือภาพกรุงปักกิ่ง–นครแห่งความสวยงามอันสงบเงียบ–นครแห่งความหลังของระพินทร์ พรเลิศ ปักกิ่งทำให้ข้าพเจ้าหายกลัวเมืองจีนลงไปบ้าง ข้าพเจ้าเริ่มแลเห็นความสวยงามของชีวิตที่ลึกซึ้งตรึงใจ แต่ความสวยงามนั้นไม่วายที่จะมีความเศร้าแซกอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง ระพินทร์ พรเลิศไม่ใช่คนโชคดี เขาหนีความเศร้าไม่พ้น แต่เขาอาจจะพบความสุขอย่างแท้จริงได้บ้างกระมัง เมื่อถึงเวลาที่เขาจะออกเดินทางไปสู่โลกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ