๒๓
“แปลกใจไหมจ๊ะ ระพินทร์” จวนฟางร้องทักข้าพเจ้าด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม ข้าพเจ้าได้สติ รีบลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้ รับเสื้อคลุมขนสัตว์มาพาดไว้กับเก้าอี้อีกตัวหนึ่งข้าง ๆ นั้น
“ไม่นึกเลยว่าจะพบเธอที่นี่” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ ตาจับอยู่ที่ดวงหน้าอันงามของหญิงสาว “เธอมาใช้ห้องสมุดที่นี่บ่อย ๆ เหมือนกันหรือ?”
จวนฟางนั่งลงแล้วตอบว่า “ฉันเคยมาเป็นครั้งคราว วันนี้ตั้งใจจะมาฟัง ดร.เจียงพูด เธอคงทราบแล้ว”
“เพิ่งทราบเมื่อกี้นี้ เธอจะให้คำแนะนำอะไรได้บ้าง?”
“ดร. เจียงผู้นี้น่ะหรือคะ” จวนฟางมองบข้าพเจ้าด้วยแววตาอันสุกใส “เคยเป็นอาจารย์ฉันเมื่อครั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยียนจิง เป็นคนมีชื่อเสียงมาก ใคร ๆ ก็รู้จัก”
“ฉันตั้งใจจะเข้าไปฟังเหมือนกัน นี่ก็เก้าโมงแล้ว จะพูดเรื่อง ทางออกของประเทศจีน ไม่ใช่หรือ”
หล่อนพยักหน้า
“ดร. เจียงเป็นคนเอาใจใส่การบ้านการเมืองมาก เป็นออปทิมิสต์ แต่บางทีอาจเกินต้องการไปสักหน่อย”
“ฉันก็ออปทิมิสต์” ข้าพเจ้าพูดด้วยความจริงใจ “ฉันยังมีความหวังเสมอในเรื่องโลกมนุษย์”
“งั้นหรือคะ ระพินทร์ เธอก็เหมือนกับบรรณาธิการของเรา” จวนฟางยิ้มละไมพลางสบตาข้าพเจ้า “แต่ระวังนะ ออปทิมิสต์นักจะลำบาก”
ข้าพเจ้ามองหน้าหล่อนอย่างไม่เข้าใจ
“จางหลินมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
“หวังเสมอ–หวังทั้ง ๆ ที่บอกแก่ตนเองว่าควรจะเป็นความฝันมากกว่า”
“เป็นนักต่อสู้ที่ไม่ยอมหันหลัง” ข้าพเจ้าพูดน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง “ฉันเคยได้ยินคนเขาพูดถึงจางหลิน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก”
ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในแววตาของจวนฟางทันที
“พูดว่าอย่างไร?”
ข้าพเจ้านิ่งนึกก่อนจะตอบ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต้นอย่างไรดี
“เธอคงรู้จัก ดร. เพทตัส แกเคยบอกฉันว่าจางหลินเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ”
จวนฟางมีสีหน้าเศร้านิดหน่อย แต่พยายามยิ้มคล้ายกับจะกลบความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ
“เป็นเรื่องที่พูดยาก” หล่อนพูดพลางส่ายหน้า “เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังมากนัก แต่ฉันก็สังเกตเห็นว่าเขาอยู่ในฐานะลำบาก”
“นั้นซี ดูมีคนพูดถึงกันมาก ฉันรู้สึกว่าจางหลินเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษที่น่านับถือ แต่ทำไมเล่าโลกจึงไม่ต้องการคนอย่างเขา”
จวนฟางหยิบหนังสือตรงหน้ามาพลิกดูเล่น ขณะที่หล่อนก้มหน้าลงนั้น ข้าพเจ้าลอบสังเกตดูขนตาอันงอนงาม และเรือนผมที่เกล้าไว้เรียบ ๆ รู้สึกว่าความงามง่าย ๆ ของหล่อนเป็นเครื่องรัดรึงใจอย่างประหลาด
ในที่สุดจวนฟางก็เงยหน้าขึ้น แล้วพูดว่า
“ฉันพูดได้คำเดียวว่า เขาเป็นคนขวางโลก คนขวางโลกก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ ระพินทร์”
“ฉันพอจะเข้าใจ” ข้าพเจ้าพูดพลางถอนใจบาง ๆ “จางหลินเคยพูดให้ฉันฟังบ้างเล็กน้อยเรื่องประเทศจีน แต่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกจวนฟาง บ้านเมืองกำลังปฏิวัติก็ต้องเป็นอย่างนี้ การปฏิวัติก็เหมือนกับการจัดบ้านเรือนเสียใหม่ ย่อมจะต้องมีการชุลมุนวุ่นวายกันบ้าง เมื่อไหร่จัดเรียบร้อยแล้วก็คงจะสะดวกไปเอง”
“ถูกแล้ว ระพินทร์” จวนฟางพยักหน้ารับรอง “แต่ก่อนที่จะจัดได้อย่างเรียบร้อยนี่แหละ เราจะต้องเสียสิ่งที่ไม่ควรเสียไปมากมายนัก สำหรับประเทศจีนเราได้เสียเลือดเนื้อของพวกเรากันเองไปแล้วเป็นอันมาก ผู้ที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือผู้ที่ไม่รู้อะไรด้วยกับผู้ที่หวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง คนสองพวกนี้ได้เสียชีวิตไปทุกๆ วัน ในปักกิ่งนี้ทุก ๆ เดือนมีการประหารชีวิตกันนับเป็นสิบ ๆขึ้นไป คนเคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่คนร้ายใจทมิฬทั้งหมดหรอกนะ ระพินทร์ มีอยู่ตั้งครึ่งกระมังที่เป็นคนดี มีจิตใจเหมือนกับเรา ๆ นี่เอง ฉันสงสารคนเหล่านี้ เขาควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยกันก่อสร้างชาติต่อไปอีก แต่ในที่สุดเขาก็ต้องตายเพราะความดีและความซื่อตรง”
“ฉันเข้าใจ” ข้าพเจ้าพูดพลางชำเลืองดูแววตาอันเศร้าของหล่อน “แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะการช่วยกันจัดบ้านเรือนนี้ ต่างคนก็ย่อมจะต้องมีความคิดเห็นต่างกันบ้างเป็นธรรมดา จะให้ตรงกันเสียทุกคนนั้นย่อมไม่ได้ นี่แหละคือต้นเหตุของความยุ่งยาก”
“ฉันคิดอย่างโง่ ๆ ว่า ถ้าประเทศจีนมีมหาตมะคัณทีสักคนหนึ่ง เราจะดีกว่านี้มาก” จวนฟางยิ้มอย่างขบขัน แต่ในแววตายังคงเศร้าอยู่เช่นเดิม
“ยังงั้นหรือ? ก็ ดร. ซุนยัดเซนอย่างไรเล่า?”
“มีแต่วิญญาณ แต่เป็นวิญญาณที่มีอานุภาพมาก”
ข้าพเจ้ามองออกไปทางนอกหน้าต่าง ดวงความคิดที่เกิดขึ้นในบัดนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ดี ข้าพเจ้าแลเห็นหนทางแห่งสันติสุขอันเตียนโล่ง แลเห็นผู้ที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวกำลังแผ้วถางทางเส้นนี้อยู่ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าโลกเราจะปลอดภัยได้ก็เพราะมนุษย์มีความเห็นแก่ตัวน้อยลงกว่านี้