๕๓
ข้าพเจ้าลอบมองดูดวงหน้าและแววตาของจางหลินขณะที่เขาพูด รู้สึกว่าแม้เขาจะพยายามพูดเนิบ ๆ แช่มช้าและหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำทุกคำ แต่เขาก็ยังไม่สามารถจะปกปิดความรู้สึกภายในแววตาของเขาได้ ความรู้สึกอันนี้ก็คือความเกลียดชังชีวิตที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งเขาถือมั่นว่าเป็นมูลเหตุของความชั่วร้ายในโลกนี้ ถึงหากข้าพเจ้าจะเพิ่งรู้จักกับชายผู้นี้เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานนัก แต่ข้าพเจ้าก็พอที่จะเข้าใจได้ว่า จางหลินมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร และเขาต้องการอะไร ชายผู้นี้เป็นนักสันติภาพ เขาต้องการความสงบสุข เขาต้องการจะเห็นประเทศชาติของเขามีความร่มเย็นเป็นสุข ต้องการจะให้โลกมนุษย์มีสันติภาพอันถาวร ความต้องการของเขาเป็นความต้องการที่เต็มไปด้วยอุดมคติอันสูง อุดมคติเช่นนี้เรามักพบบ่อย ๆ ในประวัติความเป็นมาของชาวจีนตลอดเวลาสี่พันกว่าปีของรอยจารึกแห่งประวัติศาสตร์ ยุคใดที่จีนเกิดรบราฆ่าฟันกันเอง หรือถูกชาวต่างด้าวในภาคเหนือเช่นพวกสฉงหนูบุกรุกเอา ยุคนั้นจีนก็มักมีนักปรัชญาที่มีอุดมคติของสันติภาพเกิดขึ้น มั่วตจื่อก็ดี เถาหยวนหมิงก็ดี เป็นนักสันติภาพที่ชาวจีนตลอดจนนักศึกษาทั่วโลกยกย่องไว้ในที่อันสูง แต่นักสันติภาพเหล่านี้เป็นตัวละครย่อยสำหรับประดับฉากเท่านั้น ตลอดเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ เขาไม่ได้มีชื่อเสียงและอำนาจใหญ่โตเหมือนโจโฉหรือจูหยวนจาง เขาไม่มีความสำคัญอะไรมากนัก เพราะเขาเป็นเพียงนักพูดและนักคิดที่ถือพู่กันและอับหมึก ไม่มีทวนหรือง้าวอยู่ในมือสักเล่มเดียว เพราะฉะนั้นผลสุดท้ายที่เขาได้รับก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากความปราชัยซึ่งในบางครั้งแม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ แต่ผู้รักสันติภาพโดยมากเป็นผู้ที่ได้เสียสละแล้ว ความตายหาได้เป็นสิ่งที่เขาสะดุ้งกลัวแต่ประการใดไม่
จางหลินเป็นผู้มีอุดมคติของสันติภาพอันสูง เท่าที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ในนครปักกิ่งนับตั้งแต่ได้พบกับเขาในรถไฟวันนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบคนกี่คนที่เข้าใจอุดมคติของจางหลินอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าได้ยินแต่ว่า จางหลินเป็นผู้อยู่ในสายตาของตำรวจ ซึ่งสวมยูนิฟอร์มดำและคาดผ้าพันหมวกขาว ข้าพเจ้าเคยมีเพื่อนเป็นนายตำรวจปักกิ่งหลายคน เมื่อข้าพเจ้าพูดให้เขาฟังถึงเรื่องราวของจางหลิน เขาก็โคลงศีรษะ แต่ไม่แสดงความเห็นอย่างไร แต่แรก ๆ ข้าพเจ้าเกือบจะไม่เข้าใจนักหนังสือพิมพ์ผู้นี้เหมือนกัน และเกือบจะสงสัยว่าเขามีความคิดเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างหลังอุดมคติของเขา แต่เมื่อข้าพเจ้าได้พบปะพูดจากับเขามากขึ้น ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าจางหลินคือใคร ต้องการอะไร และอุดมคติของเขาลึกซึ้งบริสุทธิ์เพียงไร
ลมเย็นพัดข้ามบึงใหญ่มาเฉื่อย ๆ ใบสนเสียดสีกันดังเหมือนเสียงดนตรี อากาศข้างนอกเต็มไปด้วยความหนาวเย็น แต่น้ำชาที่ร้อนจัดกับถ่านหินที่ลุกโพลงอยู่ในเตา ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นสบายดี ข้าพเจ้านั่งฟังจางหลินเล่าเรื่องเมืองจีนด้วยความเพลิดเพลิน แต่เบื้องหลังความเพลิดเพลินนี้ ข้าพเจ้ารู้ดีว่าความเศร้าได้ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ เป็นความเศร้าที่แม้จนบัดนี้ก็ยังตราตรึงจิตใจของข้าพเจ้าอยู่ คือความเศร้าซึ่งเกิดจากความรู้สึกที่ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทั้งปวงยังจะต้องเดินทางบุกป่าฝ่าหนามไปอีกไกลนัก กว่าจะถึงดินแดนที่สะอาดหมดจดอย่างแท้จริง–ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความดี เรื่องราวของเมืองจีนเป็นกระจกเงาบานใหญ่ที่ฉายให้เห็นความโสมมของมนุษย์ส่วนมาก ไม่มีปัญหาเลยโลกนี้ยังจะมีความสงบไม่ได้–ยังจะมีความสุขไม่ได้ ที่มีไม่ได้ก็เพราะเหตุใหญ่เหตุเดียวเท่านั้น นั่นคือมนุษย์เรายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เหมือนเมื่อหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว ตราบใดที่เรายังไม่พยายามอบรมความเห็นแก่ตัวให้มีลักษณะดีขึ้นสมกับความเจริญในส่วนอื่น ๆ ตราบนั้นก็อย่าหวังเลยว่าความสงบจะมีอยู่ในโลกนี้ได้
ข้าพเจ้าแสดงความสนใจในเรื่องราวของเมืองจีนที่จางหลินพยายามเล่ามาอย่างยืดยาว ได้สอบถามรายละเอียดหลายข้อ เขาได้ชี้แจงให้ฟังด้วยความเต็มใจ
“เรายังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนจะไปกินอาหารกลางวันด้วยกัน ฉันจะเล่าให้เธอฟังต่อไปอีกสักนิดว่า การปฏิวัติของเมืองจีนเราปฏิวัติกันอย่างไร ทำไมเราจึงยังหาความสงบไม่ได้เลยจนกระทั่งบัดนี้ บางทีเมื่อเธอฟังแล้ว เธออาจคะเนได้เองว่าฉันต้องการอะไร และ—บางทีเธอก็อาจจะเดาล่วงหน้าได้ต่อไปว่า คนอย่างฉันนี้จะจบเกมของชีวิตลงอย่างไร” เขาหยุดนิ่งขณะหนึ่ง ยิ้มน้อย ๆ ดวงตาอันกล้าแข็งจับอยู่ที่ใบหน้าข้าพเจ้า “นี่แน่ะ, ระพินทร์ อย่าหาว่าฉันเป็นบ้าเลย ฉันอยากจะขอร้องเธอสักหน่อย ถ้าบังเอิญฉันเป็นอะไรลงไปก่อนที่เธอจะกลับเมืองไทย เธอจะเป็นพยานให้สักคนได้ไหม ว่าฉันเป็นคนบริสุทธิ์ ฉันไม่ต้องการอะไร นอกจากความสงบและความดีของชาติมนุษย์ทั่วโลก”
ข้าพเจ้าสบตาเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ความดีที่เธอต้องการ ฉันเป็นพยานให้ได้ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงจะต้องเป็นอะไรลงไป” เขาหัวเราะเบา ๆ
“แล้วเธอจะรู้เอง, ระพินทร์”
ข้าพเจ้ายังคงมองเขาอยู่ด้วยความไม่เข้าใจ
“เธอคิดว่าจะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นหรือ?”
เขานิ่งคิด กิริยาท่าทางเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“ฉันยังไม่อยากจะคะเนอะไรมาก เธอคอยดูไปเถิด”
เรานิ่งกันไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า
“จะอย่างไรกี่ตาม เมื่อฉันกลับเมืองไทย ฉันจะบันทึกเรื่องของเธอไว้ในสมุดปกเขียวของฉัน ในเรื่องนี้ฉันขออนุญาตให้มีจวนฟางอยู่ด้วย”
เขายิ้มคล้ายกับมีความสุข เมื่อข้าพเจ้าออกชื่อจวนฟาง
“แน่นอนเหลือเกิน เธอต้องไม่ลืมจวนฟาง เธอต้องเขียนเรื่องจวนฟางลงไปด้วย จวนฟางเป็นคนดีมาก”
“ฉันจะเขียน” ข้าพเจ้าพูดด้วยความมั่นใจ
จางหลินหัวเราะแล้วกล่าวว่า
“ขอบใจ ระพินทร์ ฉันหวังว่าเรื่องที่เธอจะเขียนคงสนุกและยืดยาวมาก เพราะเกมของชีวิตที่ฉันจะเล่นต่อไป อาจเป็นเกมที่ยาวสักหน่อยก็ได้”