ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่นั่งมาในรถไฟ บุรุษหน้าใหม่ผู้นี้และข้าพเจ้าก็ยังคงสังเกตดูกิริยากันอยู่ในที พวกหมอสอนศาสนาสองสามคนกำลังเพลินอยู่กับหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องเมืองจีน ฟิลิปปิโนคนหนึ่งนั่งหลับอยู่ข้างข้าพเจ้า เขาเป็นนักดนตรีเป็นนายวงประจำอยู่ที่โฮเต็ลเดอเปอแกง ซึ่งเป็นโฮเต็ลรุ่นเก่าที่ใหญ่โตที่สุดและดีที่สุดในนครปักกิ่ง ฟิลิปปิโนผู้นี้มีนามว่า ออสมียา มีเลือดสเปญติดมาตั้งแต่สมัยปู่ทวด แต่หน้าตาของเขาไม่บอกว่ามีเชื้อสเปญแฝงอยู่เลย เขาเป็นคนร่างเล็ก ผมหยักศก ตาสองชั้น ผิวเนื้อดำแดง รูปร่างท่าทางคล้ายคนไทยมาก เราพบกันที่เซี่ยงไฮ้ ออสมียาเป็นผู้เข้ามาทักข้าพเจ้าก่อนด้วยภาษาของเขา เมื่อข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง เขาจึงเลิกคิดว่าข้าพเจ้าเป็นฟิลิปปิโน บุรุษผู้นี้เคยอยู่ในปักกิ่งมาแล้วหลายปี เป็นนักเผชิญโชคตัวเปล่าที่มีแต่ดนตรีเป็นอาภรณ์ แต่ออสมียาเป็นคนมีโชคดี เขาได้เมียร่ำรวย เป็นธิดาอัครราชทูตจีนรุ่นแรกของสมัยริปับลิคที่ส่งออกไปประจำยังกรุงมอสโคว์ ออสมียากับข้าพเจ้าคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง มานิลาบ้าง และปักกิ่งบ้าง ถ้อยคำที่เราสนทนากัน คงจะทำให้บุรุษชาวจีนหน้าใหม่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าจับความได้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย

ตลอดเวลาที่ออสมียานั่งหลับ บุรุษชาวจีนผู้มีท่าทางเฉลียวฉลาดผู้นี้ได้ทำท่าจะเอ่ยปากถามอะไรหลายครั้งแต่มิได้พูดออกมา ดูเขาเป็นคนที่ไว้ตัวอยู่บ้าง แต่ในแววตามิได้มีความเย่อหยิ่งและถือดี ข้าพเจ้าสังเกตเห็นความสุภาพนุ่มนวลในอิริยาบถของเขา แต่ภายในความสุภาพราบเรียบนี้ รู้สึกว่ามีความสง่าผ่าเผยและความเด็ดขาดซ่อนอยู่

ตอนหนึ่งเขาควักบุหรี่ออกจากซองและคลำหาไม้ขีดทุก ๆ กระเป๋า เมื่อหาไม่พบ ข้าพเจ้าก็ถือโอกาสควักส่งให้ เขากล่าวขอบใจเบา ๆ แล้วยื่นซองบุหรี่มาทางข้าพเจ้า

“ขอบใจ ฉันคออักเสบไปเล็กน้อย” ข้าพเจ้าตอบเป็นภาษาอังกฤษ

เมื่อได้เริ่มการสนทนากันบ้างเช่นนี้ เราทั้งสองก็เลิกนั่งนิ่ง ๆ เขาแนะนำตัวเขาเองอย่างเปิดเผย จางหลิน ข้าพเจ้าท่องชื่อนี้อยู่ในใจ เป็นชื่อสั้น แต่มีเสียงดนตรีฟังเพราะดี ข้าพเจ้ายื่นนามบัตรให้แก่เขาเป็นการตอบแทน จางหลินรับไปอ่าน สีหน้าบอกไม่แน่ใจว่าจะอ่านอย่างไร

“คราวหนึ่งเมื่ออยู่ในอเมริกา ฉันผ่านไปที่อินเทอรแนชะแนลเฮาส์” เพื่อนคนใหม่ผู้นี้กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “ที่นั่นฉันพบมิตรสหายที่มาจากเดลีและคัลคัตตาหลายคน เขามีชื่อยาว ๆ ออกเสียงไม่ค่อยง่ายนัก”

ข้าพเจ้ายิ้มอย่างรู้ที

“ชื่อของฉันคงจะคล้ายคนเหล่านั้นมาก เรียกฉันสั้นๆ ว่าระพินทร์ก็แล้วกัน”

“ชื่อๆ นี้ทำให้ฉันนึกไปถึงท่านระพินทรนาถตากอร์“ จางหลินยิ้มพูด “ท่านผู้นั้นเป็นนักปรัชญา ชาวจีนนับถือมาก”

“แต่ต้องไม่คิดว่าฉันคือท่านนักปรัชญาผู้นั้นปลอมตัวมาก็แล้วกัน”

จางหลินหัวเราะเบา ๆ เขามิได้แสดงความขบขันออกมาจนกลบความสำรวมตน ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความมั่นคง ไม่หวั่นไหวด้วยอารมณ์

ข้าพเจ้าถูกถามถึงการเดินทางตลอดจนเรื่องที่จะไปปักกิ่ง เมือรู้ว่าข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายอะไร เขาก็แสดงความยินดีและบอกว่าเต็มใจช่วยเหลือทุกประการ ถ้าข้าพเจ้ามีความไม่สะดวกอะไรในนครหลวงเก่าแห่งนี้

“ฉันอยู่ปักกิ่งมาหลายปีแล้ว คุ้นกับชีวิตที่นั่นเป็นอย่างดีทีเดียว” จางหลินเอ่ยขึ้น “ฉันคิดว่าเราคงจะได้พบกันบ่อย ๆ”

“แน่ทีเดียวข้อนั้น ฉันจะอยู่ปักกิ่งอีกนาน”

เมื่อรถถึงเทียนสิน เราก็ชวนกันลงไปเดินเล่นที่หน้าสถานี เพื่อนชาวฟิลิปปิโนผู้มีวิชาดนตรีเป็นอาภรณ์ก็ลงมาเดินอยู่ด้วย ข้าพเจ้าเป็นแขกหน้าใหม่คนเดียวสำหรับเมืองจีน มองดูสภาพของเทียนสินเท่าที่จะแลเห็นได้ด้วยความตื่นใจ นี่หรือคือเทียนสินที่ข้าพเจ้าเคยถูกถามในข้อสอบภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ เทียนสินเป็นเมืองท่าสำคัญของจีนเหนือ เทียนสินที่เคยนองเลือดสมัยกบฏนักมวยเมื่อ ๔๐ ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าเคยต้องการจะเห็นเทียนสิน เพราะเป็นเมืองที่เคยได้ยินจนชินหู บัดนี้ซอกมุมของเทียนสินได้มาอยู่เฉพาะหน้า มองดูรอบ ๆ เห็นแต่ความแห้งแล้งของฤดูชิวเทียนที่กำลังย่างเข้าสู่ความเยือกเย็นแห่งเหมันตสมัย ต้นไม้โกร๋นปราศจากใบ สีเขียวชอุ่มแห่งฤดูชุนเทียนได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว เหลืออยู่แต่สีน้ำตาลแก่อันแห้งเกราะ และเสียงลมหนาวที่พัดมาจากเบื้องอุดรโน้น มองข้ามรั้วสถานีเข้าไปในตัวเมือง แลเห็นยอดโบสถ์คริสเตียน หลังคาตึกร้านบ้านเรือนที่ไม่มีความใหญ่โตมหึมาเหมือนที่เซี่ยงไฮ้ เทียนสินเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ ควรเป็นเมืองคนอยู่มากกว่าเป็นเมืองท่า ผู้คนพลเมืองไม่คึกคักเหมือนที่เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง ยิ่งเป็นฤดูชิวเทียนด้วยแล้ว ความเงียบเหงาที่ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ในสายลมและบนท้องฟ้าสีเขียวแก่ก็ยิ่งทวีมากขึ้นหลายเท่า เทียนสินในฤดูชิวเทียน ข้าพเจ้าไม่ลืมความวังเวงว้าเหว่เมื่อได้ยินเสียงลมหนาวพัดมาในวันนั้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ