๔๘
“จริงดังคาด ข้าหลวงมณฑลอันฮุยได้แข็งสิทธิ ประกาศตัวเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นแก่รัฐบาลปักกิ่งอีกต่อไป หลังจากนั้น จางโซหลินประมุขฝ่ายทหารในจีนเหนือผู้หนึ่ง รวมทั้งประมุขคนอื่นๆ ในพรรคเป่หยางก็พากันเอาอย่างบ้าง เมืองจีนทำท่าจะเกิดศึกกลางเมืองขึ้นจริง ๆ ราษฎรพากันรู้สึกว่าความยุ่งยากครั้งนี้ ต้วนฉีร่วยกับเหลียงฉีเชาเป็นต้นเหตุ เช่นเดียวกับเรื่องการล้อมสภา เพราะฉะนั้นชื่อเสียงของพรรคเหยียนจิวจึงยิ่งมัวหมองมากขึ้น และในเวลาเดียวกันพรรคก๊กมินตังของ ดร. ซุน ก็ได้รับความเห็นใจจากราษฎรยิ่งขึ้นเสมอ
“หลี่หยวนหุง ประธานาธิบดีเห็นจะรั้งบังเหียนไว้ไม่อยู่ ก็พะว้าพะวังไม่รู้ที่จะทำอย่างไร จึงเชิญจางซุนซึ่งกำอำนาจทหารในแคว้นสฉูโจวฝู่มาไกล่เกลี่ยเพื่อหลีกไม่ให้มีการนองเลือด จางซุนมีหัวรักระบอบกษัตริย์อยู่ จึงรีบฉวยโอกาสแนะนำให้หลี่หยวนหุงจัดการยุบสภาเสียก่อน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของหัวหน้าฝ่ายทหารซึ่งสนับสนุนเหลียงฉีเชากับต้วนฉีร่วยให้เบาบางลง เป็นการเปิดโอกาสให้มีการเจรจากันได้ เพราะการยุบสภานี้ก็คือการขับไล่พรรคก๊กมินตังให้พ้นไปจากอำนาจทางการเมืองนั้นเอง หลี่หยวนหุงตกหลุมจางซุน ยอมยุบสภาทันที จางซุนเห็นได้ทีก็จัดการยกกษัตริย์ราชวงศ์ชิงซึ่งถูกโค่นไปเมื่อสี่ห้าปีก่อนขึ้นนั่งบัลลังก์อีก เป็นการล้มระบอบริปับลิคซึ่ง ดร. ซุนยัดเซนกับพวกสร้างขึ้นด้วยการเอาศีรษะเข้าแลกกับคมดาบ
“ประธานาธิบดีหลี่หยวนหุงถูกหักหลังอย่างไม่รู้ตัวเช่นนี้ ก็รีบหนีภัยเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตสถานทูตในปักกิ่ง เหลียงฉีเชาเห็นได้ทีพอที่จะหาโอกาสแก้ตัวเนื่องจากต้องเสียชื่อเสียงไปสองคราว ตั้งแต่เรื่องล้อมสภาเรื่อยมา ก็ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับจางซุนทันที เหลียงฉีเชากับต้วนฉีร่วยรีบรวบรวมพวกพ้องฝ่ายทหารส่งกำลังเข้าโจมตีกองทหารของจางซุน จางซุนเห็นจะสู้ไม่ได้ก็หนีเอาตัวรอด ไปอาศัยอยู่ในเขตสถานทูตฮอลันดา ระบอบกษัตริย์ที่จางซุนกู้ขึ้นมาอีกจึงมีชีวิตอยู่เพียง ๑๒ วันเท่านั้น
“เหลียงฉีเชาทำการหักหาญครั้งนี้ ก็เพื่อจะแสดงตัวให้ราษฎรแลเห็นว่าตนเป็นผู้กอบกู้ระบอบริปับลิคให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เหลียงหาได้สำนึกไม่ว่า ตนจะต้องเผชิญหน้ากับคำวิพากษ์อันรุนแรงของคนเป็นอันมาก ในข้อแรก เดิมทีเหลียงเป็นผู้สนับสนุนระบอบกษัตริย์ราชวงศ์ชิงมากับคั้งเหย่าเหวย ผู้ซึ่งเหลียงนับถือเป็นอาจารย์ เมื่อเหลียงกลับมาเป็นผู้ทำลายระบอบนี้เสียด้วยตนเอง จึงย่อมแสดงให้คนอื่นเห็นชัดยิ่งขึ้นอีกว่า ท่านผู้นี้มีใจโลเลยากที่จะเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นทางให้ราษฎรเสื่อมความนิยมนับถือ ในข้อสอง, คั้งเหย่าเทวยผู้มีอุดมคติเชื่อมั่นในระบอบกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายมานานนักหนาได้ร่วมมืออยู่กับจางซุนด้วยในการกู้ราชบัลลังก์ครั้งนั้น เมื่อเหลียงฉีเชาทำลายระบอบนี้คว่ำลงใน ๑๒ วัน ก็เท่ากับหักหลังคั้งเหย่าเหวยผู้เป็นอาจารย์ซึ่งตนเคยร่วมอุดมคติอยู่ด้วยแต่ดั้งเดิม ความผิดในข้อนี้แสดงให้คนอื่นเห็นว่าเหลียงฉีเชานอกจากจะมีใจโลเลแล้ว ยังเป็นผู้ขาดความกตัญญูต่ออาจารย์ของตนอีกด้วย ข้อเสียสองข้อนี้แหละทำให้ชื่อเสียงของเหลียงฉีเชาเสื่อมลงไปลึก ตรงกันข้ามกับ ดร. ซุนยัดเซนซึ่งนับวันนับจะยิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นไปทุกที
“ตอนจางซุนให้หลี่หยวนหุงยุบสภานั้น ดร. ซุนยัดเซนกับพวกได้สงบใจนิ่งคอยดูท่าทีอยู่ พอแลเห็นจางซุนเอากษัตริย์กลับมานั่งบัลลังก์อีก ดร. ซุนก็พาพรรคพวกกลับลงไปยังกวางตุ้งและตั้งรัฐบาลขึ้นอีกรัฐบาลหนึ่ง ตอนนี้แหละ ระพินทร์ จีนก็แตกแยกออกเป็นจีนเหนือและจีนใต้อย่างแลเห็นถนัดชัดเจน