๓๑ นิทานเรื่องตำรวจ ๒ สหาย

บรมขัติยาธิบดีสุริยโลกยศมาธิราชเจ้า ได้ราชาภิเษกณกรุงรมยนคร อันบวรอดุลอุดมด้วยราชทรัพย์ทุกประการ มีตำรวจ ๒ สหายมาเข้าเวรนอนรักษาท้องพระโรงมิได้ขาด

กาลวัน ๑ ตำรวจ ๒ สหายนั้นจำนรรจากันว่า เรามาทำราชการฉลองพระเดชพระคุณนี้ก็นานมาแล้ว แลจะมีผลประโยชน์สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หามิได้ เราจะประพฤติประการใดจะดี ตำรวจผู้ ๑ ว่าอุตสาหเฝ้าแหนรับใช้สอยโดยเสด็จจงรักภักดีก็จะได้ดีดุจเดียว แลอาตมะทุกวันนี้ทุรพลยวดยิ่งหนัก อนึ่งเคหสถานก็อยู่ไกล ถ้าหากังวลบมิได้ก็จะอุตสาหกระทำในราชกิจก็จะเปนประโยชน์ดุจเดียวแล

ผู้ ๑ ว่า สหายเอ๋ย แม้นจะอุตสาหเท่าใด ๆ ก็ดี ถ้าไม่มีประเวณีวาสนาบุญก่อนแล้วก็บมิเปนประโยชน์ดอก

วันนั้นบรมกษัตริย์เจ้าทรงพระบรรทมยังมิหลับ ก็ผาดสวนาการฟังวจนะกถา ๒ มิตรเถียงกัน ครั้นเวลารุ่งเช้ามีพระโองการตรัสถามนายราชเคหบาลว่า คืนนี้ผู้ใดมาเถียงกันอยู่ที่นี่ นายราชเคหบาลทูลสารว่า ข้าพระพุทธเจ้านายตำรวจ ๒ สหายเถียงกัน มีพระโองการให้หานายตำรวจนั้นมาถาม นายตำรวจก็กราบทูลโดยนิยมกถาอันอาตมะกล่าว พระโองการตรัสว่า แสนเสนาภิมุขมนตรีทั้งปวง ประพฤติราชกิจมีความชอบจึงจะมีบำเหน็จได้เปนดี ถ้าท่านทั้ง ๒ อาสาเราไปหามะม่วงในป่าหิมพานต์มาให้เราได้ไซร้ก็จะได้ให้เปนดี ท่านไปหาแต่ใน ๓ ปี จงกลับคืนมา นายตำรวจทั้ง ๒ รับพระราชโองการแล้วมาหาเสบียงแล้วบ่ายเบี่ยงบากหน้าเข้าสู่ไพร ก็เสาะแสวงหามะม่วงป่าหิมพานต์เนิ่นนานประมาณย่างเข้า ๓ ปีจึงพบป่าปอ ทั้ง ๒ ก็ชวนกันแบกเอาปอไป แล้วไปพบป่าป่านผู้ ๑ ก็ทิ้งปอเสียแบกป่านไป ส่วนสหายผู้ ๑ ว่าข้าได้แบกปอมาแล้วมิได้เอาอื่นไปเลย ครั้นมาพบด้ายสหายผู้โน้นก็สละป่านเสียแบกเอาด้ายมา แล ๒ สหายไปพบไหมพบดีบุกพบตามพ์แลรัตนสุวรรณ แลสหายผู้โน้นสละด้ายแบกดีบุกพบอันนั้นสละอันนี้พบเงินก็ละตามพ์พบทองละเงิน แลผู้ถือปอนั้นมิได้ละได้วางเลยจนครบ ๓ ปีก็มิพบมะม่วงหิมพานต์ ก็พากันนิวัตนาการกลับมายังเคหสถาน ผู้ได้ทองก็มาเลี้ยงบุตรทาระเปนสุข ส่วนผู้ถือปอบมิได้เปนการก็ทุรพลยากไร้ไปแล

นนทุกราชกล่าวแก่สัญชีพว่า สัตว์อุบัติมาในสงสารนี้เห็นสิ่งอันบมิเปนผลถือมั่นว่าเปนผลเปนประโยชน์ เหตุผลกรรมแลวิริยอุตสาหนั้นมิชอบ จำจะเอาเลศให้แยบคายด้วยจึงจะชอบ อนึ่งสถานที่นี้เราเห็นเปนสุขสบายยิ่งนัก จึงเรามิไปแล้ว ดูกรสหายสัญชีพ ท่านจะไปก็ตามเถิด ว่าแล้วนนทุกราชก็กระทำอาการล้มลง เล่ห์ประหนึ่งจะดับสูญสิ้นชีพ แลทำมุขนาสิกให้เฟ็ดขึ้นมีเขฬะพินทุฟักฟูมจักษุลืมพิกลกลัดกลั้นอัสสาสปัสสาสนิศวาตมิหายใจให้อุทรพองพีผึ่ง เส้นสายแขงกระด้างอย่างประหนึ่งว่าสิ้นชีพแล้ว

นายโคบาลเหลือบแลเห็นเข้าก็ใจหาย มาแจ้งการแก่ธรรมจิตต์เศรษฐี ว่าเหตุการอย่างไรมิได้ทราบ อยู่ดี ๆ นนทุกราชล้มลงจะสิ้นชีพแล้ว เศรษฐีตกประหม่าก็พาบุตรนัดดาแลบริวารคมนาการแล่นมา

สัญชีพจึงบอกว่า สหายเอ๋ย เศรษฐีแล่นมานี่แล้วหลากนัก สหายจะคิดไฉน

นนทุกราชจึงว่า แม้นจะโบยรันด้วยทัณฑ์ประหารประการใดก็ดีตามผลกรรมเถิด ครั้นเศรษฐีมาถึงเข้านั่งลงล้อมลูบหน้าลูบหลัง อัสสุธาราไหลหลั่งลงมิทรงกายอยู่ได้ หวาดไหวระทดเล่ห์แม่มดผีสิง มือโลมลูบเข้าเศร้าโศกาพิไรร่ำว่า พ่อเอ๋ย เจ้านนทุกราชเพื่อนไร้ เจ้าอาสาบิดามารดามาแต่ยังเข็ญใจจนได้เปนเศรษฐี เจ้ามาสิ้นชีวีในป่ากลางทางทุเรศร้างแรมไพร แม้นอยู่ในคฤหคามนิวาศสถาน บิดามารดาจะแต่งสการเจ้าให้ลือชา เมื่อมาอยู่ในดงชัฏนี้สุดปัญญา โอ้นนทุกราชของแม่ แต่นี้ไปเมื่อหน้าแม่จะเหลียวหาใครไม่มีเหมือนเจ้าแล้ว จะเห็นแต่อ้อมแก้วสพายทองทั้งพู่กรองลองเขาสุวรรณ แม่ยิ่งจะเศร้าสลดใจ บิดามารดาเคยส่งน้ำส่งหญ้าทุกวันทุกเวลาเช้าค่ำ โอ้กรรมมาจำจากพรากพลัดอกแม่ไป

นนทุกราชได้ฟังคำกำสรดสลดใจ ค่อยชายนัยเนตรมาแลดู ในใจให้ละห้อยคิดจะใคร่กลับลุกขึ้นไปกับเศรษฐี แล้วคิดอายใจจะอัปยศแก่สัญชีพ ๆ จะเยาะเล่นว่า เจรจาเหลาะแหละทำเล่ห์กลมายาอย่างยิ่งแล้วสิกลับมาให้เขาใช้เล่า คิดแล้วก็ผ่อนอัสสวาตออกให้ทุรนทุรายเล่ห์จะวางวายชีวิต ครั้นวายโศกามหาเศรษฐีจึงพาทีว่า นนทุกราชเจ้าเปนโคมิ่งโคขวัญของเรามาเปนอสุภนิมิตรดังนี้ หาสกุลฤกษ์มิได้แล้วแลจะไปนี้คงไม่มีพิชัยลาภเลย เราจะกลับไปยังเคหสถานเถิด จึงสั่งบุรุษ ๔ คนให้อยู่อภิบาลรักษานนทุกราชว่า ถ้าบุตรเราค่อยเสื่อมค่อยหายคลายโรคไซร้ จงจูงบุตรเรากลับไปบ้าน ถ้าบุตรเรานฤชีพไซร้ ท่านทั้ง ๔ จงส่งสการศพบุตรเราทั้งเครื่องอลังการาภรณ์นี้เถิด สั่งแล้วเศรษฐีก็กลับเกวียน ๕๐๐ มายังคามสถาน

ฝ่ายบุรุษ ๔ คนซึ่งเฝ้านนทุกราชนั้น ครั้นเวลาสายัณห์เย็นลงจึงปฤกษากันว่า เรามาอยู่ในกลางไพรนี้เปลี่ยวเปล่านักหนา เวลาเย็นลง ๆ จะใกล้ค่ำพาลมฤคร้ายพยัคฆ์มหิงษ์สิงหราคนองร้ายกาจ เราจะเอาอันใดมาป้องกัน นนทุกราชก็ไม่เปนที่พึ่งแก่เราได้ เราทั้งหลายก่อกองกูณฑ์ให้รุ่งโรจน์แล้วจงพากันกลับไปเถิด คิดพร้อมใจกันแล้วก็ก่อกองเพลิงอันใหญ่ ลุกพลุ่งโพลงขึ้นใหญ่หลวงควันพลุ่งกลุ้มกลบนภากาศ ปรากฎแก่ตาชนชาวบ้านธรรมจิตต์เศษฐี ๆ ออกมาแลดูไปเห็นควันกลุ้มกลบอยู่ ก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า นนทุกราชเอ๋ยเจ้าเปนเพื่อนยากมาสิ้นชีพจากบิดามารดาเสียจริงแล้ว ส่วนบุรุษ ๔ คนครั้นก่อกองเพลิงแล้ว ก็ชวนกันเก็บดอกไม้ต่าง ๆ มาบูชารายรอบกายนนทุกราช แล้วก็พากันรีบกลับไปแจ้งความแก่เศรษฐีว่า นนทุกราชสิ้นชีพแล้ว ข้าพเจ้าได้ส่งสการทั้งเครื่องประดับตามคำท่านสั่งทุกประการ

ฝ่ายนนทุกราชครั้นบุรุษทั้ง ๔ ไปแล้ว ก็เลื่อนลุกจากที่นอน โสมนัสชื่นชมว่า ได้สมมโนรถของเราทั้งนี้ก็เพราะวิริยภาพความเพียรวิริยนี้มีแก่ผู้ใดอาจให้ผู้นั้นลุมโนรถจินดาดังประสงค์ได้ ถ้าหาวิริยมิได้ไซร้ ก็จะมีแต่ปราชัยทุกประการ นนทุกราชได้สมดังปราถนาแล้วก็ร่าเริงสำแดงฤทธิ์ลองกำลังแล่นไปสิ้นหนทางอันไกล จนล่วงบรรลุเขตรแดนวนนิคม ถึงจอมปลวก ๑ ใหญ่มหึมาตั้งอยู่ริมฝั่งปทุมสระศรีอันเปนที่จันทสิงหราชเคยมาลิลาสผาดเล่น นนทุกราชก็ผาดเผ่นขึ้นนอนอยู่บนจอมปลวก

วันนั้นพอสังวทันต์สิงคาล พาพวกจิ้งจอกบริวารเที่ยวมาหาอาหารได้เห็นนนทุกราช ๆ ก็ผาดลุกขึ้นยืนหยัดอ้าโอษฐ์ออกเปล่งสำเนียงนี่สนั่นนฤนาท สังวทันต์ก็หวั่นหวาดสดุ้งตกใจระย่อสยอนสยองเกล้า สำคัญคิดว่ามหาภูตปิศาจจะสังหารชีวิตให้พินาศ สังวทันต์ก็รีบพาบริวารแล่นประดังแข่งกันมาแจ้งคดีแก่จันทสิงหราชว่า ข้าบาทไปพบมหาภูตปิศาจตัว ๑ ใหญ่มหึมานัก ล่วงเข้ามาถึงอาณาเขตรของเจ้ากูผู้มีอำนาจ

จันทสิงหราชว่า เออท่านได้ไปพบของใหญ่แล้วก็ไม่เปนการดอกกระมัง

สังวทันต์จึงถามว่า เจ้ากูว่าไม่เปนการนั้นแบบอย่างจารีตโบราณมีมาอย่างไรฤๅ ขอเชิญเจ้ากูผู้มีวิริยจงกล่าวข้อนิยายให้ข้าบาทนี้ฟังบ้าง

จันทสิงหราชว่านิยายแบบอย่างมี เราจะเล่าให้ท่านฟัง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ