๓๖
ถ้อยคำของจางหลินทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นความจริงข้อหนึ่งในเรื่องความรักชาติ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความรักชาติเป็นคุณธรรมอันสูงเลิศอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่ว่าสูงเลิศก็เพราะความรักชาติเป็นที่เกิดของการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ การเสียสละเป็นเสมือนปรอทที่วัดความสูงต่ำของจิตใจ ผู้ใดเสียสละมากเท่าใดก็เห็นแก่ตัวน้อยเท่านั้น เมื่อมีความเห็นแก่ตัวน้อยลง จิตใจก็ย่อมเจริญมากขึ้นไปตามส่วน ความเห็นแก่ตัวเป็นความชั่วร้ายที่ไม่มีอะไรจะวัดได้ ความเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมของมนุษย์เต็มไปด้วยความวิบัติ ไม่มีความสงบ ไม่มีความเห็นใจ ความเห็นแก่ตัวทำให้มนุษย์คิดแต่เรื่องของตัว เอาตัวรอดอย่างใครดีใครได้ ทีใครทีมัน ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ฉันได้ประโยชน์ก็แล้วกัน ความรักชาติที่ถูกทางย่อมจะอยู่ตรงกันข้ามกับความเห็นแก่ตัวเสมอ ความรักชาติทำให้มนุษย์ขยายวงความคิดกว้างออกไป คือคิดถึงทุกข์สุขของพี่น้องร่วมชาติ และพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของพี่น้องร่วมชาติทุกขณะ ความรักชาติที่ละมุนละไมเต็มไปด้วยศีลธรรมอันสูงเช่นนี้แหละ เป็นบันไดขั้นสำคัญที่นำดวงความคิดให้ตีวงออกไปถึงความรักที่กว้างขวางที่สุด นั่นคือความรักความเมตตาของพระพุทธเจ้า ความรักความเมตตาอันกว้างขวางนี้เองเป็นยอดปรารถนาของผู้ที่เจริญแล้ว เป็นอานุภาพอันเดียวที่จะกู้สันติภาพให้คืนมา ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในความรักชาติที่ถูกทาง ว่าเป็นสื่อสำคัญที่ทำให้มนุษย์คลายความเห็นแก่ตัวลง แต่ในเมืองจีนตลอดยุคปฏิวัติอันเต็มไปด้วยความปั่นป่วนที่ล่วงมาแล้ว มีบุคคลไม่น้อยที่ยึดเอาความรักชาติเป็นเครื่องสนับสนุนความต้องการของตน ชาวจีนไม่ลืมพวกขุนศึกที่ตั้งตัวขึ้นในแคว้นต่าง ๆ ทุกคนอ้างถึงการกระทำของตนว่าเป็นการกระทำเพื่อชาติ เขารบราฆ่าฟันกันเองก็เพื่อชาติทั้งนั้น อันนี้เป็นความสลดใจของความรักชาติ ข้าพเจ้าเห็นใจจางหลิน เขามีความรู้สึกในเรื่องชาติบ้านเมืองอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้นจึงมีความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างพรรณนาไม่ได้ เมื่อได้เห็นผู้ที่ยึดเอาความรักชาติเป็นเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์ส่วนตัว แต่จะช่วยอะไรได้ในเมื่อโลกมนุษย์ยังเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว คิดแต่ประโยชน์ของตัว เอาเปรียบกินแรงคนอื่น ตลอดจนต้องการจะกดขี่ย่ำเหยียบผู้อื่น
จางหลินได้เล่าเรื่องเมืองจีนให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียดในวันนั้น เขาช่วยทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ทำไมเขาจึงเลือกที่จะเป็นนักต่อสู้เพื่อประเทศชาติมากกว่าที่จะเป็นผู้จัดการบริษัทเหมืองแร่อันใหญ่โตในมลายู เขากล่าวต่อไปว่า
“เธอคงประหลาดใจเหมือนที่ฉันประหลาดใจตัวเองว่า ทำไมฉันจึงไม่เลือกเอาทางที่เต็มไปด้วยความสุขความปลอดภัย ทำไมฉันจึงเลือกเอาทางที่เต็มไปด้วยความตายทุก ๆ กระเบียดนิ้ว ฉันได้เคยเล่าให้ฟังบ้างแล้วว่า เหตุใดฉันจึงมาเป็นนักหนังสือพิมพ์ ฉันได้เห็นตัวอย่างอันดีเลิศของการเป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันอาจจะช่วยชาติบ้านเมืองของฉันได้อย่างเต็มฝีมือถ้าฉันมานั่งเขียนหนังสือ แต่ทั้งนี้ฉันย่อมสำนึกอยู่เสมอว่า การเขียนหนังสือของฉันก็คือการหาภัยใส่ตัว ฉันอาจจะตายได้ทุก ๆ วินาทีที่ฉันเขียนพลาดไปเพียงหนึ่งตัวอักษร เธอคงทราบดีว่าทุกวันนี้ในเมืองจีนเราไม่มีอิสรภาพอย่างพอเพียงที่จะเขียนอะไรก็ได้ ถ้าอยากจะมีปากกาที่เป็นอิสระ เราจะต้องไปนั่งเขียนในเซี่ยงไฮ้ อาศัยอำนาจของพวกฝรั่งช่วยป้องกันไม่ให้ตำรวจยื่นมือเข้าไปถึง แต่ฉันเป็นคนจีนที่มีวัฒนธรรมความเจริญมาก่อนหน้าพวกฝรั่ง ฉันมีความนับถือตัวเองมากพอที่จะไม่เอาบารมีฝรั่งมาเป็นเครื่องป้องกันชีวิต ฉันรู้สึกละอายที่จะทำเช่นนั้น ฉันยินดีจะเผชิญหน้ากับความตายเพราะการเขียนหนังสือในที่แจ้ง ๆ เช่นนี้มากกว่า ฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้แก่ชาติแล้ว ฉันยินดีให้พี่น้องร่วมชาติของฉันจับตัวไปฆ่าไปแกงตามแต่เขาปรารถนา คนเราเกิดมาครั้งเดียวเท่านั้น ระพินทร์ และเราก็ต้องตายครั้งเดียวเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะตาย เราก็ควรจะได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่โลกไว้บ้าง อย่ามาเปล่าไปเปล่า เพราะนั่นมันเป็นลักษณะของคนรกโลก ฉันจะไม่ยอมไปเปล่าเป็นอันขาด ฉันต้องการจะตายด้วยความภาคภูมิใจอันสูงว่า ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวจนเกินไป”