๑๙

ขณะที่ข้าพเจ้าบันทึกความหลังตอนนี้เวลาได้ล่วงพ้นเที่ยงคืนไปนานแล้ว ความเงียบสงัดของตำบลถนนพญาไท ทำให้ข้าพเจ้าสามารถรำลึกเห็นภาพของเหตุการณ์ที่บ้านจางหลินในวันนั้นได้ถนัดชัดเจนคล้ายกับเรื่องได้เกิดขึ้นเมื่อวันวาน ข้าพเจ้าแลเห็นภาพที่จารึกอยู่ในดวงจิตคือภาพสตรีสาวคนที่เกล้าผมเรียบผู้นั้น ข้าพเจ้ายังจำแววตาขณะที่เธอชำเลืองดูข้าพเจ้าได้ดี แววตานั้นคมกริบ แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เป็นแววตาที่บังคับให้ข้าพเจ้าตะลึงจังงังคล้ายตกอยู่ในอำนาจอันประหลาด ดูเหมือนเธอจะเป็นสตรีสาวชาวจีนคนแรกที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความงามของสตรีจีนเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงเลย ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปในประเทศจีน ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบใครที่งามจับใจเหมือนเธอผู้นี้

จางหลินแนะนำให้เรารู้จักกัน จวนฟางกับข้าพเจ้า สตรีผู้นี้เกิดในตระกูลหลี แต่ข้าพเจ้าชอบเรียกแต่ชื่อของเธอ คือจวนฟาง เนื่องจากฟังเพราะดี ผู้ที่มากับจวนฟางอีกสองคนเป็นคู่หมั้นกัน ผู้ชายชื่อติงถิงจาง ผู้หญิงชื่อจินหยีเจิน ติงถิงจางเป็นคนร่างสูงค่อนข้างผอม สวมแว่นตาไม่มีกรอบ ชอบพูดมากกว่าฟัง ส่วนจินหยีเจินค่อนข้างเจ้าเนื้อ พูดน้อย ชอบคิดมากกว่าจะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา เธอชอบนั่งเงียบ ๆ ฟังคนอื่นพูด นานๆจึงจะเอ่ยอะไรขึ้นสักคำหนึ่ง คนทั้งสองพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณ ซึ่งช่วยให้เราสนทนากันได้บ้าง เพราะข้าพเจ้ายังพูดภาษาพื้นเมืองไม่ได้มากนัก จวนฟางเป็นคนที่ค่อนข้างประเปรียวทันสมัย เปิดเผยไม่เก็บตัว อ่อนหวานนุ่มนวล พูดภาษาอังกฤษได้ดีเท่า ๆ จางหลิน เพราะเคยไปอยู่ที่ฮอนโนลูลูหลายปี ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่นั่นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดูเธอจัดเจนในการสมาคมมาก เราได้สนทนากันด้วยเรื่องเมืองจีนและเมืองไทย เธอถามข้าพเจ้าถึงเมืองไทยอย่างเอาใจใส่ เพราะเคยพบคนไทยหลายคนที่ฮอนโนลูลู ข้าพเจ้าต้องตอบปัญหาตั้งแต่ดินฟ้าอากาศไปจนถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า ดูเธอต้องการจะรู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคนช่างพูดที่น่ารักมากกว่าน่ารำคาญ ข้าพเจ้าชอบฟังเธอพูดเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่น ๆ ซึ่งรวมทั้งจางหลินด้วย จวนฟางเป็นสตรีจีนที่อยู่ในจำพวกหัวใหม่ ไม่มีอะไรในตัวเธอที่จะเปรียบกับสตรีจีนหัวเก่าที่ชอบเป็นดอกไม้อยู่แต่ในห้อง ความเปิดเผยตรงไปตรงมาของเธอทำให้เราคุ้นกันได้ภายในเวลาอันสั้น จางหลินพอใจทึ่จวนฟางช่วยทำให้ข้าพเจ้ารู้จักชีวิตปักกิ่งดีขึ้น เขาบอกกับเธอว่า ข้าพเจ้าจะอยู่ปักกิ่งอีกเป็นเวลาหลายปี จวนฟางหันมาทางข้าพเจ้าทันทีแล้วพูดว่า

“แหม ก็ดีน่ะซี เราจะได้เพื่อนที่สนุกอีกคนหนี่ง ฉันจะสอนภาษาปักกิ่งให้เธอ ฉันจะทำให้เธอพูดได้ดีในสามเดือน”

“ฉันคงจะได้ครูที่เก่งคนหนึ่งเป็นแน่” ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ

“ข้อนั้นไม่มีปัญหา” ติงเอ่ยขึ้น “มิสหลีจะทำให้เธอรู้จักปักกิ่งเร็วกว่าใคร เขามีเรื่องที่จะพูดเสมอ”

จางหลินยิ้มอยู่ในหน้า ชำเลืองดูดวงหน้าอันยิ้มแย้มของจวนฟางด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยความสุข เขามิได้พูดว่ากระไร แต่อาการยิ้มอยู่ในหน้านั้นได้แสดงอยู่ว่ามีความพึงพอใจในตัวของสตรีผู้นี้จนสังเกตเห็นได้ จวนฟางมองดูสหายในตระกูลติงคล้ายกับจะท้วง แต่กลับพูดว่า

“หยีเจินคงจะมีความเห็นเหมือนกับเธออีกตามเคย”

ผู้ที่กล่าวนามได้แต่ยิ้ม ยังคงเป็นคนเก็บตัวอยู่เช่นเดิม ติงจึงพูดแทน

“เธอควรจะพูดว่า ฉันมีความเห็นเหมือนหยีเจินมากกว่า”

“กำลังประจบใช่ไหม” จางหลินพูดพลางหัวเราะซึ่งทำให้หยีเจินต้องหลบตาข้าพเจ้า

เราคุยกันต่อมาอีกประมาณ ๒๐ นาที เจ้าของบ้านก็เชิญเข้านั่งโต๊ะอาหาร ซึ่งอยู่ในห้องถัดไปจากห้องรับแขก โต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้ดำอย่างแบบเก่า ตะเกียบงาถ้วยเงิน ผ้าปูโต๊ะทำด้วยผ้าลูกไม้โปร่งอย่างดี ฯลฯ เครื่องใช้ประจำโต๊ะล้วนตระเตรียมไว้อย่างประณีต แสดงให้เห็นความละเอียดเป็นระเบียบเรียบร้อยของเจ้าของบ้าน ข้าพเจ้านั่งใกล้จวนฟาง หล่อนชวนพูดตลอดเวลา ทุกคนประหลาดใจที่ข้าพเจ้าสามารถใช้ตะเกียบได้อย่างคล่องแคล่ว และดูเหมือนจะยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อข้าพเจ้าเล่าให้ฟังถึงเรื่องก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ในเมืองไทย ซึ่งเป็นครูสอนให้เรารู้จักใช้ตะเกียบเป็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน จางหลินคุยเรื่องอาหารให้ฟังอย่างสนุก เขาพูดถึงร้านอาหารเก่าแก่ในปักกิ่ง บางร้านตั้งมาแล้วเป็นเวลานานกว่าสองศตวรรษ ป้ายร้านวันแรกซึ่งเดิมแขวนอยู่หน้าร้าน บัดนี้ได้กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไป คือเอาไปเก็บไว้บนแท่นบูชา เมื่อพูดถึงเป็ด เขาคุยว่าที่ไหนก็สู้ไม่ได้ เป็ดปักกิ่งตัวใหญ่ มันมากจนเกือบไม่ใช่เป็ด ที่จริงก็เป็ดธรรมดา แต่วิธีเลี้ยงทำอย่างพิเศษ คือเอาเป็ดมารวมไว้ในเล้าอย่างแน่นขนัดจนเคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ ให้อาหารอย่างฟุ่มเฟือย วิธีนี้เองเขาว่าทำให้เป็ดอ้วนมีมันมากอย่างไม่น่าเชื่อ ติงถิงจางว่าจะเชิญข้าพเจ้าไปร้านเป็ดที่มีชื่อเสียงที่สุดทางเฉียนเหมิน ร้านนี้ตั้งมาร้อยกว่าปีแล้ว พวกชาวต่างประเทศชอบไปกันบ่อย ๆ

ระหว่างรับประทานอาหาร ข้าพเจ้าจับความจริงได้ว่า จางหลินกับจวนฟางสนิทสนมกันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบประวัติของคนทั้งสอง แต่คะเนได้ว่าเขาคงรู้จักกันมานานพอใช้ แม้จางหลินจะมีท่าทางเป็นคนเข้มแข็ง เก็บความรู้สึกเก่ง แต่เขาก็หนีสายตาข้าพเจ้าไม่พ้น เขามีใจผูกพันอยู่กับจวนฟางมากกว่าคนอื่นๆ ทุกครั้งที่หล่อนพูดเขานิ่งฟังอย่างเอาใจใส่ ไม่คัดง้างโต้แย้งแสดงความเห็นตรงกันข้ามแต่อย่างใดเลย จวนฟางอ่อนหวานละมุนละไมกับเขาไม่น้อยกว่าที่หล่อนแสดงต่อข้าพเจ้า สำหรับข้าพเจ้าผู้เป็นแขกหน้าใหม่ของนครปักกิ่ง ทุกคนแม้แต่หยีเจินผู้เงียบขรึมก็ย่อมจะต้องแสดงความเอาใจใส่ทุกๆ ทางเท่าที่จะพึงปฏิบัติได้ตามมารยาทอันดีของเจ้าของบ้าน โดยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่ประหลาดใจในมิตรภาพอันอบอุ่นซึ่งจวนฟางได้มอบให้แก่ข้าพเจ้าในเย็นวันนั้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ