๔๒

จางหลินปล่อยคำพูดให้หายไปในความเงียบ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเขากลืนน้ำลายเมื่อพูดคำว่า “เจ้าแผ่นดิน” จบลง แววตาของเขาแข็งกล้าแฝงความรู้สึกอันลีกซึ้งไว้ข้างใน จางหลินมีหัวใจเป็นนักปฏิวัติแท้ ข้อนี้ข้าพเจ้ากล้ารับประกันได้ เขาต้องการจะเห็นโลกเต็มไปด้วยสันติสุข ต้องการจะเห็นชาติของเขารุ่งเรืองก้าวหน้าเท่าเทียมชาติมหาอำนาจอื่นๆ เขารักชาติด้วยน้ำใจและรักคนทั้งโลกด้วยน้ำเนื้อของมนุษยธรรม ข้าพเจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้ไม่กี่เดือน แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้มองเห็นหัวใจของเขาถนัดมากพอที่จะเดาความรู้สึกของเขาได้ เขาพูดถึงยวนซีไขด้วยกิริยาอันเยือกเย็น แต่ในความเยือกเย็นอันนี้ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเขาแฝงความเจ็บปวดไว้เงียบ ๆ ความเจ็บปวดในหัวใจของชายผู้นี้มีมากเท่ากับความรักชาติ เขายิ่งรักชาติมากเท่าใดก็ยิ่งเจ็บหัวใจมากเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวของคนเพียง ๒-๓ คนได้ทำให้ชาติจีนทั้งชาติต้องกลิ้งหายลงไปในเหวลึกซึ่งเต็มไปด้วยความมืดอันน่าสยดสยอง การที่เลือดต้องนองแผ่นดินเพราะการรบราฆ่าฟันกันเองตั้งแต่เริ่มปฏิวัติ ก็เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นส่วนมาก ความเห็นแก่ตัวเป็นความชั่วร้ายที่ทำให้จางหลินมองเห็นแต่ความมืด แต่เขาได้ต่อสู้กับชีวิตมาอย่างใจเย็นพอที่จะหวังว่า ในวันหนึ่งเขาคงจะได้เห็นความสว่างบ้างตามสมควร และเขาจะไม่เสียใจถ้าแสงสว่างนี้จะผ่านมาช้าไป คือภายหลังที่เขาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว

สีหน้าอันเคร่งขรึมของจางหลินทำให้ข้าพเจ้าพลอยเคร่งเครียดไปด้วย ข้าพเจ้าถามเขาอย่างค่อนข้างจะเป็นการเป็นงานว่า

“ฉันยังจับเค้าไม่ได้ว่า ที่เมืองจีนยุ่ง ๆ กันอยู่ทุกวันนี้น่ะเพราะอะไร และเธอมีหวังอะไรบ้างที่มานั่งต่อสู้อยู่เช่นนี้?”

จางหลินยิ้มน้อยๆ ตามองตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นกิริยาที่เขาชอบทำเวลาใช้ความคิด พลางตอบว่า

“เธอเป็นชาวต่างประเทศคนแรกที่ฉันเล่าความในใจของฉันให้ฟังอย่างยืดยาว ฉันคิดว่าฉันรู้ใจเธอดี เธอเป็นผู้ที่พยายามจะเข้าใจคนอื่น, มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างลึกซึ้ง เธอเป็นเพื่อนต่างชาติต่างศาสนาคนแรกของฉัน ที่ทำให้ฉันเชื่อว่าฉันควรจะได้เล่าอะไรให้ฟังบ้างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ฉันเข้าใจว่าเธอคงจะช่วยให้ความเห็นได้ไม่น้อย เพราะตามธรรมดาเรามักจะดูตัวของเราเองไม่ถนัด ที่เธอถามฉันเรื่องมูลเหตุของความยุ่งยากนี้ ฉันคงจะเล่าให้เธอฟังได้จนจบ ถ้าเรามีโอกาสมานั่งคุยกันเงียบ ๆ ตามลำพังเช่นนี้ ฉันเคยบอกเธอมาบ้างแล้วว่า เรื่องความหวังนั้นฉันมีเสมอ ฉันจะหวังจนกระทั่งนาทีสุดท้ายว่าชาติของฉันคงจะพ้นสมัยมืดนี้ไปสักวันหนึ่ง ระหว่างเวลานี้ฉันก็จะยังคงต่อสู้ต่อไป ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก อย่างน้อยก็พอจะทำหนทางให้คนรุ่นหลังเดินตามได้บ้าง ฉันมีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า ตราบใดที่เรายังมีความหวังและตราบใดที่เรายังทำงาน ตราบนั้นการช่วยชาติของเราก็คงจะเป็นผลสำเร็จได้สักวันหนึ่ง”

เขาหยุดทอดระยะ ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะพูดว่ากระไร จางหลินก็กล่าวต่อไปอีก

“เมื่อกี้ฉันพูดถึงยวนซีไขค้างอยู่ คนๆ นี้มีความสามารถมาก เสียดายเหลือเกินที่เขามีความเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ การที่เขาหักหลัง ดร. ซุนยัดเซนด้วยการตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินนี้ ฉันถือว่าเป็นบาปอันใหญ่หลวง ประเทศจีนควรจะได้รวมกันเป็นปึกแผ่นแน่นหนาตั้งแต่บัดนั้น ถ้าแม้ยวนซีไขไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป การกระทำของยวนซีไขทำให้เกิดศึกกลางเมืองขึ้น ถึงแม้จะสงบได้ในชั่วเวลาอันสั้น แต่ก็เป็นรอยร้าวอย่างช่วยไม่ได้เสียแล้ว ความแตกแยกระหว่างกันเองได้ทวีมากขึ้น ซึ่งเป็นเสมือนการเพาะเชื้อโรคระบาด ซึ่งทำลายความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองในเวลาต่อมา ฉันเห็นใจ ดร. ซุนยัดเซนที่ต้องเดือดร้อนมากเพราะการกระทำของยวนซีไข ดร. ซุนยัดเซนเป็นนักปฏิวัติแท้ ฉะนั้นจึงผิดหวังที่สุดเมื่องานที่สร้างมาต้องล่มจมไปเพราะความเห็นแก่ตัวของบุคคลคนเดียว ดร. ซุนได้ทำพินัยกรรมไว้ฉบับหนึ่ง มีความสำคัญว่า ให้พี่น้องชาวจีนจงตั้งหน้าทำงานต่อไป เพราะการปฏิวัติยังหาได้เสร็จสิ้นลงแล้วไม่ พินัยกรรมฉบับนี้แสดงว่า ดร. ซุนยัดเซนตายลงไปขณะที่บ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิง ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนายังอยู่อีกไกลมาก ฉันรู้ดีว่าเขาตายด้วยความเป็นห่วง วิญญาณของเขาไม่มีสุข เขารักชาติจนเกินที่จะลืมชาติได้ง่าย ๆ หลังจากที่ได้มอบอำนาจให้แก่ยวนซีไข เพื่อเห็นแก่ความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติจนหมดสิ้นแล้ว ดร. ซุนก็คอยชำเลืองดูยวนซีไขอย่างใจเต้น ก้าวต่าง ๆ ของยวนทำให้ ดร. ซุนมีความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นทุกวัน เขารู้ดีว่ายวนต้องการอะไร? และสิ่งที่เขาคาดคะเนไว้ก็เป็นจริงแทบทุกประการ เมื่อยวนซีไขได้รับอำนาจอันเต็มเปี่ยมจาก ดร. ซุนแล้ว ยวนก็เริ่มวางแผนการรวบอำนาจการปกครองทันที เช่นมีการเลือกพรรคพวกของตัวให้เข้ามาในวงการปกครอง และพยายามกำจัดพวกพ้องของ ดร. ซุนออกไปเสียจากวงการปกครองเป็นต้น การเสียสละของ ดร. ซุนยัดเซนไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย พวกของคนทั้งสองยังคงกินแหนงแคลงใจกันเรื่อยมา ซึ่งเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นศึกกลางเมืองขึ้น หลังจากที่ยวนได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ชะนวนสายสำคัญที่จุดไฟสงครามครั้งนี้ขึ้น ก็คือเรื่องที่ซ่งเจี้ยวเหรินถูกฆ่าตายที่สถานีเซี่ยงไฮ้ ซ่งเจี้ยวเหรินเป็นหัวหน้าคนสำคัญในพรรคก๊กมินตังของ ดร. ซุน เมื่อถูกฆ่าตายอย่างอุกอาจต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ พวกของ ดร. ซุนก็พากันสงสัยยวนซีไข เพราะยวนได้พยายามอยู่เนืองนิตย์ที่จะโค่นพรรคก๊กมินตังลง เพื่อขุดรากอิทธิพลอำนาจของ ดร. ซุนให้หมดสิ้นไป เวลานั้นจีนมีพรรคการเมืองหลายพรรคผิดกับเวลานี้ ซึ่งมีได้พรรคเดียวคือพรรคก๊กมินตัง ยวนซีไขได้พยายามสนับสนุนพรรคจิ้นปู้ต่างอย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่าผู้ถือบังเหียนพรรคนี้เช่นเหลียงฉีเชาเป็นต้น ได้เป็นศัตรูต่อ ดร. ซุนเรื่อยมา ยวนต้องการจะยืมมือพรรคจิ้นปู้ต่างมาทำลายพรรคก๊กมินตังเสีย พวก ดร. ซุนรู้ตัวดีอยู่ ฉะนั้นจึงพยายามเร่งรัด ดร. ซุนให้ฟาดฟันกับยวนซีไขให้แตกหักลงไป แต่ ดร. ซุนดูเหมือนจะคอยจังหวะที่ดีกว่านั้น จึงได้รีรออยู่ ครั้นมาเกิดเรื่องซ่งเจี้ยวเหรินถูกยิงตาย พรรคก๊กมินตังก็เดือดดาลจะอดกลั้นไว้อีกไม่ได้ ตัดสินใจจับอาวุธเข้าเล่นงานยวนซีไขทันที สงครามกลางเมืองได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่ไม่เกินสองสัปดาห์ การรบก็สงบลงโดยฝ่ายก๊กมินตังเป็นผู้ปราชัย หัวหน้าต่าง ๆ ของพรรคก๊กมินตังต้องรีบหนีเอาตัวรอด หลายคนได้หนีไปพักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ