๖๓
จวนฟางชวนคุยถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ข้าพเจ้าไม่นึกอยากจะพูดเรื่องดุสิตอีกเลย เพราะรู้สึกว่าหล่อนไม่ค่อยสะดวกใจที่จะฟัง ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะนั่งคุยอยู่อีกครู่เดียว แล้วก็จะไปหาเจียงเหมยเพื่อขอให้พาไปพบดุสิต หรือมิฉะนั้นข้าพเจ้าก็จะไปเที่ยวถามหาตัวเอาเอง เพราะคงไม่เป็นการแปลกอะไรนัก และใครๆ ก็ต้องรู้จักนักกีฬาผู้นี้ดี
“เธอจะไปเปลี่ยนอากาศที่ไหน ฤดูร้อนนี้?” หล่อนถามขึ้นในตอนหนึ่ง
“คิดจะไปไดเร็น แต่ไม่แน่นัก”
“ทำไมไม่ลองไปเป่ไต้เหือดูบ้างเล่า?”
“ฉันคิดอยู่เหมือนกัน ดูเป็นชนบทชายทะเลที่มีชื่อเสียงมาก”
ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉือป้าวฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา จึงนึกไปถึงบรรณาธิการ ขณะนี้จางหลินกำลังอยู่ที่สำนักงาน เขามักมีวันหยุดน้อย งานท่วมตัวเสมอ หนังสือพิมพ์ของเขาพิมพ์วันละสองแสนฉบับ เป็นหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายมากที่สุดฉบับหนึ่งในจีนเหนือ
“ฉันไม่ได้พบจางหลินหลายวัน” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น “เธอพบเขาบ้างหรือเปล่า”
“เมื่อวานซืนเขาไปพบฉันที่บ้าน เห็นว่ากำลังจะมีเรื่องอีกแล้ว”
“อ้าว, ทำไม?” ข้าพเจ้าถามค่อนข้างเร็ว
“ก็ไม่มีอะไร นอกจากบทความที่เขาเขียนเขาได้รับคำเตือนเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว ระพินทร์”
ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่เบาๆ ขณะที่นึกไปถึงเจียงเฟพี่ชายเจียงเหมย
“ฉันอยากให้จางหลินไปเป็นผู้จัดการเหมืองแร่ในมลายูมากกว่า” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ
“แต่เขาไม่ไป ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำไห้เขาไปได้” จวนฟางพูดเสียงเครือ “เขาถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต่อสู้เพื่อความสงบสุขของพวกเรา เขาเป็นคนดีมาก, ระพินทร์, ดีอย่างน่าสงสาร”
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นสีหน้าของจวนฟางเศร้าลงเล็กน้อย คำพูดของหล่อนคงมาจากหัวใจ ถ้าออสมียาไม่ได้พูดอะไรไว้ข้าพเจ้าคงจะปลงใจเชื่ออย่างมั่นคงว่า อย่างน้อยจวนฟางจะต้องสนใจในตัวจางหลิน แต่ข้าพเจ้าจะเชื่อออสมียาหรือ ในเมื่อข้าพเจ้ายังจับได้ว่าแววตาของจวนฟางได้บอกอยู่ชัดเจน ว่าหล่อนมีความรู้สึกเป็นห่วงไยในตัวจางหลินเพียงไร
“เธอไม่ได้ลองให้ความเห็นอะไรแก่เขาบ้างหรือ?” ข้าพเจ้าถาม
“ฉันเคยบอกเธอหลายครั้งแล้วว่า ฉันไม่มีความเห็นอะไรจะออกสำหรับจางหลินในเรื่องเช่นนี้ เขาเป็นคนมีความเห็นแต่ผู้เดียว ในเรื่องที่เขาได้ปักใจจะทำ ไม่มีใครทัดทานเขาได้”
“เธอคงรู้จักเขามานาน?”
จวนฟางเอนศีรษะพิงเก้าอี้ ยิ้มเศร้า ๆ แล้วตอบว่า
“นานหลายปี ฉันนับถือเขาเหมือนกับพี่ชายคนใหญ่”
คำว่าพี่ชายคนใหญ่ทำให้ข้าพเจ้าคิดไปไกล ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อออสมียา มันเศร้าเกินไปที่จะเชื่อเช่นนั้น จางหลินเป็นคนดี เขาไม่ควรจะเคราะห์ร้ายถึงเพียงนั้นไม่ใช่หรือท่าน
“ฉันประหลาดใจว่าทำไมจางหลินจึงยังไม่แต่งงาน?” ข้าพเจ้าถามอย่างเจตนาจะทดลองความรู้สึกของหล่อน
จวนฟางนิ่งอึ้งอยู่สักครู่จึงได้ตอบ
“ฉันคิดว่าเขาคงมีงานมากจนเกินที่จะแต่งงานได้ เธอเชื่อไหม, ระพินทร์, ว่าเขาไม่เคยเยี่ยมกรายเข้าไปในโรงมหรสพเลยนอกจากจะถูกชวน ฉันแน่ใจว่าคู่รักของเขาจะต้องเบื่อตาย”
“ฉันว่าเขาควรจะเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่าน่าเบื่อ”
“ยังงั้นหรือ? เธอพูดอย่างใจผู้ชายด้วยกัน ฉันเป็นผู้หญิง ฉันรู้ดีว่าผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรถ้าถูกทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ในเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มเหล่านี้” หล่อนหยุดเว้นระยะคล้ายกับจะใช้ความคิด “แต่นี่ฉันพูดทั่ว ๆ ไปหรอกนะ ถ้าสำหรับชีวิตจิตใจของพี่ชายคนใหญ่ของฉันคนนี้ มีเรื่องจะต้องยกเว้นให้หลายอย่าง ที่สำคัญนั้นก็คือ เขาไม่ได้เสียเวลาไปในการงานเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาเลย ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง เขาเป็นนักต่อสู้ที่ได้ยอมสละชีวิตแล้วเพื่อสิ่งที่สูงสุดในชีวิตของมนุษย์ ฉันคิดว่าเธอคงเคยได้ยินเขาเล่าอะไรให้ฟังบ้างแล้ว”
“เคยเล่าเรื่องสงครามกลางเมืองให้ฉันฟังเกือบครึ่งวัน”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงชีวิตของเขา”
“ยังเลย”
“ฉันเชื่อว่าไม่มีใครรู้ดีเท่าฉัน” จวนฟางพูดเสียงเบา ๆ “พี่จางเกิดในตระกูลที่ไม่มั่งคั่งเหมือนคนอื่น แต่บังเอิญมีลุงห่าง ๆ อยู่คนหนึ่งซึ่งไปร่ำรวยอยู่ทางใต้ มีเหมืองแร่มากมายในแหลมมลายู จึงได้รับความช่วยเหลือซึ่งเป็นประโยชน์แก่เขามาก เขาพยายามดิ้นรนไปเรียนในอเมริกาด้วยทุนก้อนเล็ก ๆ ซึ่งเขารู้ดีว่าไม่พอ แต่ก็เรียนได้จนจบ เพราะเขาใช้เวลาว่างรับจ้างทำงานทุกชนิด ฉันรู้ว่าเขาไม่ปกปิดความจริงเหล่านี้ จึงกล้าเล่าให้เธอฟังได้ ที่จริงมันก็ไม่ใช่ของน่าละอายอะไรไม่ใช่หรือ, ระพินทร์”
“เป็นเรื่องน่ายกย่องอย่างยิ่ง ฉันว่าไม่ใช่ของง่ายเลยที่จะเรียนและทำงานไปพร้อม ๆ กัน” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ
“ชีวิตที่ต้องต่อสู้มาตั้งแต่เล็ก ทำให้เขาบึกบึนไม่ยอมแพ้” จวนฟางกล่าวต่อไป “พี่จางสนใจในประวัติของประเทศจีนมาก เขาชอบการเขียนหนังสือของเหลียงฉีเชาซึ่งเป็นวีรบุรุษของเราคนหนึ่ง แต่ไม่ชอบอุดมคติซึ่งไม่มีหลักเกณฑ์อะไรแน่นัก การเขียนหนังสือของแหลียงฉีเชาเป็นเหตุใหญ่อันหนึ่งที่ทำให้จีนปฏิวัติ อานุภาพของนากกาที่สามารถพลิกแผ่นดินได้ ทำให้เขามีหวังว่าเขาอาจรับใช้ชาติได้เหมือนกันด้วยปลายปากกา แต่พี่จางอาจถือตัวมากไปสักหน่อย ฉันจึงเป็นห่วงเหลือเกิน เหลียงฉีเชาเขียนหนังสืออยู่ในที่คุ้มกัน หหรือมิฉะนั้นก็เขียนจากต่างประเทศ พวกราชวงศ์ชิงทำอะไรไม่ได้ แต่พี่ชายของฉันคนนี้ไม่ต้องการจะอาศัยบารมีของใคร เขาเขียนหนังสือในที่เปิดเผย เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รับคำเตือนเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว”