๑๐

ในชีวิตของข้าพเจ้า ถ้าแม้จะมีตอนใดตอนหนึ่งที่ตื่นเต้นจนข้าพเจ้าไม่อาจจะลืมเสียได้ ตอนนั้นก็คือขณะที่รถไฟแล่นเข้าเขตนครปักกิ่ง เมื่อปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ ข้าพเจ้าได้เคยอ่านเรื่องราวของเมืองโบราณแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งอยู่เมืองไทย ที่ฮ่องกงข้าพเจ้าก็ได้พบเรื่องราวที่เกี่ยวกับกรุงปักกิ่งอีกมากมาย ตลอดจนได้เห็นภาพถ่ายและภาพเขียน ซึ่งแสดงให้เห็นชีวิตที่เต็มไปด้วยเนื้อแท้แห่งวัฒนธรรมจีนที่ยังมิได้ถูกกลืนหายไปในวัฒนธรรมฝรั่งจนหมดสิ้นเช่นที่เซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้าได้เคยอ่านพบข้อความที่กล่าวว่า ปักกิ่งเป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของจีน ๔๖๒๑ ปีมาแล้ว เหนือแผ่นดินที่ปักกิ่งตั้งอยู่เดี๋ยวนี้ ชื้อหยิวประมุขของชาวชนบทเดิม ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นพวกไทย ได้ทำศึกกับหวงตี้ พ่อเมืองของจีนอย่างเต็มฝีมือ ศึกครั้งนั้นเป็นศึกใหญ่ยิ่งในสมัยเริ่มแรกแห่งประวัติศาสตร์ของจีน—เป็นศึกที่แสดงให้เห็นการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าของถิ่นเดิมกับพวกจีน ซึ่งอพยพกันมาจากภาคตะวันตกของบูรพาทวีป และกำลังตั้งรกรากลงในลุ่มแม่น้ำเหลือง การปะทะระหว่างผู้บุกรุกคือจีนกับพวกเจ้าของถิ่นเช่นพวกเหมียว อันมีพวกไทยปนอยู่ด้วยนี้ ได้ดำเนินไปอย่างรุนแรงตลอดยุคดึกดำบรรพ์ พวกเจ้าของถิ่นทานกำลังพวกจีนไม่ได้ ก็ถอยร่นลงไปทางใต้เรื่อย ๆ ศึกระหว่างชื้อหยิวกับหวงตี้เมื่อสี่พันกว่าปีก่อนทำให้ข้าพเจ้ามองดูปักกิ่งด้วยความตื่นเต้น คือตื่นเต้นในข้อที่ว่า ข้าพเจ้าได้ย่างเหยียบเข้าไปในแผ่นดินที่เมื่อสี่พันกว่าปีก่อน ได้นองไปด้วยเลือดไทยและเลือดจีน ข้าพเจ้าเป็นคนไทย มีหัวใจที่บูชาอิสรภาพของตัวเอง ตลอดจนอิสรภาพของชาติไม่น้อยกว่าคนไทยทุกยุคทุกสมัย ฉะนั้นเมื่อได้กลับไปเห็นถิ่นเดิม ซึ่งเคยเป็นของคนไทย ข้าพเจ้าก็อดที่จะรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรงไม่ได้ นี่คือปักกิ่ง........นี่คือแผ่นดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของไทย ถึงหากว่าปักกิ่งจะเป็นของจีนไปทุกอย่าง แต่อย่างน้อยปักกิ่งก็ยังคงมีกระดูกคนไทยฝังอยู่ใต้พื้นแผ่นดิน วิญญาณของคนไทยคงจะยังวกเวียนอยู่เหนือยอดต้นสนและต้นหลิว....คงจะยังไม่ลืมความโศกของฤดูชิวเทียน....คงจะยังจำความสวยสดงดงามของฤดูชุนเทียนได้ คนไทยไม่ลืมอะไรง่าย ๆ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ลืม

ขณะที่รถไฟแล่นลอดประตูโค้งมหึมาที่เจาะลอดกำแพงเมืองชั้นนอกเข้าไปนั้น จางหลินได้มายืนอยู่ข้าง ๆ ข้าพเจ้าที่ช่องหน้าต่าง เขาเอ่ยขึ้นว่า

“นี่ไงล่ะปักกิ่ง เธอมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง”

“เหมือนได้กลับบ้านเก่า” ข้าพเจ้าตอบพลางมองดูกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ยาวยืดที่แล่นขนานไปกับทางรถไฟ จางหลินมองอย่างไม่เข้าใจความหมาย แต่เขามิได้ซักถามอย่างไร

“เธอมีคนมารับหรือเปล่า?” ในที่สุดเขาหันหน้ามาถาม

“ไม่มี แต่แท๊กซี่คงจะพาฉันไปได้”

“เธอจะไปที่ไหน?”

“คอลเลชออฟไชนีสสตัดดีส์”

“อ๋อ อยู่ที่ตงซื่อผายโล่ว ทางอิสต์ซิตี้ ฉันจะไปส่ง”

“ขอบใจ แต่ฉันไปเองได้ อย่าต้องลำบากเลย”

สหายใหม่ของข้าพเจ้ายิ้มอย่างมั่นใจในถ้อยคำของเขา

“ให้ฉันมีโอกาสรับใช้เธอเป็นครั้งแรกเถิด” เขาตบไหล่ข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเอง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ