๑๓
ดร. เพทตัส เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ที่ศีรษะมีผมนับเส้นได้ สวมแว่นตากรอบเงิน อายุประมาณ ๕๕ ปี ท่าทางสง่าสมกับตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ข้าพเจ้าได้พบการต้อนรับอย่างดีจาก ดร. เพทตัสผู้นี้ เขารู้จักคนไทย เพราะได้เคยพบในอเมริกา แม้ในปักกิ่งสมัยก่อนข้าพเจ้าไปถึง ก็มีคนไทยไปศึกษาเล่าเรียน และไปทำการทำงานเป็นครั้งคราว ดร. เพทตัสพูดถึงคนไทย ถามข้าพเจ้าว่ารู้จักหมอใหญ่ ดิลกรัตน์บ้างไหม สตรีไทยผู้นี้ได้ขึ้นไปเรียนวิชาแพทย์ที่ปักกิ่งหลายปี ได้กลับเมืองไทยแล้วเมื่อสี่ห้าปีก่อน หมอใหญ่ ดิลกรัตน์ เป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการศึกษาแห่งกรุงปักกิ่ง เธอเป็นคนเรียนเก่ง พวกนายแพทย์รุ่นเก่าใน พี.ยู.เอ็ม.ซี. รู้จักเธอทุกคน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าผ่านไปทาง พี.ยู.เอ็ม.ซี. ข้าพเจ้ามักถูกถามถึงหมอใหญ่เมื่อผู้ถามรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย หมอใหญ่ได้โฆษณาเมืองไทยไว้มาก ตลอดเวลาหลายปีที่เธออยู่ในปักกิ่ง เธอชอบพูดถึงความสมบูรณ์ของเมืองไทย พูดถึงความสงบร่มเย็น และพูดถึงพระพุทธศาสนา เธอเป็นคนไทยผู้หนึ่งที่ทำให้คนจีนหลายคนเข้าใจว่าพุทธศาสนาคืออะไร เธอชอบแนะนำตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ดีว่าพระพุทธศาสนาในเมืองจีนเป็นแต่เพียงปรัชญาแขนงหนึ่งที่ไม่สู้มีใครนิยมเอาใจใส่เท่าใดนัก หมอใหญ่ ดิลกรัตน์ เป็นคนไทยที่ชาวปักกิ่งมากมายหลายคนรู้จัก ข้าพเจ้าไม่ลืมว่าเธอได้ถางทางไว้สำหรับข้าพเจ้า เธอทำให้ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับจากชาวยุโรปและชาวจีนที่อยู่ในวงการศึกษาของนครโบราณแห่งนี้
ก่อนที่จางหลินจะอำลากลับไปในวันนั้น หลังจากที่ได้ไปส่งข้าพเจ้าจนถึงที่หมายแล้ว เขาได้เชิญข้าพเจ้าให้ไปรับประทานอาหารอย่างกันเอง ที่บ้านหนานเฉิง ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของตัวเมืองในวันอาทิตย์ที่จะถึง เขาจะส่งรถมารับ เพราะแน่ใจว่าตรอกอันมีจำนวนพันของกรุงปักกิ่ง คงจะทำให้แขกหน้าใหม่อย่างข้าพเจ้าหลงทางได้ง่าย ๆ เมื่อจางหลินกลับไปแล้ว ดร. เพทตัสก็คุยให้ข้าพเจ้าฟังถึงชีวิตของมิตรผู้มีใจอารีต่อข้าพเจ้าผู้นี้ ข้าพเจ้าประหลาดใจเมื่อ ดร. เพทตัสเอ่ยให้ฟังเป็นคำแรกว่า จางหลินเป็นนักปฏิวัติสังคมที่รัฐบาลจีนเพ่งเล็งมาก เขาไม่ใช่นักศึกษาหรือบุคคลธรรมดาที่ข้าพเจ้าเข้าใจ เขาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงยิ่งในปักกิ่ง คือเป่ผิงฉือเป้า หรือ The Peiping Times ตลอดเวลาหลายชั่วโมงบนรถไฟ ข้าพเจ้าไม่เคยได้ระแคะระคายว่าจางหลินเป็นใคร นามบัตรของเขาไม่ได้บอกอะไรเลยนอกจากชื่อสั้น ๆ แถวเดียว “เป็นคนที่รัฐบาลจีนเพ่งเล็งมาก” ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้นชอบกล ดร. เพทตัสยิ้มอย่างมีความหมายเมื่อกล่าวประโยคนี้ เขาไม่ได้ให้ความเข้าใจแก่ข้าพเจ้ามากไปกว่าความจริงข้อหนึ่งนั่นคือ จางหลินเป็นคนดี–แต่อาจเป็นคนดีที่โลกยังไม่ต้องการ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าโลกไม่ต้องการคนดี ทำไมโลกจึงรังเกียจคนดี? ดูไม่เห็นมีเหตุผลอะไรสักนิด ดร.เพทตัสคงจะไม่ได้เพ้อไปดอกกระมังในการที่พูดเช่นนี้ เขารับรองว่าจางหลินเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่เขาไม่รับรองว่าโลกต้องการคนเช่นจางหลิน ถ้อยคำของ ดร. เพทตัสทำให้ข้าพเจ้าต้องเสียเวลาคิดแทบตลอดวัน แม้จะกลับมาห้องพักแล้วคำพูดอันประหลาดนี้ยังแว่วอยู่ในหู จางหลินเป็นคนดี แต่เป็นคนดีชนิดที่โลกยังไม่ต้องการ บางทีข้าพเจ้าอาจจะยังใหม่ต่อชีวิตจนไม่สามารถจะเข้าใจความหมายของ ดร. เพทตัสได้ อย่างไรก็ดี คำพูดอันเป็นปริศนาของบุรุษผู้นี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าอยากพบจางหลินมากขึ้น ข้าพเจ้าเร่งวันอาทิตย์ให้มาถึงเร็ว ๆ ข้าพเจ้าต้องการจะพบและสนทนากับเขา ข้าพเจ้าต้องการจะรู้ว่า ทำไมโลกจึงไม่ต้องการคนอย่างจางหลิน