๖๑

ขณะนั้นพอดีรถบัสของเราแล่นเข้าเทียบชานมหาวิทยาลัยเยียนจิง ตรงประตูซุ้มซึ่งมีสิงห์โตหินสูงท่วมศีรษะตั้งอยู่คู่กันสองตัว ข้าพเจ้าอยากจะถามข้อเท็จจริงจากออสมียาต่อไปอีก จึงรู้สึกเสียดายมากที่จะต้องบังคับตัวเองให้ลงจากรถ “อย่าลืมวันพุธนะ ระพินทร์” เขาพูดขณะที่ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน “ที่บ้านฉัน เธอคงรู้จักดีแล้ว”

ข้าพเจ้าลงจากรถก็เดินดุ่มเข้าประตูมหาวิทยาลัยไปอย่างงง ๆ “จวนฟางมีคู่รักเสียแล้ว” คำพูดของออสมียาประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ในหู แปลว่าอะไรกัน? ใครเป็นคู่รักของจวนฟาง? เขาคงจะเป็นเศรษฐีมีเงินนับแสน แต่เงินไม่ใช่อุดมคติของผู้หญิงคนนี้ ข้าพเจ้ารู้ดี จวนฟางไม่ต้องการเงิน หล่อนเป็นคนดีพอ และมีความคิดสูงพอที่จะเข้าใจว่า เงินกับหัวใจเป็นคนละเรื่อง จวนฟางต้องการคนดี ต้องการคนที่มีใจสูง จางหลินควรจะเป็นคนในอุดมคติของหล่อน แต่ทำไมจวนฟางจึงไม่ต้องการคนอย่างจางหลิน ข้าพเจ้าควรจะเชื่อออสมียาได้หรือไม่ในเรื่องคู่รักของจวนฟาง?

ความประสงค์ของการไปมหาวิทยาลัยเยียนจิงวันนั้น ก็เพื่อจะพบกับดุสิตชายหนุ่มเชื้อจีนซึ่งเคยอยู่ในเมืองไทย ดุสิตจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังเดาไม่ออก แต่ข้าพเจ้าคะเนว่า เขาคงเป็นคนสูงใหญ่ ปราดเปรียว ท้องคอดอย่างนักกีฬา และแจ่มใสร่าเริงคึกคะนอง ข้าพเจ้าเดินนึกถึงจวนฟางบ้างดุสิตบ้างจนผ่านบึงใหญ่ที่แวดล้อมไปด้วยโขดหินซึ่งประดับไว้ด้วยฝีมือของนายช่างผู้ชำนาญ ในบึงน้ำแข็งกำลังละลาย ลานสะเก๊ทที่นิสิตชายและหญิงเคยโลดเต้นอยู่บน ปิงเสีย หรือรองเท้าสเก๊ท บัดนี้เต็มไปด้วยฟองน้ำแข็งที่ฝ่อละลายกลายเป็นน้ำ นิสิตชายและหญิงหลายคนเดินผ่านข้าพเจ้าไป โดยไม่สนใจในแขกหน้าใหม่ของเยียนจิง เพราะเป็นธรรมดาที่ใครต่อใครจะไปที่เยียนจิงในวันหยุด ที่สถานศึกษาแห่งนี้มีแขกไปพักอยู่เนืองนิตย์ ไปเปลี่ยนอากาศบ้าง พักผ่อนบ้าง เยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงบ้าง เขามีห้องรับแขกและห้องนอน ห้องน้ำสำหรับแขกไปพัก แขกพวกผู้ชายก็พักอยู่กับพวกผู้ชาย ซึ่งอยู่นอกบริเวณหอนอนของนิสิตหญิง ส่วนแขกผู้หญิงก็พักอยู่กับฝ่ายหญิง ไม่มีการปะปนกัน ข้าพเจ้ายังไม่คุ้นเคยกับใครกี่คนนัก นอกจากเพื่อนสองสามคนซึ่งฮูเวอร์แนะนำที่ Y.M.C.A. คนหนึ่งที่ข้าพเจ้าค่อนข้างจะรู้จักเป็นอย่างดีก็คือ เจียงเหมย

เด็กหญิงไว้ผมเปียคู่ซึ่งเป็นน้องสาวของเจียงเฟ หัวหน้านักเรียนแห่งมหาวิทยาลัยฝู่เหรินและเป็นติวเตอร์ทางภาษาของข้าพเจ้าที่คอลเลชออฟไชนิสสตัดดีส์ ซึ่งกำลังมีข่าวว่าถูกประหารชีวิตไปแล้ว เจียงเหมยอายุน้อยเกินไปที่จะเข้าใจว่า ในโลกนี้ยังมีความผิดหวังเหลือไว้ให้หล่อนอีกมากมายนัก เจียงเหมยเป็นคนร่าเริง เห็นชีวิตเป็นสิ่งที่สวยงามไปทั้งสิ้น ๒๐ ปีในโลกนี้ไม่ได้ทำให้เธอสงสัยใคร เมื่อพูดถึงมิตรสหายเจียงเหมยก็ว่าทุกคนล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น “เขาเป็นเพื่อนที่ดียิ่งของฉัน” เธอมักชอบพูดอย่างนี้เสมอ เพื่อนที่ดียิ่ง! อนิจจา! ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ชอบพูดอย่างเจียงเหมย ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่ดีอยู่แทบทุกหัวระแหง ทุกคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก ข้าพเจ้ามักคิดว่าคงดีต่อข้าพเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าดีต่อเขา แต่ว่า—มันช่างอนาถใจอะไรเช่นนั้น ทุกๆ วันที่ผ่านไปข้าพเจ้ามักค้นพบความจริงใหม่ ๆ คือค้นพบว่าเพื่อนที่ดีที่สุดได้กลับกลายเป็นเพื่อนเลวที่สุดไป เพื่อนบางคนข้าพเจ้าเคยคิดว่าเป็นคนใจกว้าง, นักเลง, ซื่อตรง, เปิดเผย, ไม่เอาเปรียบ กลับกลายเป็นคนรู้มากเห็นแก่ตัว ตลบตะแลงเห็นเงินเป็นพระเจ้า ทุกวันทุกคืนเขาพูดถึงแต่เงินและความเป็นเศรษฐีของเขา เขาคิดว่าเงินมีอำนาจ เขาเชื่อว่าเงินสามารถฟาดหัวคนในโลกได้ทุก ๆ คนโดยไม่มีการยกเว้น อนิจจา! เงิน! ในโลกนี้มีแต่เงินเท่านั้นหรือที่เขาต้องการ? ไม่มีไมตรีจิตมิตรภาพ ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ไม่มีความรักที่ขาวสะอาดอีกแล้วหรือที่เขาควรจะต้องการอีก? ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนบันทึกเรื่องราวของจางหลินนี้ ข้าพเจ้าก็ค้นพบหัวใจของ “เพื่อนที่ดียิ่ง” อีกคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ ข้าพเจ้าคบเขามาตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๑ เมื่อประมาณหลายสิบปีมาแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดีเลิศ ข้าพเจ้าเคยเอาเกียรติของข้าพเจ้าเข้าประกันเกียรติของเขาหลายครั้ง ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่อเช่นนี้ แต่ผลที่สุดข้าพเจ้าก็กลายเป็นคนโง่อยู่ตามเดิม เพื่อนคนนี้ได้หันหลังให้ข้าพเจ้าอย่างเลือดเย็น ขณะที่ข้าพเจ้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเขาเป็นครั้งแรก มันช่วยไม่ได้นะท่าน ข้าพเจ้าไม่มีอะไรที่เขาจะเอาไปเป็นประโยชน์ได้ มันเรื่องของประโยชน์ไม่ใช่เรื่องของมิตรภาพอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่กว่าข้าพเจ้าจะรู้ว่าเพื่อนคนนี้เขาคบคนเพื่อเอาประโยชน์อย่างเดียว ข้าพเจ้าก็ต้องใช้เวลาเรียนถึงหลายสิบปี! เพื่อนอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเลิกใช้คำว่า “เพื่อน” เสียแล้ว ข้าพเจ้าถือว่าเขาเป็นเพียงคนที่เคยรู้จักเท่านั้น

  1. ๑. หมายเหตุ ดูเรื่อง เมื่อหิมะละลาย ในหนังสือพิมพ์ สวนอักษร รายปักษ์ ปีที่ ๑ เล่มที่ ๑๗ ประจำวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๕ ตอนที่ลงไว้ใน สวนอักษร เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น เมื่อหิมะละลาย เป็นเรื่องยาวหลายร้อยหน้า ซึ่งผู้แต่งได้เขียนจบภาคต้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ และพิมพ์ออกเป็นเล่มแล้ว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ