๔๖

“ละครโรงใหญ่ของเรายังคงแสดงต่อไป และท้องเรื่องได้ทวีความเศร้าสลดมากขึ้นทุกที” จางหลินกล่าวต่อไป “พรรคจิ้นปู่ต่างกับพรรคก๊กมินตังยังคงต่อสู้กันต่อไปอีก ซึ่งก่อความปั่นป่วนให้แก่ประเทศจีนเรื่อยมา ถ้าเธอฟังต่อไป เธอจะเห็นได้ว่า การที่ประเทศจีนหาความสงบไม่ได้เลยในเวลาต่อ ๆ มา ก็เพราะการเมืองเป็นเกมของชีวิตอย่างหนึ่ง ถ้าเราเล่นกันอย่างสะอาดก็เป็นเกมที่น่าดู และประชาชนพลเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข แต่เธอคงไม่คิดว่าคนเราจะสะอาดไปเสียทุกคน เมื่อความสกปรกได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่ได้รับเคราะห์ก็คือราษฎรซึ่งไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย การที่ราษฎรชาวจีนสี่ร้อยกว่าล้านคนหาความสุขไม่ได้เลยจนทุกวันนี้ ก็เพราะความสกปรกของนักการเมืองเป็นอันมาก ที่จริงในประเทศทุกประเทศความสกปรกเหล่านี้ก็ย่อมมีอยู่เหมือนกัน แต่ว่าประเทศเหล่านั้นเขามีรากฐานการปกครองระบอบริปับลิคแข็งแรงมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่สะเทือนจนทำให้เกิดความร้าวรานแก่ประเทศได้ ประเทศจีนไม่มีรากฐานของการปกครองระบอบใหม่นี้รองรับอยู่เลย เพราะฉะนั้นจึงสามารถทำความกระทบกระเทือนให้อย่างรุนแรงมาก

“พรรคจิ้นปู้ต่างนี้ ฉันเคยพูดให้ฟังแล้วว่าเกิดขึ้นเพราะยวนซีไขขอร้องให้เหลียงฉีเชาตั้งขึ้น เพื่อจะข่มอำนาจพรรคของ ดร. ซุนยัดเซน แต่พอยวนซีไขคิดตั้งตัวเป็นกษัตริย์ เหลียงฉีเชาคงเห็นว่าจะทานมติมหาชนไม่ได้ จึงทำตัวเป็นฝ่ายค้านไป เมื่อยวนซีไขสิ้นชีพแล้ว พวกหัวหน้าคณะจิ้นปู้ต่างอยากจะล้างมือในการที่ได้นำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับยวนซีไข จึงล้มพรรคของตนเสีย แต่ต่อมาได้ตั้งพรรคใหม่ขึ้นชื่อว่า พรรคเหยียนจิว ในระยะที่เกิดปะทะกับพรรคก๊กมินตังสมัยหลี่หยวนหุงเป็นประธานาธิบดีแทนยวนซีไขนี้ พรรคจิ้นปู้ต่างได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเหยียนจิวแล้ว เหลียงฉีเชาผู้ตั้งพรรคจิ้นปู้ต่างยังคงเป็นหัวหน้าพรรคเหยียนจิวอยู่ พวกจิ้นปู้ต่างเก่า ๆ ก็ยังคงร่วมอยู่ในพรรคเหยียนจิวตามเดิม เวลานั้นพรรคก๊กมินตังได้เปลี้ยลงมาก เพราะได้เสียหัวหน้าใหญ่ไปถึง ๒ คน ตามที่ฉันได้เล่าให้ฟังแล้ว ส่วนพรรคเหยียนจิวกำลังสดชื่นเพราะตั้งขึ้นใหม่ ๆ แต่พรรค ดร. ซุนก็ยังคงทำการต่อสู้ต่อไปอย่างทรหด ไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ดร. ซุนเป็นนักต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้ สู้อยู่ตลอด ๔๐ ปี จนกระทั่งสิ้นชีวิต เหลียงฉีเชาก็เป็นนักสู้เหมือนกัน แต่ได้ละเวทีไปก่อน ดร. ซุน เพราะพรรคของตนสิ้นอำนาจไปก่อน ซึ่งฉันจะได้เล่าให้เธอฟังต่อไป

“ดร. ซุนยัดเซนเป็นนักปฏิวัติแท้ เป็นนักต่อสู้ที่ฉันยกย่องคนหนึ่ง ดร. ซุนไม่มีความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเห็นแก่ประเทศชาติ ข้อพิสูจน์ง่าย ๆ ข้อหนึ่งก็คือ เมื่อ ดร. ซุนตายแล้ว มีแต่ห้องสมุดเหลือไว้เป็นมรดกแก่ชาติชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีข้าวของเงินทองอะไรอีก อันนี้เองทำให้คนเป็นอันมากรัก ดร. ซุนอย่างจับใจ เมื่อตายแล้วก็มีอนุสาวรีย์สร้างไว้เป็นที่เคารพบูชา ใหญ่โตยิ่งกว่าอนุสาวรีย์ใด ๆ ในประเทศจีน พูดถึง ดร. ซุน ทำให้ฉันคิดไปถึงมหาตมะคัณที ท่านผู้นี้ก็ไม่มีความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน ไม่ต้องการอะไรนอกจากความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ คัณทีไม่มีอะไรติดตัว มีชีวิตง่าย ๆ แต่ชาวอินเดียก็รักใคร่จนถึงกับก้มลงจูบรอยเท้าของท่านได้ด้วยความเคารพบูชาเหมือนพระเจ้า ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่า การที่ท่านเหล่านี้ชนะใจคนได้อย่างถาวรนั้น อยู่ที่การเสียสละอย่างแท้จริง ถ้ามีความเห็นแก่ตัวปนอยู่ด้วย ความเคารพบูชาก็ไม่ดูดดื่มซาบซึ้ง เหลียงฉีเชาเมื่อตายแล้ว ไม่มีอนุสาวรีย์ใหญ่โตอย่างใดเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วยปลุกให้จีนตื่นจากหลับด้วยปลายปากกา การที่เหลียงฉีเชาสู้ ดร. ซุนยัดเซนไม่ได้ ก็เพราะ ดร. ซุนมีอุดมคดิสูงกว่า เด็ดเดี่ยวกว่า สามารถแสดงให้ราษฎรเห็นได้ชัดว่า ท่านไม่มีความเห็นแก่ตัวปะปนอยู่ในการกระทำของท่านเลย เหลียงฉีเชาควรจะมีชื่อมากกว่า ดร. ซุน เพราะท่านเขียนหนังสือให้ชาวจีนอ่านอย่างแพร่หลาย มีโอกาสโฆษณาอุดมคติของท่านได้มากกว่า ดร. ซุนซึ่งไม่ใช่นักเขียนหนังสือ เป็นแต่นักทำงานและนักสร้างชาติ อุดมคติของเหลียงฉีเชาแต่เดิมมีอยู่ว่า ต้องการปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ โดยให้กษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย แต่ต่อมาอุดมคติอันนี้เปลี่ยนแปลงไป เหลียงฉีเชาได้กลายเป็นนักการปกครองระบอบริปับลิค พยายามควบคุมพรรคพวกต่อสู้เพื่อหวังอำนาจทางการเมือง ความไม่มั่นคงของอุดมคติ ตลอดจนการต่อสู้เพื่อต้องการอำนาจนี้ ทำให้ราษฎรไม่เคารพเหลียงฉีเชาอย่างดูดดื่มซาบซึ้ง คนโดยมากมองท่านอย่างนักการเมืองสามัญที่เมืองจีนมีอยู่มากมาย มิได้มองอย่างนักการเมืองที่ต่อสู้เพื่ออุดมคติอันเข้มแข็งอย่าง ดร. ซุนยัดเซน เหลียงฉีเชาเข้าหายวนซีไขในครั้งแรก และเข้าหาต้วนฉีร่วยในครั้งหลัง ก็เพราะต้องการอำนาจทางการเมือง แต่เมื่อคนทั้งสองนี้ล้มลงไป เหลียงฉีเชาก็ซ้ำเติมเอาโดยมิได้คิดถึงความเก่า ในตอนหลัง ๆ ดูเหมือนว่าเหลียงฉีเชามิได้ต่อสู้เพื่ออุดมคดิหรือเพื่อราษฎรแต่ประการใด พรรคของท่านไม่แพร่หลายทั่วประเทศอย่างพรรคก๊กมินตัง ท่านเลือกคบแต่คนที่มีอำนาจ เพราะได้ประโยชน์เร็วและง่ายกว่าที่พยายามคบกับราษฎร แต่ท่านจะคบกับราษฎรก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอุดมคติที่จะต่อสู้เพื่อราษฎรอย่างเด็ดเดี่ยวและแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้คนเป็นอันมากเห็นว่าท่านใฝ่หาอำนาจเพื่อจะเป็นใหญ่เป็นโต มากกว่าจะทำงานอย่างเสียสละเพื่อประเทศชาติ นี่เป็นผลร้ายมาก เพราะทำให้ท่านหมดความใหญ่โตไปทันทีเมื่อยามชาตาตก พอสิ้นชีวิตลงก็ไม่มีใครเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็น ท่านตายคล้ายนักการเมืองสามัญคนหนึ่ง นี่ผิดกับ ดร. ซุนยัดเซน ดร. ซุนสร้างพรรคของท่านในท่ามกลางของราษฎร ดร. ซุนคบกับราษฎร ถอดเอาหัวใจของท่านมอบให้แก่ราษฎร ชีวิตจิตใจของท่านเป็นของราษฎรตลอดเวลากว่า ๔๐ ปีที่ท่านคิดการปฏิวัติ ท่านมิได้เพ่งเล็งถึงประโยชน์และความดิบดีส่วนตัว ท่านคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติ เมื่อทำการปฏิวัติสร้างระบอบริปับลิคเสร็จแล้ว ดร. ซุนก็ยังคงมอบตัวให้แก่ราษฎรอยู่ตามเดิม ไม่ได้กอบโกยอะไรไว้เลย เมื่อตายจึงทิ้งสมบัติไว้เพียงชิ้นเดียวคือห้องสมุดที่หาค่าบ่มิได้ อุดมคติที่เต็มไปด้วยการเสียสละอย่างเด็ดเดี่ยวบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากราคีของประโยชน์ส่วนตัวนี้ ทำให้ประเทศจีนต้องร้องไห้เวลา ดร. ซุนยัดเซนถึงแก่กรรม นักการเมืองทุกคนในประเทศจีน แม้แต่เหลียงฉีเชาซึ่งเคยเป็นปรปักษ์ต่อกันอย่างขมขื่นที่สุดก็ต้องร้องไห้อย่างใจนักเลงแท้ ทุกคนแม้แต่ศัตรูรู้จักค่าของ ดร. ซุนยัดเซนดี คือรู้ว่าท่านมีหัวใจรักชาติที่แท้จริง อุทิศตัวให้แก่ประเทศชาติ ไม่ต้องการดิบดีเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกอันนี้แหละได้ทำให้ ดร. ซุนเกือบจะกลายเป็นพระเจ้าของชาวจีน นักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดแม้จนกระทั่งในเวลานี้ ต่างก็ถือว่า ดร. ซุนเป็นบิดาแห่งริปับลิคจีน ชาวจีนมีรูป ดร. ซุนแขวนไว้เพื่อเคารพบูชาทุกบ้าน เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ดร. ซุนมีอำนาจเหนือจิตใจชาวจีนมากกว่าเมื่อสมัยมีชีวิตอยู่เสียอีก

“เหตุการณ์ตอนหลังยวนซีไขตายแล้วปั่นป่วนยุ่งเหยิงมาก การต่อสู้ระหว่างพรรคเหยียนจิว หรืออีกนัยหนึ่งพรรคจิ้นปู้ต่างเดิมของเหลียงฉีเชากับพรรคก๊กมินตังของ ดร. ซุนยัดเซน ได้ดำเนินต่อไปโดยมิได้หยุดยั้ง หลี่หยวนหุงซึ่งเป็นประธานาธิบดีแทนยวนซีไข มีความเห็นอกเห็นใจ ดร. ซุนยัดเซนมาก พยายามสนับสนุนพรรคก๊กมินตังทุก ๆ ทาง ซึ่งไม่เป็นที่พอใจพวกหัวหน้าฝ่ายทหารในจีนภาคเหนือ พวกทหารไม่ต้องการให้หลี่หยวนหุงเป็นประธานาธิบดี แต่เหตุการณ์บังคับอยู่ จึงทำอะไรแก่หลี่หยวนหุงไม่ได้ อย่างไรก็ดีพวกนี้ได้สนับสนุนให้ต้วนฉีร่วยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งประธานาธิบดีหลี่หยวนหุงไม่พอใจเลย เหตุการณ์ได้มาถึงหัวเลี้ยวแห่งความยุ่งยากอีกครั้งหนึ่ง เพราะความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีคนใหม่นี้ ต้วนฉีร่วยเป็นตัวเก็งของพวกหัวหน้าทหารในจีนเหนือ เป็นเครื่องมือของคนพวกนี้สำหรับไว้กำจัดหลี่หยวนหุง ขณะนั้นเหลียงฉีเชาประมุขพรรคเหยียนจิว ยังคงพยายามหาโอกาสจะเข้ามามีอำนาจในวงการเมืองอยู่ตามเดิม เมื่อเห็นหลี่หยวนหุงสนับสนุน ดร. ซุนยัดเซน ก็พยายามจะเข้าหาต้วนฉีร่วยบ้าง เช่นเดียวกับที่เคยเข้าหายวนซีไขมาแล้ว การร่วมมือของเหลียงฉีเชาทำให้ฝ่ายต้วนฉีร่วยมีกำลังเข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะว่าเท่ากับได้มันสมองก้อนสำคัญมาช่วยคิดทำการหักล้างหลี่หยวนหุง หลังจากที่เหลียงฉีเชากับพวกได้เข้าร่วมมือกันแล้ว ต้วนฉีร่วยกับหลี่หยวนหุงก็แตกร้าวกันมากขึ้น จึงทำให้วงการเมืองในขณะนั้นเต็มไปด้วยความปั่นป่วนอย่างที่สุด

“การต่อสู้ระหว่างประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี แท้จริงก็คือการต่อสู้ระหว่าง ดร. ซุนยัดเซนกับเหลียงฉีเชานั้นเอง การต่อสู้นี้ได้ถึงระยะรุนแรงอย่างยิ่ง ขณะที่จีนจะต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามในยุโรปหรือไม่ ขณะนั้นเป็นปี ค.ศ. ๑๙๑๗ ซึ่งเป็นเวลาที่สงครามกำลังอยู่ในระยะสำคัญมาก จีนได้รักษาตัวเป็นกลางเรื่อยมาตั้งแต่เกิดสงคราม เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๔ แม้หลังจากยวนซีไขได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครหยิบเอาปัญหาสงครามขึ้นมาพูด แต่พอต้วนฉีร่วยได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเหยียนจิวนั่นคือตัวเหลียงฉีเชา ก็พยายามจะให้จีนได้เข้าร่วมสงครามทางฝ่ายสัมพันธมิตร ดร. ซุนยัดเซนได้คัดค้านอย่างเต็มที่ อ้างเหตุผลว่าจีนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากสงครามครั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงควรรักษาความเป็นกลางไว้ดีกว่า ประธานาธิบดีหลี่หยวนหุงเห็นพ้องด้วยกับ ดร. ซุน ไม่ยอมประกาศตัวเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร เหลียงฉีเชากับพวกรวมทั้งต้วนฉีร่วยด้วยมีความโกรธแค้นมาก ต้วนฉีร่วยถูกเหลียงฉีเชาปลุกปั่นให้ส่งบันทึกไปยังรัฐบาลเยอรมันทำการตัดสัมพันธไมตรี หลังจากนั้นก็เรียกประชุมพวกตู๋จุน คือข้าหลวงตามแคว้นต่าง ๆ ซึ่งกำอำนาจทหารไว้ในกำมือ การประชุมได้เปิดขึ้นในปักกิ่ง ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายพรรคก๊กมินตังทั่วประเทศจีนได้พยายามคัดค้านอย่างแข็งแรง พวกข้าหลวงเหล่านี้พากันเชื่อตามความคิดเห็นของเหลียงฉีเชาว่าจีนจะต้องเข้าร่วมสงคราม เพื่อครองตำแหน่งประเทศที่มีอำนาจในเครือประเทศทั้งหลาย ซึ่งจะเป็นหนทางให้จีนมีเสียงต่อไปในวงการเมืองของโลก เมื่อได้เชื่อเช่นนี้แล้ว ก็เริ่มเชื่อต่อไปว่า การที่ประธานาธิบดีกับสภาผู้แทนราษฎรตลอดจนพรรคก๊กมินตังพยายามคัดค้านไม่ให้จีนเข้าสู่สงครามนี้ ย่อมเท่ากับเป็นการขัดขวางชาติโดยตรง

“เมื่อได้มติผู้กำอำนาจทหารในแคว้นต่าง ๆ ไว้ในกำมือแล้ว ต้วนฉีร่วยก็บังคับให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบด้วย ในการที่จะนำจีนเข้าสู่สงคราม การใช้อำนาจของต้วนฉีร่วยทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างรุนแรงระหว่างพรรคก๊กมินตังกับพรรคเหยียนจิว พรรคก๊กมินตังเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะประธานาธิบดีหลี่หยวนหุงยังคงยืนกรานตามความเห็นของ ดร. ซุนยัดเซนอยู่ตามเดิมว่า จีนจะเข้าสงครามไม่ได้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ