๑๘

หลังจากที่คนใช้ผู้ชายแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีน้ำเงินแก่ได้ยกน้ำชามาตั้งแล้วไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกระเบื้องซิเมนต์ดังมาจากตึกหลังใหญ่ด้านเหนือซึ่งคงเป็นที่อยู่ของจางหลิน ครู่เดียวบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านก็โผล่เข้ามาในห้องรับแขกที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ เขาร้องทักด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสและนุ่มนวล กระวีกระวาดตรงเข้ามาจับมือกับข้าพเจ้าโดยเร็ว เขาเชิญให้ข้าพเจ้านั่งเก้าอื้นวมตัวอยู่ใกล้เตาผิง แล้วก็ชวนสนทนาด้วยอัธยาศัยอันดี

จางหลินแต่งตัวด้วยเสื้อฉางเผาแพรสีเทา มีแขนยาวจดข้อมือ ส่วนล่างคลุมถึงข้อเท้า กิริยาท่าทางของเขาดูเป็นสุภาพบุรุษแบบจุนตฺจื่อแท้ทีเดียว นุ่มนวล แช่มช้ามีสง่า และมีความเข้มแข็งเด็ดขาดอยู่ในตัว คำพูดและกิริยาท่าทางของเขาทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ายังหารอยด่างพร้อยอะไรไม่พบ ซึ่งคงจะพบได้ยาก แต่ ดร. เพทตัส พูดว่าโลกไม่ต้องการคนอย่างจางหลิน

“เธอคงคุ้นกับปักกิ่งดีแล้ว” เจ้าของบ้านหนุ่มเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง

“คุ้นอย่างมากพอทีเดียว ฉันแน่ใจว่าคงจะชอบปักกิ่งมาก”

ข้าพเจ้าตอบพลางมองดูกระดาษแถบสีชมพูสองแถบที่ห้อยอยู่ที่ผนังห้อง กระดาษสองชิ้นนี้เขียนอักษรจีนหวัดติดกันเป็นพืด ขอบกระดาษหุ้มด้วยแพรสีขาว หัวท้ายถ่วงไว้ด้วยไม้กลม ๆ ซึ่งหุ้มด้วยผ้าแพรเช่นเดียวกัน จางหลินสังเกตเห็นดังนั้น ก็พูดว่า

“เธอจะพบกระดาษอย่างนี้ในบ้านชาวจีนแทบทุกบ้าน เราเรียกว่า ต้วยตจึ เธอเคยไปเที่ยวในวังหลวงหรือยัง? ที่นั่นจะพบลายมือเก่า ๆ มีอายุนับด้วยจำนวนศตวรรษทีเดียว”

“ฉันชอบเมืองจีนอย่างหนึ่งก็ที่มีของเก่าแก่ให้ดูมากมายเหลือเกิน” ข้าพเจ้าตอบ ตากวาดดูเครื่องลายคราม ๒-๓ ชิ้น ที่ตั้งไว้บนโต๊ะไม้ดำระหว่างแถบกระดาษทั้งสอง “ตั้งใจจะเข้าไปเที่ยวในวังหลวงวันสองวันนี้ เห็นพูดกันว่าเดินตลอดวันก็ไม่จบ”

“ฉันให้เธอสามวัน” จางหลินพูดพลางหัวเราะ “เธอจะไปเมื่อไหร่ฉันจะไปด้วย ว่างไหมวันอาทิตย์หน้า?”

“ขอบใจ แต่เกรงใจเหลือเกิน ฉันรู้ว่าเธอไม่ค่อยว่าง”

จางหลินสั่นศีรษะน้อย ๆ ยิ้มอย่างอารมณ์เย็นตามเคย

“ฉันมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งเมื่อพบเธอ” เขาพูดอย่างไตร่ตรอง “คือรู้สึกว่าเรามีอะไรบางอย่างพอที่จะเข้าใจกันได้ ขอโทษที่ฉันอาจพูดตรงเกินไป”

ข้าพเจ้ามองดูหน้าเขาอย่างพยายามที่จะเข้าใจความหมาย จางหลินกล่าวต่อไปว่า

“เธอคงจะอยู่ปักกิ่งอีกนาน บางทีวันหนึ่งเธอคงจะมีความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งฉันรู้ใจเธอดีว่า เธอคงจะต้องรู้สึก ในเมืองจีนเรามีเรื่องแปลก ๆ มาก เมื่อกี้เธอผ่านมาตามถนน เธอเห็นอะไรบ้าง?”

ข้าพเจ้าคิดด้วยความแปลกใจ เมื่อนึกขึ้นได้ก็ตอบว่า

“ทหารม้าราวหนึ่งกองร้อย...”

คิ้วของจางหลินขมวดเข้าหากัน

“ถูกแล้ว วันนี้เป็นวันตายของเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก” พูดแล้วเขาก็นิ่งคิดขณะหนึ่ง ยกนาฬิกาขึ้นดู พลางกล่าวต่อไปว่า “ถึงเวลาแล้ว บางทีคงจะได้ลงมือกันเมื่อสิบนาทีมานี่เอง”

“เธอหมายถึงคนใส่เสื้อขาวที่นั่งมาบนรถม้านั้นใช่ไหม?” ข้าพเจ้าถามอย่างสลดใจ

เขาพยักหน้า

“แซ่หลิว เป็นชาวเมืองซานตุง เขาเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์”

“นักหนังสือพิมพ์” ข้าพเจ้าทวนคำ “คงไม่ได้ไปปล้นเขาเป็นแน่”

จางหลินมองดูไฟในเตาผิงด้วยกิริยาอันเยือกเย็น ในแววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง

“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังมาก” เขาพูดช้า ๆ “แต่รอให้เธอรู้จักเมืองจีนให้ดีอีกสักหน่อยก่อน หลิวเคยทำงานอยู่กับฉันเมื่อครั้งอยู่ในซานตุง เป็นคนเรียบร้อย แต่คิดเลยธงไปสักหน่อย”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ จางหลินกล่าวต่อไปว่า

“ที่จริงเขาควรจะตายเสียตั้งแต่อยู่ในซานตุงแล้ว แต่ที่ตายของเขากลับมาอยู่ที่ปักกิ่ง แปลกพิลึก โชคมนุษย์”

“ไปทำอะไรใครเข้าล่ะ?” ข้าพเจ้าถามอย่างอดใจไว้ไม่ได้

“เป็นเรื่องที่พูดยาก ฉันจะเขียนประวัติของหลิวแล้วจะให้เธออ่าน” พูดแล้วก็หยุดคิดขณะหนึ่ง “ในเมืองไทย เธออยู่เป็นสุขสบายดีไม่ใช่หรือ?”

“ก็...สบายดี” ข้าพเจ้าตอบอย่างไม่แน่ใจว่าจะตรงความมุ่งหมายของเขาหรือไม่

“ฉันหมายถึงเสรีภาพ”

“อ๋อ เรื่องนั้นเรามีร้อยเปอร์เซ็นต์” ข้าพเจ้าตอบเสียงหนักแน่น “เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนาแท้ ๆ เรามีความสุขเสมอ”

“เธอเป็นคนโชคดี” จางหลินพูดพลางยิ้ม “เธออยู่เมืองจีนอีก ๕-๖ ปี บางทีเธออาจจะรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนามากกว่านี้ ที่จริงฉันไม่ควรจะพูดเรื่องหนัก ๆ กับเธอ แต่จำได้ว่าเมื่ออยู่บนรถไฟนั้น ดูเธอสนใจกับเรื่องของพวกเรามาก ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ทำผิดอะไรไม่ใช่หรือ ที่มาพูดกับเธอถึงเรื่องเหล่านี้”

“สิ่งที่เราพูดกันบนรถไฟ ฉันยังจำได้” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความเห็นใจ “แต่ช่วยอะไรยาก มันไม่ใช่ความผิดของเรา”

คุยกันอีกประมาณห้านาที เราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน สักครู่ก็ได้ยินเสียงคนพูดกันดังใกล้เข้ามา จางหลินลุกขึ้นจากเก้าอี้กระวีกระวาดออกไปที่ประตูห้องรับแขก ข้าพเจ้าหันไปดู ผู้ที่ย่างเข้ามาในห้องคนแรกเป็นสตรีสาวชาวจีน อายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างสูงโปร่ง เกล้าผมเรียบ ขมวดมวยเล็กๆ ไว้ข้างหลัง วงหน้ารูปไข่ ดวงตางาม เต็มไปด้วยอำนาจเสน่ห์ที่สกิดใจข้าพเจ้าอย่างประหลาด เธอแต่งกายแบบจีนอย่างเรียบ ๆ มือขวาถือกระเป๋าหนังเล็ก ๆ สีเข้ากับเนื้อ เธอชำเลืองดูข้าพเจ้าแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปยิ้มย่องผ่องใสกับจางหลิน ข้าพเจ้าเตรียมตัวลุกขึ้นยืนขณะที่บุรุษเจ้าของบ้านพาเธอเดินเข้ามาพร้อมด้วยแขกชายหญิงอีกสองคน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ