๖๔
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นความเป็นห่วงใยจากสีหน้าของจวนฟาง แสดงว่าคำพูดของหล่อนทุกคำที่เกี่ยวกับจางหลินล้วนกล่าวออกมาด้วยใจจริงทั้งสิ้น ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า อย่างน้อยจวนฟางก็ต้องมีความรู้สึกในตัวของบุรุษผู้นี้มากกว่าความรู้สึกของเพื่อนธรรมดา
เรานิ่งกันไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นกิ่งหลิวที่ปราศจากใบแกว่งไกวไปมาอยู่ในสายลม ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ฉายแสงสว่างงดงาม อากาศกำลังสบายน่าเดินเล่น ข้าพเจ้าชำเลืองดูจวนฟาง รู้สึกว่าหล่อนกำลังกังวลอยู่กับความนึกคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง จวนฟางมักมองออกไปทางประตูบ่อย ๆ ดูประหนึ่งว่ากำลังคอยใคร
ข้าพเจ้าลอบพิจารณาดูดวงหน้าของสตรีผู้นี้ รู้สึกว่างามยากที่จะรำพันออกมาได้ให้ถูกต้อง เรือนผมของหล่อนไม่ได้แตะต้องคีมเผาหรือเครื่องจับลอนแต่อย่างใดทั้งสิ้น คงหวีไว้อย่างเรียบเป็นเงางาม ข้างหลังขมวดเป็นมวยอย่างปราณีตรับกับหน้าอันแจ่มใสชื่นบานเหมือนดอกไม้ที่เริ่มแย้มในฤดูสปริง ไม่ว่าจวนฟางจะไปปรากฏตัวอยู่ที่ใด ข้าพเจ้ามองปราดเดียวก็จะต้องเห็นหล่อนก่อน มีอำนาจประหลาดอยู่ในตัวที่ทำให้หล่อนเด่นกว่าใคร ๆ–อำนาจที่ดูดดึงใจให้เพ้อเห็นโดยไม่รู้สึก จวนฟางเป็นคนมีเสน่ห์ ข้าพเจ้าต้องยอมรับในข้อนี้ ข้าพเจ้าไม่ประหลาดใจถ้าจางหลินจะหลงรักหล่อนอย่างดูดดื่ม
แต่จวนฟางมีคู่รักเสียแล้ว ออสมียาบอกข้าพเจ้าดังนี้ ดร. เพทตัสบอกว่าจางหลินเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ ข้าพเจ้าอยากจะถามว่า แม้แต่จวนฟางซึ่งเข้าใจและรู้จักเขาดี ก็ไม่ต้องการเขาทีเดียวหรือ
ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนธารน้ำไหล มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอนเล่า จำเป็นด้วยหรือที่เราจะได้รับรางวัล ภายหลังที่เราได้หยาดเม็ดเหงื่อมาแล้วด้วยความสุจริตในหัวใจ–ภายหลังที่เราได้ทำความดีมาแล้วด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง? จางหลินเป็นคนดี คนหลายคนบอกข้าพเจ้าว่าดังนี้ แต่ความดีจะให้อะไรแก่จางหลินบ้าง ข้าพเจ้ามองเห็นชีวิตของเขาเป็นเสมือนเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมา มีสูงมีต่ำ มีเรียบไม่เรียบ ทางเส้นนี้, แน่นอน, จะต้องไปสิ้นสุดลงที่ความตายเช่นเดียวกับทางของท่านและข้าพเจ้า แต่ก่อนที่มันจะสุดลง จางหลินจะต้องพบความผิดหวังอะไรบ้างที่เขาคิดว่าเกือบจะทนไม่ได้ ชาติที่เขารัก.... ผู้หญิงที่เขาบูชา! มีอะไรเล่าที่แน่แท้ไม่แปรเปลี่ยน?
แต่จางหลินจะต้องแสดงบทบาทของเขาต่อไปอีก บทของละครเมืองจีน–ละครโรงใหญ่
ข้าพเจ้าบันทึกมาถึงตรงนี้ก็ให้ระลึกไปถึงวารยา ราเนฟสกายา ความดีไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรขึ้นมา หล่อนกำลังอยู่ในโลกที่ไม่มีใครแยแส—โลกของพระเจ้าที่มีแต่เสียงระฆังและเสียงสวดมนต์ ในขณะที่ข้าพเจ้าบันทึกถึงตอนนี้นาฬิกาได้ย่ำสามครั้งนานแล้ว เสียงไก่ขันวิเวกวังเวงแว่วอยู่ในความสงัด ฝนโปรยลงมายังไม่หยุดดี อีกสักสองชั่วโมงอรุณก็จะเบิกฟ้า แล้ววันใหม่ก็จะเป็นของข้าพเจ้าอีก วันใหม่ที่ข้าพเจ้าจะต้องก้มหน้าทำงานเก่า ๆ ต่อไป โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะจบจะสิ้นกันเสียที
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับจวนฟางต่อไปอีก ก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางประตู ฝีเท้านั้นมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ที่ข้าพเจ้านั่งห่างออกไปประมาณ ๓ เมตร ข้าพเจ้ายังไม่ทันหันไปดู จวนฟางก็แสดงกิริยาอึดอัดจนสังเกตเห็นได้ ในที่สุดหล่อนก็ร้องเชิญเบา ๆ เป็นภาษาจีนเหนือ ซึ่งข้าพเจ้าฟังพอเข้าใจ
ขณะที่ข้าพเจ้าหันหน้าไปดู เจ้าของฝีเท้าซึ่งเป็นชายยังยืนเก้กังอยู่บนพื้นศิลาสีแดง เขาเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าพบนั่งเก้าอี้หามผ่านข้าพเจ้ากับเจียงเหมยไปในวันนั้น “—เป็นหัวหน้าทีมวอลเลย์บอลล์—มาจากเมืองไทย—ชื่อหลิวจิ้งหวน—” เสียงของเจียงเหมยดังก้องขึ้นมาในหูอีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีปัญหาเลย บุรุษรูปร่างสันทัด สวมกางเกงสักหลาดสีเทา ใส่เสื้อสเวทเต้อร์สีขาวซึ่งยืนเผชิญหน้าข้าพเจ้าอยู่ ณ บัดนี้คือดุสิต นักกีฬาเชื้อจีนที่เคยอยู่ในเมืองไทย–บุคคลซึ่งข้าพเจ้ากำลังต้องการพบตัว!
----------------------------
ท่านผู้อ่านโปรดทราบ
เรื่อง “คนดีที่โลกไม่ต้องการ” ได้จบภาคลงด้วยการแนะนำชีวิตและอุดมคติของ จางหลิน ตัวสำคัญของเรื่องเพียงเท่านี้ โปรดติดตามภาคจบในชื่อเรื่องว่า “ผู้เสียสละ” ซึ่งยังไม่เคยมีการจัดพิมพ์เป็นเล่มมาก่อนเลย สำนักพิมพ์ของเราได้รับการอนุญาตให้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ทำให้ชุด “ผู้เสียสละ” กำลังจะทยอยออกมาเป็นลำดับต่อไป “ปักกิ่ง–นครแห่งความหลัง” เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น