๑
ในชีวิตของข้าพเจ้า วันที่จะลืมเสียไม่ได้ก็คือ วันที่ ๑๘ มกราคม ค.ศ. ๑๙๓๓ วันนั้นวารยา ราเนฟสกายา ได้จากข้าพเจ้าไป....จากไปเหมือนจากตาย ข้าพเจ้ารู้ดีว่าแทบไม่มีหวังเลยที่วารยาจะกลับมาให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าอีก
ความหลังโนนครโบราณแห่งนี้ เมื่อนึกดูแล้วก็คล้ายกับเรื่องนิยายของความฝัน นิยายที่ไม่มีอะไรแน่นอน นิยายที่มีทั้งความเศร้าและความสุข เรื่องราวของวารยา ราเนฟสกายา แม้จะได้ปิดฉากลงแล้วด้วยการจากเป็นซึ่งเสมือนหนึ่งจากตาย แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล คือสังหรณ์ว่า ข้าพเจ้าอาจได้พบวารยาอีก ชีวิตมนุษย์ยิ่งมีความเป็นอนิจจังมากเพียงไร ก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเพียงนั้นว่า สิ่งที่เราคาดไม่ถึงเลย ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าจะพบวารยาในปักกิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็ได้พบวารยา บัดนี้วารยาได้จากไปแล้ว และเราทั้งสองก็แน่ใจว่าคงจะไม่ได้พบกันอีกเลย แต่ว่าเมื่อข้าพเจ้าพบวารยาได้โดยมิได้คาดหวัง ก็ไฉนเล่าข้าพเจ้าจะพบวารยาอีกไม่ได้โดยมิได้คาดหวังเช่นเดียวกัน? นี่เป็นความหวังนะท่าน–ความหวังที่เป็นบ่อเกิดของความผิดหวังทั้งมวลในชีวิตของมนุษย์
ในการเขียนเรื่องปักกิ่งนครแห่งความหลังทุก ๆ เรื่อง ข้าพเจ้าได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า จะเขียนตามความพอใจ เรื่องราวของชีวิตเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ละเอียดและประณีต ความรู้สึกเหล่านี้ ถ้าเราเป็นคนที่ช่างจดจำ ก็ย่อมจะผูกมัดจิตใจของเราให้เป็นทาสอยู่ทุกขณะลมหายใจ ข้าพเจ้าเป็นคนเคราะห์ร้ายที่เกิดมาเป็นคนช่างจำ ข้าพเจ้าจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า ไม่ลืมว่าใครทำอะไรให้แก่ข้าพเจ้า ใครทำอะไรให้แก่สังคมของมนุษย์ และตัวข้าพเจ้าเองได้ทำอะไรให้แก่ใครบ้าง ที่พูดเช่นนี้ขออย่าด่วนเข้าใจว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ความพยาบาทเป็นความรู้สึกต่ำที่สุดในจิตใจของมนุษย์ มันควรจะเป็นความรู้สึกของอสรพิษมากว่าจะเป็นของบุคคลผู้เจริญแล้วไม่ใช่หรือท่าน ? ทำไมเราจะต้องพยาบาท ถ้าเราถือว่า ชีวิตเป็นเกมที่เราจะต้องเล่นด้วยน้ำใจของนักกีฬา ? การที่ข้าพเจ้าจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยยากที่จะลืมเสียได้ ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าต้องการจะผูกพยาบาทใคร ข้าพเจ้าถือว่าไม่มีใครที่ทำความผิดมากพอที่ข้าพเจ้าจะอาฆาตพยาบาทได้ การที่เป็นคนชอบจำก็เพราะข้าพเจ้าคิดว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้เป็นบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับศึกษาอบรมจิตใจของเราให้หนีพ้นไปจากธรรมดาฝ่ายต่ำ นี่เป็นบทเรียนของชีวิตนะท่าน บทเรียนที่ข้าพเจ้าจะต้องจำใส่ใจไว้จนกระทั่งลมหายใจครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจำความเจ็บปวด–จำความผิดหวัง–จำความเศร้าสลด–ตลอดจนจำความสุขสำราญที่เป็นเสมือนภาพฝันในเวลาหลับ ข้าพเจ้าไม่ลืมสิ่งเหล่านี้ทั้งในเมืองไทยและนอกเมืองไทย วันคืนในมหานครปักกิ่ง เป็นวันคืนที่เต็มไปด้วยบทเรียนของชีวิต บทเรียนเหล่านี้สอนข้าพเจ้าว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร์ ยากแท้หยั่งถึง” แน่เทียวท่าน เราหยั่งอะไรก็หยั่งได้ แต่หยั่งใจคนนั้นสุดกำลังปัญญาเสียแล้ว ชีวิตในปักกิ่งสอนให้ข้าพเจ้าเลิกเชื่อคน แต่โปรดอย่าคิดว่า ข้าพเจ้าต้องการจะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก เชื่อเถิด, ท่านผู้อ่านที่รัก ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่มีศัตรู ข้าพเจ้าจะมีศัตรูได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีความพยาบาท!