๔๘ นิทานเรื่องเศรษฐีบุตรหนีตาย

ในอดีตกาลก่อนมีเศรษฐีผู้ ๑ ชื่อนนทเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แลเศรษฐีนั้นหาบุตรมิได้ จึงเศรษฐีภรรยานั้นไปนมัสการเทพารักษ์อุ้มศิลาอธิษฐานว่า แลข้าจะมีบุตรกุมารจะครองทรัพย์ได้ไซร้ ให้ข้าอุ้มศิลานี้เวียนต้นไทรให้ได้ ๓ รอบเถิด ถ้าว่าบุตรนั้นจะเปนมัธยม ก็จงอุ้มเวียนได้แต่ ๒ รอบ ถ้าบุตรนั้นจะเปนหินชาติไซร้จงเวียนได้แต่รอบเดียว ถ้าแม้นว่าหาบุตรมิได้ไซร้ จงอย่าให้ยกศิลานี้ขึ้นเลย ครั้นอธิษฐานแล้วนางก็อุ้มศิลานั้นขึ้น จึงเวียนไปรอบพระไทรนั้นก็ได้แต่รอบ๑ เศรษฐีภรรยานั้นก็เสียใจเปนอันมาก ส่วนสามีนั้นจึงปลอบว่าจะเปนทุกข์ฉันใดนะเจ้า ถึงจะเปนฉันใดก็ตาม แต่ทว่าให้มีบุตรเถิดเราจึงค่อยสั่งสอนเอา เดชะผลปราถนานั้น เศรษฐีก็มีบุตรชายผู้ ๑ ก็ค่อยเลี้ยงรักษามาจนเจริญใหญ่ ฝ่ายกุมารบุตรนั้นก็มิได้อยู่ในคำสั่งสอนบิดามารดา คบแต่เพื่อนอันธพาลประพฤติการโจรกรรม เขาก็เรียกชื่อว่านายโจร เศรษฐีแลมารดาก็ขับเสียจากบ้าน มิให้เข้ามาปะปนได้ ครั้นกาลวัน ๑ บุตรเศรษฐีนั้นรำพึงว่า จะใคร่รู้ประจักษ์ในที่ตายของตน คิดแล้วจึงไปปรนิบัติพระตรีกาลญาณฤษีแล้วจึงถามว่า ข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตในที่แห่งใด ขอพระองค์จงบอกข้าพเจ้าให้รู้กาลบัดนี้เถิด พระฤษีเธอก็แจ้งด้วยญาณแล้ว จึงคิดว่าอาตมะจะบอกก็มิควร จำจะให้มันรู้แจ้งเต็มใจมันเองเถิด แล้วพระฤษีจึงบอกว่า ถ้าท่านจะใคร่รู้แม่นแท้ จงไปดูที่ป่าช้าเถิด ถ้าเห็นภูตอันตายใหม่ ๆ ที่คนเขาเอาทอดทิ้งเสียนั้น ท่านจงลากภูตนั้นออกจากแร่งเรือกแล้ว จงเข้านอนอยู่ในแร่งเรือกนั้น แลภูตนั้นก็จะบอกแก่ท่านแล เศรษฐีบุตรก็เรียนเอามนตร์นั้นได้ขึ้นใจแล้ว ก็ลาไปประพฤติตามคำฤษีสั่งนั้นทุกประการ ภูตจึงว่าที่อื่นนั้นก็ว่างเปล่าอยู่เปนอันมากท่านมินอนได้ แต่ที่ตายของเราที่เท่านี้สิมาชิงเรานอนนี่เล่า เศรษฐีบุตรจึงว่าอันที่ตายเราคือในที่นี้แล ภูตจึงว่าที่ตายของท่านอยู่เหนือปลายไม้โน้นต่างหาก เศรษฐีบุตรได้ฟังดังนั้น จึงลุกออกจากแร่งเรือกแล้ว ก็คิดว่าเรารู้ที่ตายแน่อยู่แล้ว เราจะหนีไปอยู่ให้ไกลเถิด คิดแล้วก็หนีไปอยู่ถึงคามชนบทไกลประเทศที่นั้นประมาณ ๑๐ โยชน์ ขณะนั้นฝ่ายพระกาลก็นิรมิตเปนตรุณนารีผู้ ๑ มีรูปโฉมงามเที่ยวมาแสวงหานายโจรผู้นั้นที่ในเมืองก็มิได้พบ นางก็ไปหาถึงคามชนบทที่บ้านโจรอยู่นั้นในเมื่อเวลาสายัณห์ นางก็ไปถึงหน้าเรือนนายโจร ๆ จึงถามว่า ดูกรเจ้าผู้สาวรุ่นน้อย จะไปหนใดเวลาเย็นค่ำปานฉนี้ นางกาลจึงว่าข้าจะไปหาญาติในบ้านหน้าโพ้นจวนค่ำแล้วจะไปมิถึง แลข้าจะอาศรัยแก่ผู้ใดได้ก็หารู้ไม่ นายโจรจึงว่าถ้ากระนั้นก็เชิญน้องมาสำนักก่อนรุ่งเช้าแล้วจึงค่อยไปเถิด นางก็แสร้งทำมายาดังจะอยู่บ้างมิอยู่บ้าง นายโจรซ้ำว่าเชิญเจ้าเถิด ที่นี่ข้าพเจ้าอยู่ผู้เดียวไม่มีบุตรภรรยาดอกนะเจ้า นางจึงว่าข้าก็มิได้เปนบริจาแลกรรมกรผู้ใด แต่ว่าข้าเคียดเคืองแก่ญาติข้าจึงเที่ยวมา นายโจรนั้นก็รับนางไว้เปนภรรยา ก็มีความเสนหาแก่นางยิ่งนัก ครั้นนานมานางมีบุตรด้วยโจร ๒ คน เมื่อกาลจะใกล้มาถึงนายโจรนั้น นางภรรยาก็แสร้งทำโทมนัส รำพึงพิไรไปทุกราตรี ส่วนนายโจรบุตรเศรษฐีจึงถามว่า เจ้ามาโทมนัสด้วยเหตุใด นางจึงแกล้งบอกว่าข้านี้คิดถึงตัวท่านผู้เปนสามี แลมาอยู่อาภัพนักหนา หาพวกพ้องญาติอันจะพึ่งพำนักบมิได้ ข้าจึงร้องไห้ด้วยความรักท่าน นายโจรจึงว่าจะร้อนใจไยพี่นี้ก็เปนบุตรเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พี่หากเคียดเคืองแก่บิดามารดาพี่จึงมาอยู่ที่นี่แต่ผู้เดียวดอกนะเจ้า ถ้าพี่อยู่ในบ้านเมืองโน้นก็จะพร้อมด้วยฝูงญาติอยู่มาก นางก็อ้อนวอนสวามี ถ้าท่านมีความเสน่ห์ในข้าแม่ลูกนี้ไซร้ ท่านจงพาข้านี้ไปให้เห็นหน้าญาติหน่อยเถิด แต่นางกาลวิงวอนสวามีมาถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง นายโจรผู้สามีนั้นขัดมิได้ ก็ตกแต่งโคเกวียนแล้วก็พาบุตรภรรยาจะไปหาบิดามารดาแห่งตน ครั้นมาถึงริมเมืองแล้ว จึงปลดเกวียนลงให้บุตรภรรยาปริภุญชอาหาร เสร็จแล้วก็จูงโคไปเพื่อจะอาบน้ำ ในขณะนั้นพออัศวมารดาอัศวโปดกอันเปนของพระราชกุมารนั้นหายไป จึงพระมหากษัตริย์สั่งให้ราชบุรุษเที่ยวหาในขอบขัณฑเสมาปริมณฑลพระนครก็บมิได้พบ จึงหาออกไปถึงนอกนคร ขณะเมื่อนายโจรจูงโคไปอาบน้ำ นางกาลซึ่งเปนภรรยานั้นก็กลายเปนอัศวมารดา ส่วนบุตรทั้ง ๒ ก็กลายเปนอัศวโปดกทั้ง ๓ ตัว สัตว์ก็ร้องอยู่ในเรือนเกวียน

ฝ่ายราชบุรุษจึงพากันเข้าไปดู ก็รู้แน่ว่าเปนม้าของพระราชกุมาร แล้วก็พันธนาการคุมเอาตัวนายโจรนั้นไปถวายพระมหากษัตริย์ พระโองการเธอตรัสสั่งให้เสียบโจรนั้นเสียให้สิ้นชีวิตแล

นนทุกราชจึงว่า ดูกรสังวทันต์ แลเราว่าจะหนีกาลบมิรอดนั้น เหตุว่ามีเยี่ยงอย่างดังนี้

สังวทันต์จึงว่าอันพระองค์กล่าวนี้ไพเราะยิ่งนัก แต่ว่าข้าคิดเห็นว่าซึ่งมีปัญญาหนีกาลรอดนั้นก็ยังมีเยี่ยงอย่างบ้าง

นนทุกราชว่า ถ้าดังนั้นท่านจงนำธรรมเนียมมา เราจะขอฟัง

สังวทันต์จึงเล่านิยายดังนี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ