๒๑

ข้าพเจ้าคิดว่า ความหลังเป็นกระจกเงาที่ให้ประโยชน์แก่เรามาก ถ้าเราจะพยายามระลึกถึงมันสักนิดหนึ่ง ความหลังเป็นของมีค่า เพราะมันช่วยให้เราได้สำรวจดูชีวิตที่ได้ผ่านไปแล้ว เพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตที่กำลังดำรงอยู่และจะดำรงต่อไปในอนาคตที่เต็มไปด้วยอนิจจัง ความหลังเป็นบทเรียนที่ดีเลิศซึ่งสอนให้เรารู้จักชีวิต—ให้เราเข้าใจว่า เราจะหวังอะไรจากชีวิตนักไม่ได้ ชีวิตเป็นแต่ทางเดินเส้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยโชควาสนา มนุษย์ไม่ได้เป็นนายของโชค เราบังคับโชคไม่ได้ เรามีแต่เรี่ยวแรงที่จะก่อสร้างความดี แต่เราไม่มีอำนาจอะไรจะเรียกร้องเอาผลตอบแทน เพราะการประกอบความดีนั้น ข้าพเจ้าได้เคยพูดไว้หลายครั้งว่าเราเป็นทาสของโชคและวาสนา เรายอมเสมอที่จะปล่อยให้โชคลากเราไปเมืองนรกและเมืองสวรรค์ ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าต้องการให้คนนั่งกอดเข่าแล้วทอดอาลัยในชีวิต ข้าพเจ้าถือว่าชีวิตเป็นเวทีของการต่อสู้ ทุกคนที่เอากำเนิดมาในโลกนี้ ย่อมจะต้องขึ้นมาอยู่บนเวทีอันนี้ เขามีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องต่อสู้เพื่อตัวของเขาเองและเพื่อคนอื่น การต่อสู้เป็นหน้าที่ของเรา แต่การตัดสินหาใช่หน้าที่ของเราไม่ ก็ใครเล่าเป็นผู้ตัดสิน? โชคน่ะสิ—โชคที่มีความเบาเหมือนสำลี เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ง่าย...ไม่มีเหตุผล...ไม่มีความยุติธรรมที่คนธรรมดาเข้าใจ มาเถิดท่าน! ขอให้เรามาทำความดีกันเถิด...ขอให้เรามาต่อสู้กับชีวิตด้วยน้ำใจของนักก็ฬา เมื่อเราได้ทำหน้าที่อันผู้เจริญจะพึงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้เราพอใจผลที่เราได้รับ ไม่ว่าร้ายหรือดี เราจะไม่กังวลกับสิ่งที่เราหวังไม่ได้บังคับไม่ได้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคเถิด ปล่อยให้มันลากเราไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แล้วแต่อารมณ์แห่งความพอใจของมัน!

เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีอายุ ๓๔ ปี ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังหนุ่มต่อชีวิตมากไปหรือไม่ อย่างไรก็ดี ระพินทร์ พรเลิศมีความหลังยืดยาวพอที่จะสอนให้เขาเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร เวลา ๓๔ ปีได้ทำให้ข้าพเจ้ามีอุดมคติของชีวิตซึ่งเป็นของข้าพเจ้าเอง อาจมีคนอีกหลายร้อยล้านที่มีความเห็นในเรื่องชีวิตผิดกับอุดมคติของข้าพเจ้า แต่เรามองดูกันคนละแง่ มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรือท่าน ถ้าคนเรามองดูอะไรจากมุมเดียวกันเสียหมด ชีวิตของเราก็คงจะหมดรสไปมาก ข้าพเจ้าไม่คิดว่าท่านจะดูภาพยนตร์เรื่องเดียวได้ตลอดชีวิต เรามองกันคนละแง่นะท่านที่รัก แต่เราผู้เจริญแล้วก็คงใจกว้างพอที่จะยอมให้คนอื่นมองในแง่ของเขาบ้าง อ๋อ, แน่ละ! เราใจกว้างเสมอ!

๓๔ ปีในโลกอันประหลาดพิสดารนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ชีวิตเป็นอนิจจังอย่างพระท่านว่า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ ท่านได้ทรงประทานความจริงให้แก่เรา...ความจริงซึ่งจะกลับกลายเป็นอื่นมิได้เลย...นั่นคือ ไม่มีอะไรแท้เที่ยงดอกในโลกนี้ ขอมนุษย์ทั้งหลายจงอย่ามีชีวิตอยู่ในความหลงเลย! เราไม่หลงในความสุข เราไม่หลงในความทุกข์ เพราะสุขทุกข์เป็นของไม่แท้เที่ยง ท่านมีความสุขในวันนี้ก็จงอย่าลำพองในความสุขอันนั้น เพราะใครจะรู้วันพรุ่งนี้ท่านจะสุขต่อไปได้หรือไม่ ท่านอาจจะล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว สิ้นเกียรติ สิ้นอิสรภาพก็ได้ สำหรับท่านที่ทุกข์หนักในวันนี้ ก็จงอย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้จนกระทั่งรู้สึกว่าชีวิตเป็นของน่าเบื่อหน่าย พรุ่งนี้ยังรอคอยท่านอยู่...เป็นของท่านเสมอ พรุ่งนี้อาจทำให้ท่านยิ้มทั้งน้ำตาก็ได้ นี่แหละชีวิต! นี่แหละโลก! มีอะไรที่แท้เที่ยง? มีอะไรที่แน่นอน? มีอะไรที่เป็นคำมั่นสัญญา? เปล่าทั้งนั้น!

จางหลินก็ดี วารยา ราเนฟสกายาก็ดี เจียงเหมยก็ดี และใครๆ อีกแทบนับไม่ถ้วนคนก็ดี ได้ทำให้ข้าพเจ้าปักใจลงไปอย่างมั่นคงว่า เราจะไม่หวังอะไรจากชีวิต เราอาจจะโง่อย่างน่าสงสาร ถ้าเราขืนหวังว่าชีวิตจะต้องเป็นเช่นนั้น...เช่นนี้ อย่างนั้น...อย่างนี้ ชีวิตของจางหลินเป็นชีวิตที่เข้าใจยาก—เป็นนิยายที่ดูดดื่มจับใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าไม่ลืมคน ๆ นี้เลย เพราะเขาเป็นกระจกเงาบานใหญ่ ที่ช่วยส่องให้เห็นความจริงของโลกมนุษย์ปัจจุบัน คือความจริงที่ว่า สมัยหินเพิ่งเริ่มเมื่อวานนี้เอง!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ