๒๙
ในห้องแคบ ๆ อันอุ่นสบายที่ร้านขายน้ำชาแห่งนั้น เรา–จางหลินกับข้าพเจ้า–ได้ใช้เวลาครึ่งวันในตอนเช้าวันอาทิตย์ สนทนากันด้วยเรื่องที่เต็มไปด้วยความเศร้า–เรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้าแลเห็นโลกถนัดขึ้นอีก ข้าพเจ้าเข้าใจดียิ่งขึ้นอีกว่า โลกกับชีวิตเป็นสิ่งที่เราต้องเรียน เป็นเรื่องละครที่เราต้องเล่น ถึงแม้เราจะไม่อยากแสดงละครเลย แต่เมื่อเกิดมาแล้วเราก็ต้องถูกบังคับให้แสดงไปจนกระทั่งชีวิตดับ โลกเป็นเวทีที่เราหนีไม่ได้เลย เราต้องขึ้นไปอยู่บนเวทีนี้ตั้งแต่เราเกิด ความเบื่อไม่ได้ช่วยอะไรเราได้ ตรงกันข้าม ยิ่งจะทรมานเราหนักขึ้นอีก ข้าพเจ้ามองเห็นถนัดว่าตราบใดที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ในสังคมของมนุษย์ ตราบนั้นเราก็ต้องแสดงละคร และละครที่เราแสดงนี้มีบทต่าง ๆ กัน คือมีทั้งบทของคนฉลาด คนโง่, คนซื่อ, คนคด คนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว คนใจกว้างใจแคบ ที่จริงก็น่าเพลิดเพลินดีถ้าเราคิดว่าเล่นไปดูไป ใครจะดีใครจะชั่วไม่ใช่เรื่องของเรา ฝนจะตกฟ้าจะร้องหรือแผ่นดินจะทะลายก็ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าทำใจได้อย่างนี้เราก็จะเป็นนักดูละครและนักเล่นละครที่ได้เปรียบอย่างยิ่ง แต่มีคนเป็นอันมากที่ไม่ดูเปล่า เขาชอบเก็บเอาบทบาทต่าง ๆ ไปคิด เขาทนไม่ได้เมื่อแลเห็นความชั่ว เขาต้องการจะเห็นโลกขาวสะอาดบริสุทธิ์—ต้องการจะเห็นเรื่องละครของมนุษย์เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความรักและความเห็นใจ เขาฝันถึงความสวยงามของโลก ฝันเห็นความเงียบสงบของสังคม เขาฝันตลอดชีวิต–ไม่มีนาทีใดที่เขาจะไม่ฝัน แต่ความฝันของคนเหล่านี้ก็คือความฝันที่เราท่านฝันกันเมื่อนอนหลับ คือว่าเมื่อตื่นขึ้นแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่า หาสิ่งสาระที่เป็นจริงอะไรไม่ได้ คนพวกนี้เป็นนักฝันที่ฝันเวลาลืมตา เขาอาจเป็นคนบ้าที่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ข้าพเจ้าเคยคิดว่า จะมีวิธีอะไรบ้างที่พอจะช่วยให้เราหนีการแสดงละครที่ประหลาดพิศดารนี้ได้ ถึงจะรู้ดีว่าเมื่อคนเกิดมาแล้ว เขาก็จะต้องเต้น ๆ รำ ๆ ไปบนเวทีของชีวิตจนกว่าจะตาย เขาจะหนีการแสดงละครไม่ได้เลย แต่แม้กระนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่วายที่จะคิดอย่างคนบ้า–คือคิดว่าเราจะเลิกแสดงละครได้ไหม ถ้าแม้เราขึ้นไปอยู่บนภูเขาสูง ๆ ห่างไกลจากหมู่บ้านและสังคม ไปปลูกกระท่อมอยู่ข้างลำธาร ฟังเสียงนกเสียงลมและชมความงดงามของท้องฟ้าเวลารุ่งอรุณและเวลาสายัณห์ ข้าพเจ้าคิดว่าเราคงจะเลิกแสดงละครได้เพราะอยู่ตัวคนเดียว ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่มีอะไรจะต้องเกี่ยวข้องกับญาติคนนั้น มิตรคนนี้ จนถึงกับจะต้องแสดงบทรักบทโศก และบทอื่นๆ อีกร้อยแปด ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงจะสำเร็จแน่ คือไม่ต้องแสดงละคร ไม่ต้องคอยระวังกิริยามารยาท ไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อใคร เพราะบนยอดเขามีแต่พวกสัตว์ป่าและตัวแมลง เราจะเดือดร้อนก็ต่อเมื่อเราไปรังแกมัน เช่นจับเอามาต้มแกงกินเสียเป็นต้น แต่ว่านั่นแหละท่าน, ข้าพเจ้าชะงักเมื่อมองไปดูอีกแง่หนึ่ง นั่นมันชีวิตของคนป่าคนดงแท้ ๆ–ชีวิตที่ไม่ผิดกับชีวิตมนุษย์สมัยหิน คืออยู่กับธรรมชาติและตายกับธรรมชาติ ไม่มีภาพยนตร์ ไม่มีละคร ไม่มีแพทย์และยารักษาโรค ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้ความสะดวกแก่ชีวิต เราผู้เคยชินต่อความสะดวกเหล่านี้จะทนได้อย่างไร เมื่อเนรเทศตัวเองขึ้นไปอยู่บนยอดเขาดงพญาเย็น? อนิจจา–อนิจจา! นี่มันกิเลศตัวเก่านั่นเอง เมื่อตัดไม่ขาด เราก็ต้องแสดงละครต่อไปตามเดิม–ละครของชีวิตที่ชุลมุนวุ่นวายไม่มีวันจบเรือง นอกจากความตายจะได้มาถึงแล้ว!.
จางหลินเป็นคนฉลาดคนแรกที่ข้าพเจ้าได้พบในปักกิ่ง ที่ว่าฉลาดก็เพราะเขาทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าจะต้องคิด เขาทำให้ข้าพเจ้าได้สติว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ก็คือการเดินไปในทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามและหลุมพราง เดินไม่ดีก็จะต้องบาดเจ็บและชอกช้ำ–ช้ำทั้งกายและช้ำทั้งใจ ทางชีวิตเส้นนี้เราจะต้องเดินด้วยความระมัดระวังยิ่ง และระวังอย่างเดียวเท่านั้นก็ไม่พอ เรายังจะต้องรอบรู้และมีไหวพริบรอบตัวอีกด้วย ไม่แต่เท่านั้น เรายังจะต้องเข้าใจว่าโลกมนุษย์คืออะไร มีสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราต้องรู้จักชีวิต ต้องรู้ว่าความผิดหวังเป็นของธรรมดา ต้องเข้าใจว่ากำลังใจเป็นที่ตั้งของความอดทน ความอดทนทำให้เราต่อสู้กับความทุกข์ยากได้อย่างใจเย็น ความอดทนทำให้เรามีใจเบิกบานได้ขณะที่ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดไม่มีแสงสว่าง จางหลินมีอายุแก่กว่าข้าพเจ้าไม่กี่ปี แต่เขามีชีวิตอยู่ในแผ่นดินของความปั่นป่วน—แผ่นดินที่ในบางขณะชีวิตของมนุษย์มีค่าไม่ต่างกับชีวิตของมดปลวก โดยเหตุนี้เขาจึงแลเห็นชีวิตในแง่ต่าง ๆ หลายแง่ เขาได้รับบทเรียนที่สอนเขาว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ทุกคนจะต้องใช้ความอดทนเป็นอันมาก