๒๒
นับจากวันที่ข้าพเจ้าไปพบจางหลินที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ เป่ผิงฉือป้าว หรือ The Peiping Times แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้จักเมืองจีนดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง ภาพนักโทษที่เขานำตัวไปประหารชีวิตยังคงติดตาข้าพเจ้าอยู่ นั้นคือเมืองจีน เมืองแห่งการปฏิวัติใหญ่ เมืองที่มีความสวยสดงดงามของดอกเถาเฉพาะในฤดูชุนเทียนเท่านั้น เป็นความงามที่มีอายุสั้นเกินไป ไม่พอที่จะประเล้าประโลมชีวิตแห่งความทุกข์ยากให้ชื่นบานได้นานเท่าที่หัวใจปรารถนา ข้าพเจ้าได้พบความสลดใจในเมืองจีน แต่ความสลดใจนั้นเป็นแต่เรื่องละครฉากหนึ่ง ชาวจีนไม่ถือเป็นของจริงจังนัก เพราะมันน้อยเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับความเศร้าและความสุขตลอดเวลาห้าพันกว่าปีที่ได้ผ่านไปแล้วในสมุดประวัติศาสตร์ของเขา
ข้าพเจ้าจำคำพูดของจางหลินได้ “เซี่ยงไฮ้เป็นป้อมที่อาศัยของพวกที่ต้องการจะออกความเห็น” เป็นจริงเช่นนั้นหรือ? มันน่าสลดใจยิ่งขึ้นอีกสักเพียงใด ถ้าความเห็นที่บริสุทธิ์สะอาด มีคุณค่าแก่มนุษยธรรม จะต้องไปออกกันที่เซี่ยงไฮ้ นครที่เต็มไปด้วยชีวิตอันปราศจากความเชื่องชีวิตของผีเสื้อ–ชีวิตของเงินและอำนาจ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าพเจ้าคงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกหลายปีนัก
อากาศเย็นจัดยิ่งขึ้นทุกวัน ตุลาคมได้ผ่านไปแล้ว ธันวาคมแรกในปักกิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความหนาวเย็นครั้งแรกที่จะต้องผจญในแผ่นดินภาคเหนือแห่งนี้ คงจะทารุณไม่น้อยสำหรับชาวเมืองใต้เช่นข้าพเจ้า ซึ่งไม่เคยรู้จักรสชาติของความหนาวเลยตั้งแต่เกิดมา ลมฤดูตงเทียนเริ่มพัดจัดขึ้น หอบเอาฝุ่นทรายจากทะเลทรายโกบีโปรยลงมาวันละมาก ๆ บางวันท้องฟ้าแดงจัดเหมือนควันไฟขณะที่เกิดเพลิงไหม้ สีแดงเหล่านั้นคือสีของฝุ่นทรายที่ปลิวมาตามสายลมหนาว ต้นไม้ใบหญ้าบัดนี้แทบจะหาใบไม่ได้แล้ว คงเหลืออยู่แต่ใบสนและใบไผ่ซึ่งดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนเสียเลย ยังคงไหวพริ้วอยู่ในสายลมอย่างสง่าผ่าเผย ท่ออุ่นในห้องและตึกที่พักได้ช่วยบรรเทาความหนาวได้เป็นอย่างดี ข้าพเจ้าชอบเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบ ๆ ตามลำพัง ใช้เวลาอ่านหนังสือทุกเล่มที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้า แต่ยังมีที่อันแสนสุขอีกที่หนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะลืมเสียมิได้ ที่แห่งนี้คือมุมอันอบอุ่นและสงัดเงียบในห้องสมุดที่ตึกประชุมใหญ่ของโรงเรียนหวาเหวิน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตึกนอนไปเพียงไม่กี่วาในวันอาทิตย์ ถ้าไม่ออกไปข้างนอก ข้าพเจ้ามักจะขังตัวเองอยู่ในห้องสมุดอันเป็นสวนอักษรแปลงใหญ่แห่งนี้ ข้าพเจ้าตื่นตอนย่ำรุ่งทุกวัน ไฟฟ้าในตึกยังเปิดอยู่ เพราะในฤดูหนาวพระอาทิตย์ขึ้นช้ามาก ตอนเย็นก็ตกเร็วจนเราแทบไม่มีเวลาจะเล่นเทนนิส พวกหมอสอนศาสนาที่พักอยู่ในตึกเดียวกันโดยมากชอบตื่นสาย ข้าพเจ้ามักจะเป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องอาหารตรงตามเวลาเสมอ อาหารของเราไม่ใช่อาหารจีน ดูออกจะแปลกสักหน่อย แต่สถานศึกษาเหล่านี้มีชนชาติผิวขาวเสียกว่า ๙๙ เปอร์เซ็นต์ โดยมากเป็นพวกหมอสอนศาสนาที่มาเตรียมภาษาสำหรับปฏิบัติงานในแผ่นดินชั้นใน ซึ่งจะต้องอยู่กันเป็นแรมปี เราอยู่กันคนละปีกว่า ๆ ก็ได้ภาษาอย่างเพียงพอสำหรับที่จะก้าวหน้าต่อไปทั้งในทางการศึกษาและการงานด้านอื่น ๆ ในเมืองจีน เนื่องจากโดยมากเป็นชาวตะวันตก ฉะนั้นอาหารจึงเป็นอาหารฝรั่งเสียแทบทุกมื้อ เดือนเดียวเท่านั้นข้าพเจ้าก็เบื่อจนบอกไม่ถูก ต้องหนีไปตลาดตุงอันหรือที่ซีเฉิงบ่อยๆ เรามีอาหารจีนเพียงสัปดาห์ละ ๑ วันเท่านั้น คือวันพฤหัสบดี ในวันนั้น แม้แต่พวกฝรั่งเองก็รู้สึกว่าชื่นบานผิดกับวันอื่น ๆ เพราะได้เปลี่ยนรสใหม่ พวกนี้บอกข้าพเจ้าว่า เขาชอบอาหารจีนมาก และก็เป็นจริงเช่นนั้น เพราะในวันพฤหัสบดีพวกบ๋อยมักจะต้องเก็บจานเปล่ากลับไปเสมอ
วันหนึ่ง เป็นวันอาทิตย์ในปลายเดือนธันวาคม ข้าพเจ้ารับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินฝ่าละอองหิมะไปยังตึกใหญ่ที่บรรจุเต็มไปด้วยหนังสือ เจ้าหน้าที่ห้องสมุดเพิ่งมาถึง ข้าพเจ้าทราบจากเขาว่าจะมีปาฐกถาสำคัญที่ห้องประชุมในวันนี้ เวลา ๑๐.๐๐ น. ดร. เจียงเมิ่งหลิน อธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง จะเป็นผู้มาแสดง ดร. เจียงเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่งในประเทศจีน เคยไปแสดงปาฐกถาในต่างประเทศทั่วโลก ท่านผู้นี้เป็นผู้รู้จักชีวิตดียิ่ง มีอุดมคติแปลก ทุกครั้งที่ยืนขึ้นพูดมักมีข้อเสนอในเรื่งการแก้ไขโรคสังคมของมนุษย์เสมอ ที่คอลเลชออฟไชนิสสตัดดีส์นี้ เขาเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาแสดงปาฐกถาบ่อย ๆ ดร. เจียงถูกเชิญเป็นครั้งที่สองในปีนี้
ที่มุมแห่งความสุขในห้องสมุด อันแวดล้อมไปด้วยกำแพงหนังสือนี้ ข้าพเจ้านั่งรอเวลาอยู่พร้อมด้วยหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวาน ขณะนั้นหิมะยังคงตกอยู่ภายนอก มองลอดช่องหน้าต่างออกไปเห็นปุยสีขาวปลิวว่อนอยู่ในอากาศ ต้นสนอันมีใบสีเขียวแก่สองต้น ถูกปุยหิมะจับขาวไปหมด แลดูคล้ายช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ที่มุมอันเงียบสงบแห่งนี้ ข้าพเจ้ามีเวลาเป็นอิสระแก่ตัวเอง–เป็นมุมแห่งความสุขที่เต็มไปด้วยเสรีภาพ–เป็นเสมือนโลกอันงดงามที่มีแต่ความปลอดโปร่งที่จะคิดและจะฝัน มุมนี้เป็นโลกของข้าพเจ้า โลกที่อนุญาตให้ข้าพเจ้าได้ใช้กำลังความคิดเป็นอิสระตามความปรารถนาของธรรมชาติ โลกที่ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์แต่ผู้เดียว มีอำนาจอย่างสิทธิขาดที่จะคิดจะฝันในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ นั่นคือ ทำอย่างไรความเป็นธรรมในการครองชีวิตครองสังคมจึงจะเกิดแก่ชาติมนุษย์ได้ ในชีวิตอันสั้นซึ่งเต็มไปด้วยขวากหนาม ข้าพเจ้าไม่เคยลืมมุมอันแสนสุขที่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นตัวของตัวเอง ข้าพเจ้าได้จากปักกิ่งมานานแล้ว–จากอย่างแทบไม่มีหวังจะได้กลับไปเห็นอีก แต่เมื่อความตายมาถึง ข้าพเจ้าเชื่อว่า ที่ซึ่งวิญญาณข้าพเจ้าจะลอยไปเยี่ยมแห่งแรกก็คือมุมอันอบอุ่นในห้องสมุดแห่งนี้
หลังจาก ๙.๐๐ น. เล็กน้อย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาเดินตรงมายังมุมที่นั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้พบบุคคลที่นึกไม่ถึงว่าจะได้พบในวันเวลาเช่นนี้ จวนฟางกำลังเดินยิ้มตรงเข้ามาหา ยิ้มของหล่อนทำให้ข้าพเจ้านั่งตะลึงจนลืมไปว่าข้าพเจ้าควรจะทักหล่อนก่อน