๔
ในปักกิ่ง จางหลินอาจเป็นเพื่อนใหม่คนแรกของข้าพเจ้าก็ได้ ข้าพเจ้าพบจางหลินก่อนพบ วารยา ราเนฟสกายา แต่การที่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงเขาเลยในเรื่องของ วารยา ก็เพราะต้องการจะสงวนไว้ เพื่อบันทึกเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ระหว่างจางหลินกับข้าพเจ้า วันแรกที่เราพบกันเราก็รู้ได้ทันทีว่า เราคงจะรักกันได้ และก็เป็นจริงเช่นนั้น ไม่มีอะไรจะทำให้ข้าพเจ้าลืมจางหลินได้เลย แม้เวลาจะได้ผ่านไปแล้วเป็นจำนวนปี
ข้าพเจ้าไม่ลืมวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ วันนั้นข้าพเจ้าออกเดินทางจากเซี่ยงไฮ้กลับไปปักกิ่ง รถไฟสายจิน–ผู่ ซึ่งเชื่อมผูโขว่ที่นานกิงกับเทียนสินขนัดแน่นไปด้วยผู้คน ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะคุ้นเคยกับเมืองจีนอยู่บ้างตามสมควร แต่การเดินทางลึกเข้าไปในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ได้ก่อความตื่นเต้นให้แก่ข้าพเจ้าไม่น้อย ที่ตื่นเต้นไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้ากลัวชีวิตในเมืองจีน แต่เพราะว่าข้าพเจ้าเริ่มคิดว่าในไม่ช้าก็จะได้เห็นของแปลกในประเทศที่เป็นข่าวอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดเวลานั้น ข้าพเจ้าเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทย–แผ่นดินอันร่มเย็นอยู่ใต้ร่มพระธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความเป็นคนไทยมากพอที่จะรักเมืองไทยได้ และคิดภูมิใจตัวเองว่าตนเป็นคนโชคดีที่ได้มาเกิดเป็นคนไทย ในสมัยที่โลกกำลังเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยที่รักชาติบ้านเมืองทุกคน คงจะมีความเห็นพ้องกับข้าพเจ้าในข้อที่ว่าเมืองไทยควรจะเป็นเมืองสวรรค์........เมืองไทยควรจะเป็นเมืองที่สุขสำราญที่สุดในโลกนี้ ในเมืองไทยเราไม่มีน้ำท่วมคนตายลอยเป็นแพ ไม่มีเรื่องข้าวยากหมากแพง เรื่องแผ่นดินแห้งเกราะแตกเป็นระแหง คนอดข้าวตายเป็นเรือนแสนเรือนหมื่น นี่คือเมืองไทย–เมืองพระพุทธศาสนาที่มีความสงบร่มเย็น ข้าพเจ้าจากเมืองไทยไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้ และช่วยไม่ได้เลยที่ข้าพเจ้าจะต้องรู้สึกอย่างนี้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนไทยที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย อย่างที่คนไทยผู้รักชาติทุกคนจะพึงภูมิใจได้ ความรู้สึกอันนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าบังเกิดความตื่นเต้นเมื่อได้ผ่านเข้าไปในส่วนลึกของประเทศจีนเป็นครั้งแรก คือตื่นเต้นที่จะได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างผิดแผกแตกต่างไปจากบ้านเกิดเมืองนอน อันข้าพเจ้าได้ละทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อผ่านเซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าได้พยายามพิศดูเมืองจีน พยายามที่จะเข้าใจเมืองจีน พยายามที่คิดว่าเซี่ยงไฮ้นี่แหละคือเมืองจีนที่ข้าพเจ้าได้พบในหนังสือต่างๆ แต่ความพยายามเหล่านั้นไม่สามารถจะช่วยให้ข้าพเจ้าปลงใจเชื่อได้ว่า เซี่ยงไฮ้คือเมืองจีน ที่เชื่อไม่ได้ก็เพราะว่าถ้าจะมีสิ่งไรเป็นของจีนอย่างแท้ ๆ ในนครเซี่ยงไฮ้ สิ่งนั้นก็คือ ตัวหนังสือจีนซึ่งมีขีดยุ่ง ๆ แขวนอยู่ตามข้างถนน ข้าพเจ้าไม่ลืมเซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า ชีวิตในเซี่ยงไฮ้เป็นชีวิตที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว เอารัดเอาเปรียบกันทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่มนุษย์จนกระทั่งถึงยุงและแมลงวัน ดูช่างคมเป็นมีดโกนไปเสียทั้งนั้น ที่ประหลาดมากก็คือ เรายากที่จะรู้ได้ว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองฝรั่งหรือเมืองจีนกันแน่ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ทำไมคนจีนเป็นอันมากในเซี่ยงไฮ้จึงต้องการจะเป็นฝรั่งให้จงได้ ทั้ง ๆ ที่ดวงตาของเขายังไม่มีทางจะเปลี่ยนสีได้เลย เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่น่ารำคาญพอใช้สำหรับบุคคลที่มีความปรารถนาจะดูเมืองจีนเช่นตัวข้าพเจ้า ในบันทึกเรื่อง วารยา ราเนฟสกายา ข้าพเจ้าได้พูดถึงเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน ท่านที่เคยอ่านบันทึกเรื่องนั้นคงจะยังจำได้ว่าข้าพเจ้าได้พยายามวาดภาพวัฒนธรรม เซี่ยงไฮ้ โดยที่ตนเองไม่เข้าใจว่าภาพนั้นเป็นภาพอะไรแน่ ข้าพเจ้าตั้งชื่อไม่ได้ เพราะมันเป็นภาพที่ไม่ควรจะมีชื่อ วัฒนธรรมที่เป็นฝรั่งก็ไม่ใช่เป็นจีนก็ไม่เชิงนี้ ทำให้ข้าพเจ้าทวีความตื่นใจยิ่งขึ้น เมื่อรถด่วนใช้จักรออกจากสถานีที่เซี่ยงไฮ้บ่ายหน้าไปสู่ทิศอุดร ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกๆ กิโลเมตรที่รถไฟแล่นห่างเซี่ยงไฮ้ออกไป วัฒนธรรมจีนก็คงจะทวีเนื้อแท้มากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดข้าพเจ้าก็คงจะได้เห็นเมืองจีน