๒๐

เมื่อบันทึกมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็นึกไปถึง วารยา ราเนฟสกายา สตรีผู้นี้ข้าพเจ้าได้พบทีหลังจวนฟาง เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันดูก็แลเห็นถนัดว่า วารยา กับ จวนฟาง มีชีวิตจิตใจห่างไกลกันลิบลับ คนทั้งสองอาจมีความดีเท่ากันหรือคล้ายกัน แต่เมื่อพูดถึงความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจแล้ว ก็กล่าวได้ว่ามีลักษณะตรงกันข้ามทีเดียว วารยามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความเศร้า มองดูโลกด้วยความชาเย็นและเบื่อหน่าย ความทุกข์ยากของชีวิตได้เปี่ยมล้นอยู่ในชีวิตจิตใจ ส่วนจวนฟางนั้นหัวใจของหล่อนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีรอยดำด่างแห่งความผิดหวังแต่อย่างใดเลย หล่อนเปรียบเหมือนดอกไม้ที่แรกแย้มในตอนเช้าตรู่ ฉ่ำชื่นไปด้วยหยาดน้ำค้าง อบอุ่นไปด้วยแสงอรุณอันเหลืองอร่าม ชีวิตของจวนฟางเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง เป็นชีวิตที่สวยงามเหมือนความงามในดวงหน้า หล่อนไม่เคยคิดว่าในโลกนี้ความผิดหวังได้ซุกซ่อนตัวอยู่มากมายเพียงไร หล่อนไม่เคยรู้ว่าโชคชาตาเป็นนายที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ จวนฟางยังใหม่ต่อชีวิตมาก ข้าพเจ้าจับได้จากถ้อยคำของหล่อนเมื่อพบกันในวันต่อ ๆ มาว่า หล่อนเป็นคนที่มองแต่ในแง่ดีของมนุษย์ ไม่พยายามที่จะคิดว่าใครจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกของจวนฟางเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทิน หล่อนสะอาดและไม่เดียงสาจนเกินที่จะควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จวนฟางเป็นคนดี บางทีโลกอาจไม่ต้องการคนอย่างหล่อนอีกก็เป็นได้

การพบปะกันในวันแรกที่บ้านจางหลินได้ให้ความรู้สึกแก่ข้าพเจ้าว่า จวนฟางเป็นบุคคลคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องเอาใจใส่ หล่อนอาจเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกที่ช่วยให้ข้าพเจ้ารู้จักสุภาพสตรีชาวจีนดีขึ้น หลังจากวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้พบจวนฟางอีกหลายคราว ซึ่งเป็นการพบโดยบังเอิญเป็นส่วนมาก ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนรู้อุปนิสัยใจคอของหล่อนทีละน้อย จนกระทั่งในที่สุดก็ลงความเห็นได้ว่า ข้าพเจ้าได้พบมิตรที่ดีอีกผู้หนึ่ง

ความอบอุ่นแห่งมิตรภาพที่จางหลินและจวนฟางได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปักกิ่งไม่ได้ใหม่ต่อความรู้สึกจนเกินไป แม้จะเป็นเวลาที่เหมันตฤดูกำลังย่างเข้ามา แต่หัวใจของระพินทร์ พรเลิศก็ยังอุ่นอยู่เสมอด้วยไมตรีจิตของเพื่อนใหม่ทั้งสอง ข้าพเจ้าได้พบจางหลินอีกหลายคราวภายในเวลา ๑ เดือนแรกในปักกิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังตอบไม่ได้ว่า ทำไมบุรุษผู้นี้จึงเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ คราวหนึ่งข้าพเจ้าไปเยี่ยมเขาที่สำนักงานหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉือป้าว หรือ The Peiping Times ซึ่งเขาเป็นบรรณาธิการอยู่ จางหลินถามว่า ข้าพเจ้าคุ้นเคยชีวิตเมืองจีนบ้างแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่าจะคุ้นบ้างก็เฉพาะชีวิตในปักกิ่งเท่านั้น เมืองจีนกว้างใหญ่ไพศาล ข้าพเจ้ายังต้องการเวลาที่จะศึกษาอีกมาก เขายิ้มอยู่ในหน้า ซึ่งเป็นอาการที่เขาชอบทำเมื่อยังมีอะไรอยู่ในจิตใจซึ่งไม่อยากจะพูดออกมา เราคุยกันถึงเรื่องงานหนังสือพิมพ์ จางหลินถามว่า

“ในเมืองไทย งานหนังสือพิมพ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ข้าพเจ้านิ่งตรอง แล้วจึงได้ตอบด้วยความระมัดระวัง

“หนังสือพิมพ์ของเรายังอยู่ในระยะที่กำลังจะเติบโต เรามีหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ อยู่หลายฉบับ บางฉบับตั้งมาก่อน ค.ศ. ๑๙๐๐”

“เก่าพอใช้ทีเดียว” เขาพูดพลางหยิบหนังสือรายปักษ์ออกมาจากลิ้นชักเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ก็ตั้งมาก่อน ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นหนังสือสารคดีล้วน แต่มีความเห็นทางการเมืองเหมือนกัน บางทีพูดตรงไปจนกระทั่งต้องย้ายสำนักงานไปตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

“การพูดตรงต้องทำให้หนังสือพิมพ์ที่นี่ต้องย้ายสำนักงานไปอยู่ในเซี่ยงไฮ้เสมอไปหรือ?”

จางหลินหัวเราะอย่างขบขัน

“เธอคงจะรู้จักเมืองจีนดีขึ้น ถ้าเธอเข้าใจว่าเซี่ยงไฮ้เป็นป้อมที่อาศัยของพวกที่ต้องการจะออกความเห็น”

“ฉันยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง”

“เธอจะเข้าใจได้อย่างไร ฉันรู้ว่าเธอไม่เข้าใจ เมืองจีนยังมีอะไรอีกมากที่เธอยากที่จะเข้าใจได้” เขาพูดช้า ๆ แต่ถ้อยคำหนักแน่นเต็มไปด้วยความจริงใจ “ฉันเป็นคนจีน มีเลือดจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันเกิดที่นี่และคงตายที่นี่ แต่แม้กระนั้น บางคราวเมืองจีนก็ยังมีสิ่งที่ฉันประหลาดใจ แต่มันช่วยอะไรยาก เรามีคนมากกว่า ๔๐๐ ล้าน ที่เป็นลูกตุ้มเสียอย่างต่ำ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คนพวกนี้ไม่เข้าใจว่าประเทศชาติต้องการอะไร เรายังต้องการเวลาอีกนานกว่าจะทำให้เขาเข้าใจว่า เชามีค่าสำหรับชาติบ้านเมือง เขาไม่ใช่เครื่องมือของคนหลาย ๆ คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เธอถามฉันเรื่องสงครามกลางเมือง เรารบกันเองฆ่ากันเองมานานแล้ว ความจริงเหล่านี้เป็นเรื่องน่าละอาย เพราะมันเกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจ นี่แหละเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเรานักหนังสือพิมพ์ที่ต้องการพูดตรง ๆ ต้องเข้าไปขังตัวเองอยู่ในเซี่ยงไฮ้”

“ถ้าเช่นนั้นเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเมืองสวรรค์ของพวกหนังสือพิมพ์น่ะสิ?”

คำถามอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจของข้าพเจ้าทำให้จางหลินถอนใจเบา ๆ

“ค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าละอายอยู่บ้าง ถ้าฉันจะสารภาพว่า พวกเราที่นี่ ถ้าต้องการจะพูดตรง ๆ แล้วก็ต้องพูดที่เซี่ยงไฮ้ ที่นั่นตำรวจเอื้อมเข้าไปไม่ค่อยถึง”

ข้าพเจ้าเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้นยากที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ ข้าพเจ้าเริ่มแลเห็นราง ๆ ว่า เพราะเหตุใดโลกจึงไม่ต้องการคนอย่างจางหลิน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ