๖๒

ขณะที่ยืนเก้กังอยู่ที่ขอบบึง เพื่อตัดสินใจว่าข้าพเจ้าควรจะถามใครดีถึงตำแหน่งแหล่งที่ของดุสิต ข้าพเจ้าก็หวลระลึกได้ว่า คราวหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ามาเยี่ยมเจียงเหมยที่มหาวิทยาลัยเยียนจิง เจียงเหมยเคยชี้ให้ข้าพเจ้าดูนิสิตชายผู้หนึ่งที่เพื่อนหลายคนจับนั่งคานหามแห่ไปทางหอนอน เจียงเหมยบอกว่าคนนั้นมีเชื้อจีน เคยอยู่ในเมืองไทย มีชื่อว่าหลิวจิงหวน นอกจากนี้ยังชี้แจงต่อไปว่า ชายผู้นั้นเป็นหัวหน้าทีมวอลเล่ย์บอลล์ ซึ่งกำลังนำหน้ามหาวิทยาลัยหลายสิบแห่งในจีนเหนือ ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที บางทีหลิวจิงหวนผู้นี้อาจเป็นดุสิตที่ข้าพเจ้าต้องการตัวก็ได้ ข้าพเจ้าระลึกถึงภาพของผู้ที่ควรจะเป็นดุสิตซึ่งถูกหามไปบนเก้าอี้ในวันนั้น รูปร่างเขาสันทัดคน ไม่สูงจนเกินไป และไม่ล่ำสันจนเกินไป ใบหน้าค่อนข้างแบน หวีผมแสกซ้าย ฟันเรียบ ดวงหน้ายิ้มแย้มเต็มไปด้วยความแจ่มใสชื่นบาน นั่นคือดุสิตอย่างไม่มีปัญหา–นักกีฬาหัวหน้าทีมวอลเลย์บอลล์–ดาราของเยียนจิง–ดาราของจีนเหนือ!

ข้าพเจ้าคิดจะแวะไปหาเจียงเหมยก่อนเพื่อช่วยให้รู้จักกับดุสิต แต่รู้สึกกังวลด้วยเรื่องของเจียงเฟอยู่ จึงนึกสองจิตสองใจไม่อาจตัดสินแน่ลงไปได้ เจียงเฟจงจะตายเสียแล้ว! ศพของเขาคงจะกำลังเน่าอยู่ใต้ดิน กระสุนทะลุสมองพอดี ตายสบาย ไม่ต้องทรมานเลยสักนิด หัวหน้านักเรียนหนุ่มคนนี้ตายเพื่ออุดมคติของเขา เขาต้องการความสะอาดบนพื้นแผ่นดินจีน แต่ความต้องการของเขาไม่ใช่ความต้องการของคนอื่นอีกหลายคน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเจียงเฟอยู่ในโลกนี้

ถ้าข้าพเจ้าพบเจียงเหมย หล่อนก็จงจะรบกวนข้าพเจ้าอีกเรื่องเจียงเฟผู้พี่ เจียงเหมยยังไม่รู้ว่ามีข่าวว่าพี่ชายได้ถูกประหารชีวิตไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าควรจะบอกความจริงที่ช่วยอะไรไม่ได้นี้แก่เจียงเหมยหรือ ในเมื่อเด็กหญิงคนนี้กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข หล่อนเพิ่งถูกเลือกเป็น “มิสเยียนจิง” นางงามแห่งมหาวิทยาลัยเมื่อไม่นานมานี่เอง

ขณะที่ข้าพเจ้ารีรออยู่ บังเอิญเหลือบเห็นสตรีสาวสวยผู้หนึ่ง เดินตัดตรงไปยังตึกเจ่เม่โหลว (Sister Halls) ข้าพเจ้าตกตะลึง เมื่อแน่ใจตนเองว่า สตรีผู้นั้นคือจวนฟาง

ก่อนที่จะคิดอะไรถูก เท้าได้พาข้าพเจ้าออกเดินลัดไปตามถนนโรยกรวดที่เชื่อมขอบบึงกับตึกเจ่เม่โหลว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทำไมข้าพเจ้าจึงจะต้องไปพบกับจวนฟาง ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ยอมพบเจียงเหมย ข้าพเจ้าก็ไม่ควรจะมีใครที่ควรพบอีกนอกจากจวนฟาง เพราะหล่อนอาจรู้จักลาดเลาของดุสิตบ้างก็ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในใจข้าพเจ้าขณะนั้นก็คือ จวนฟางมาทำอะไรอยู่ที่เยียนจิง?

ข้าพเจ้าไปถึงตึกเจ่เม่โหลว่ (แปลว่าตึกดรุณีพี่น้อง) ภายหลังที่จวนฟางได้หายตัวเข้าไปในห้องโถงภายในตึกนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นเป็นของธรรมดาที่จะเดินตามเข้าไป เพราะเคยรู้อยู่ว่าตึกนี้ใช้เป็นที่รับแขกชายที่มาเยี่ยมนิสิตหญิง หรือแขกหญิงมาเยี่ยมนิสิตชายแห่งมหาวิทยาลัยนี้ พอผ่านประตูชั้นในซึ่งเป็นประตูใหญ่เปิดโล่ง ข้าพเจ้าก็เห็นจวนฟางนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมสีเขียวแต่ผู้เดียว ท่าทางคล้ายกับกำลังรอใครสักคนหนึ่ง

หล่อนตกตะลึงและประหม่าเล็กน้อย เมื่อเห็นข้าพเจ้ายืนตระหง่านอยู่ใต้เพดานห้องใหญ่ซึ่งกรุลวดลายจีนสอดสีไว้อย่างงดงาม

“ระพินทร์” หล่อนทักขึ้นก่อนเมื่อได้สติแล้ว “นี่เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่?”

“ฉันกำลังจะถามเธออยู่เหมือนกัน” ข้าพเจ้าพูดด้วยอารมณ์สนุก โดยไม่เข้าใจว่าคำพูดของข้าพเจ้าจะทำให้จวนฟางมีสีหน้าผิดปกติไปบ้าง

“นั่งสิ” จวนฟางพูดแล้วฝืนยิ้ม ดูเหมือนจะพยายามกลบรอยพิรุธที่สีหน้า

ข้าพเจ้าเดินเข้านั่งยังเก้าอื้นวมอีกตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน

“ไม่นึกว่าจะมาพบเธอที่นี่” ข้าพเจ้าพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เธอมานี่นานแล้วหรือ, จวนฟาง?”

“ฉันมาตั้งแต่วานนี้”

“คงตั้งใจมาค้างเพื่อพักผ่อนกระมัง?”

หล่อนพยักหน้า

“เธอล่ะ, ระพินทร์?”

“ฉันจะกลับบ่ายวันนี้ อยากจะพักสักสองสามวันเหมือนกัน แต่ไม่มีที่”

“เธอไม่มีเพื่อนเลยทีเดียวหรือ?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะ

“ฉันคิดว่ากำลังจะมีสักคนหนึ่ง”

หล่อนมองหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่เข้าใจ

“วันนี้เธอช่างมีอารมณ์สนุกเสียเหลือเกินเทียวนะ ระพินทร์”

ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ

“ฉันพูดจริง ๆ จวนฟาง, ฉันกำลังจะมีเพื่อนสักคนที่นี่ และต่อไปฉันคงจะมาพักผ่อนได้อย่างน้อยทุกสัปดาห์”

“ฉันยังไม่เข้าใจเธอเลย” จวนฟางคิ้วขมวดแสดงความสนเท่ห์ยิ่งขึ้น

“เพื่อนที่ฉันกำลังจะมีนี้ เธออาจรู้จักก็ได้”

“เอ๊ะ ใครกัน?”

“เขาเป็นชาวจีนเกิดในเมืองไทย แซ่หลิว มีชื่อไทยว่า ดุสิต”

จวนฟางสะดุ้ง นิ่งงันไปขณะหนึ่ง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นแววตาหล่อนมีพิรุธ สีหน้าแดงมีความวิตกกังวลเล็กน้อย ซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจ

“เธอรู้จักเขาหรือ?” หล่อนย้อนถาม

“ฉันกำลังขอให้เธอแนะนำให้”

จวนฟางหน้าเสียไปเล็กน้อย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าทวีความประหลาดใจมากขึ้นอีก

“ใครบอกเธอว่าฉันรู้จักเขา?” หล่อนถาม

“ไม่มีใครบอก ฉันเดาเอาเอง เอ๊ะ, เธอเป็นนักเรียนเก่ามีเพื่อนที่นี่มาก เขาเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในทางกีฬา”

“ใครบอกเธอเล่าว่ามีคนจีนเกิดในเมืองไทยมาเรียนอยู่ที่นี่?” หล่อนไม่ตอบคำถาม

“ฮูเวอร์” ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ รู้สึกสงสัยว่าทำไมจวนฟางจึงเลี่ยงคำเสียเช่นนั้น

หล่อนนิ่งไปนาน ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก กิริยาท่าทางของจวนฟางชวนให้ข้าพเจ้าคิดมากกว่าจะพูดอะไร ดุสิตผู้นี้จวนฟางรู้จักดีกระมัง? มีอะไรเกี่ยวพันอยู่ระหว่างหล่อนกับเขา จวนฟางจึงแสดงกิริยาพิรุธหลายประการ เช่นไม่พยายามตอบคำถามว่าหล่อนรู้จักเขาหรือไม่ ข้าพเจ้านึกถึงคำออสมียา เป็นไปไม่ได้ ถ้าดุสิตคือคู่รักของจวนฟาง โลกนี้ก็มีความบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ!

 

  1. ๑. หมายเหตุ: ดูเรื่อง เมื่อหิมะละลาย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ