๒๗
ในบันทึกชีวิตของจางหลินและจวนฟาง ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่เหมือนกับการบันทึกชีวิตของวารยา ราเนฟสกายา แม่เพื่อนรัก ในชีวิตของวารยา ข้าพเจ้าเพียรที่จะแสดงภาพชีวิตที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง—เต็มไปด้วยความเศร้าในส่วนตัวบุคคล แต่ในเรื่องชีวิตของจางหลินเพื่อนรักอีกผู้หนึ่ง ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอันใหญ่ยิ่งที่จะแสดงภาพชีวิตของการต่อสู้ดิ้นรนของผู้ที่หวังดีต่อสังคมของมนุษย์ การต่อสู้ดิ้นรนนี้ เป็นการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นการต่อสู้เพื่อส่วนรวม ไม่มีประโยชน์ส่วนตัวเจือปนอยู่แต่ประการใด ถูกแล้ว การต่อสู้ของจางหลินคงต้องจบลงด้วยความเศร้าเช่นเดียวกับวารยา แต่จะแปลกอะไรในเมื่อความเศร้าเป็นของธรรมดาที่สุดสำหรับนักต่อสู้เช่นนี้ ในสมุดประวัติศาสตร์ เราพบแต่ความเศร้าเป็นรางวัลของนักต่อสู้อย่างจางหลิน เราพบความพินาศล่มจมของชีวิตตลอดจนความตายรอคอยอยู่เบื้องหน้า นั่นเป็นของธรรมดา คนพวกนี้เขากำลังเอาไข่เข้ากระทบกับหิน เขารู้ดีว่าเกมการต่อสู้ของเขาจะจบลงในลักษณะเช่นไร เขารู้ดีว่าเขากำลังเอาไข่เข้ากระทบกับหิน เขารู้ดีว่าเขากำลังเล่นกับไฟของกิเลศที่ยากจะมีอะไรมาดับได้ ไฟดวงนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงพยายามดับมาแล้วเป็นเวลานานถึง ๒๔๘๕ ปี แต่ท่านคิดหรือว่าไฟกิเลศได้ดับไปสิ้นแล้วทุกซอกทุกมุม ในชีวิตจิตใจของมนุษย์ปัจจุบัน? มันเป็นเรื่องของความสลดใจนะท่าน ที่เราจะต้องตกอยู่ในวัตตสงสาร และผจญกับความโสมมทั้งปวงต่อไปอีกโดยไม่จำกัดเวลา นักบุญเป็นอันมากได้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของเขา เพื่อที่จะดับลูกไฟดวงนี้ คนพวกนี้เกิดมาด้วยดวงจิตอันขาวสะอาด ไม่มีความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง ไม่มีการย่ำเหยียบคนอื่น ไม่มีการหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีรอยยิ้มที่ปกปิดความโสมมในหัวใจ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ใจนักเลง เห็นใจและมองเพื่อนร่วมโลกของเขาแต่ในด้านดี เขาเสียสละประโยชน์ของคนอื่น มีความปรารถนาอันสุจริตที่จะแลเห็นนมนุษย์รักใคร่กันช่วยเหลือกัน เขาต้องการจะเห็นโลกมีลักษณะที่น่าอยู่กว่านี้ เขาเข้าใจดีว่า ความเจริญอันแท้จริงของชาติมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เรือเดินสมุทรอันเป็นเสมือนปราสาทลอยน้ำ หรืออยู่ที่เครื่องบินยักษ์ที่เป็นเสมือนวิมานลอยฟ้า แต่อยู่ที่หัวใจของมนุษย์ต่างหาก........หัวใจดวงเดียวที่จะสร้างโลกให้เป็นสวรรค์อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่คือความปรารถนาของพวกนักบุญทุกยุคทุกสมัย–ความปรารถนาที่แทบไม่มีใครเข้าใจ—ความปรารถนาที่เกือบจะเป็นความปรารถนาของคนบ้าผู้มีสติวิปลาส นี่แหละโลก! นี่แหละชีวิต! ท่านเข้าใจว่าอย่างไร?
จางหลินอาจอยู่ในจำพวกนักบุญคนหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่อยากจะยกย่องเขาด้วยปลายปากกา ข้าพเจ้ามีหน้าที่แต่เพียงจะแสดงภาพชีวิตของเขาไว้ในบันทึกสมุดปกเขียว เพื่อเป็นเครื่องระลึกว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย ข้าพเจ้าได้พบอะไรบ้าง ข้าพเจ้าได้พบความดีความชั่วมามากเพียงไหน ข้าพเจ้าได้ผ่านมนุษย์ชนิดต่าง ๆ กันมากี่ร้อยกี่พันคน รวมความว่าข้าพเจ้าได้เห็นอะไรบ้างในโลกอันมืดมัวนี้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นได้ช่วยให้ข้าพเจ้าสรุปใจความสำคัญได้ ในลักษณะเช่นไร จางหลินเป็นแต่ตัวละครตัวหนึ่งบนเวทีของชีวิตที่บอกข้าพเจ้าว่า ในโลกเช่นนี้นักบุญก็คือคนบ้า—บ้าอย่างน่าสงสารที่สุดเทียวท่าน!
พูดถึงนักบุญ ข้าพเจ้านึกไปถึงฮูเวอร์หมอสอนศาสนาผู้นี้ได้บำเพ็ญตนเป็นนักบุญอย่างเต็มที่ เขาคุยกับข้าพเจ้าถึงเรื่องความเห็นใจระหว่างมนุษย์ เขาพูดถึงความรักและความเมตตากรุณา เขาบอกว่าโลกนี้จะมีสุขได้ก็เพราะมนุษย์รู้จักรักกัน ศาสนาคริสเตียนเป็นศาสนาของความรัก ความรักสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้สันติภาพมีอยู่ในโลกนี้ได้ เขาต้องการให้มนุษย์รักกัน เห็นใจกันช่วยเหลือร่วมมือกัน เขาเกลียดความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งปวงในโลกนี้ ความคิดเห็นของฮูเวอร์ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะหวังว่า ถ้ามนุษย์ทุกคนกลายเป็นนักการศาสนาที่หัวใจไม่ใช่ริมฝีปาก โลกก็จะมีความปั่นป่วนน้อยกว่านี้มาก ถ้าพวกฝรั่งทั้งหลายเป็นคริสเตียนที่แท้จริง การประชุมโต๊ะกลมก็คงจะไม่ต้องเลิกล้มกันบ่อย ๆ ปัญหาเศรษฐกิจที่ว่าแก้ไม่ตกก็คงจะไม่มี ปัญหาการเมืองร้อยแปดที่เต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ–เต็มไปด้วยการย่ำเหยียบฝ่ายที่อ่อนแอกว่าก็คงจะเกิดมีขึ้นไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ใช่คริสเตียน แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าศาสนาคริสเตียนมีส่วนดีมากพอที่จะทำให้โลกมีความสุขมากกว่านี้ ฮูเวอร์อาจเป็นคริสเตียนที่แท้จริงคนหนึ่ง เขาต้องการทำงานเพื่อคนทุกชาติ ทุกภาษา เขาต้องการจะเห็นความร่มรื่นชื่นบานมีอยู่ในสังคมของมนุษย์ เขาได้ปฏิญาณตัวไว้ว่าจะอยู่ในเมืองจีนและรับใช้ชาวจีนจนนาทีสุดท้าย เขาต้องการจะเปิดโรงเรียนและโรงพยาบาล–ต้องการท่องเที่ยวไปในดินแดนชั้นในของจีนอันแสนทุรกันดาร เพื่อทำหน้าที่ของมนุษยธรรมเท่าที่จะทำได้ ถูกแล้ว! เขาได้รับใช้ชาวจีนจนกระทั่งนาทีสุดท้าย! ฮูเวอร์ผัวเมียได้ผ่านนาทีสุดท้ายของเขาไปแล้ว อีกสี่ปีต่อมาพวกโจรใจร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ทั่วไปในดินแดนชั้นในได้จับเอาผัวเมียคู่นี้ไปแล้วเรียกเอาค่าไถ่ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่เกือบจะเป็นของธรรมดาในประเทศจีน การเจรจาเพื่อจะไถ่ตัวนักบุญคู่นี้ออกมาได้ดำเนินไปเป็นเวลาแรมเดือน จนกระทั่งในที่สุด ในท่ามกลางความวิตกกังวลของมิตรสหาย ข่าวร้ายชิ้นสุดท้ายก็ผ่านเข้ามา ฮูเวอร์ผัวเมียได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว ศีรษะถูกตัดขาดสะบั้นด้วยคมดาบ จากคำบอกเล่าของพวกโจรบางคนที่จับตัวได้ ปรากฏว่าผัวเมียทั้งสองได้เผชิญหน้ากับความตายโดยมิได้สะทกสะท้าน ความตายเป็นของธรรมดาสำหรับเขา เพราะต่างก็ได้สละแล้วแม้แต่ชีวิต–สละเพื่อความสุขและประโยชน์ของคนอื่น ฮูเวอร์กับภรรยาได้วิงวอนพระเจ้าบนสวรรค์เป็นครั้งที่สุด วิงวอนให้พระองค์ยกโทษให้ไอ้โจรใจบาป–วิงวอนให้มนุษย์รักกัน เห็นใจกัน–วิงวอนให้โลกมีสันติสุขอันยืนนาน เสร็จการวิงวอนแล้วคนทั้งสองก็หลับตานิ่ง คุมสติไว้อย่างมั่นคง ครั้นแล้วคมดาบก็ตัดเฟี้ยวลงไป........
นั่นคือวาระสุดท้ายของนักบุญ....คนดีที่โลกไม่ต้องการ!