๗๓

ฝ่ายโอมังเตียบเป็นคนได้เรียนหนังสือลึกซึ้ง มีสติปัญญารู้การผิดและชอบ ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองนิ่มอัน เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินโง่เขลาเชื่อถือแต่ขุนนางกังฉิน ราชการแผ่นดินไม่เป็นยุติธรรม โอมังเตียบจึงได้หลบหลีกอยู่ไม่เข้าทำราชการ เมื่อขณะชีนไคว่คิดอุบายกำจัดบูเชียงก๋งเสียนั้น โอมังเตียบก็มีความแค้นเคืองชีนไคว่แทนบูเชียงก๋งอยู่มิได้ขาด เที่ยวบ่นพูดว่ามนุษย์ซึ่งจะทำนุบำรุงแผ่นดินไม่เป็นยุติธรรมแล้ว เทพยาดาผู้รักษาฟ้าและดินไม่แลดูความผิดความชั่วของมนุษย์บ้างเลยหรือ จึงได้ปล่อยให้ขุนนางกังฉินคิดทำอันตรายแก่คนซึ่งมีความซื่อสัตย์กตัญญู ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินให้ราษฎรมีความสุขเสียจนสิ้นโคตรตระกูลดังนี้ หรือว่าแผ่นดินจะไม่มีผีสางเจ้านายศักดิ์สิทธิ์ดอกกระมัง แต่เที่ยวบ่นเที่ยวพูดอยู่ดังนี้เนือง ๆ ครั้นแจ้งความว่าเฮกมันเหลงเป็นสหายของงักฮุนบุตรบูเชียงก๋ง ยกกองทัพเข้ามาจะแก้แค้นชีนไคว่แทนบูเชียงก๋งก็ดีใจ คอยฟังการอยู่ทุกวันทุกเวลา ครั้นแจ้งความว่าพระเจ้าซ้องเกาจงเสด็จมาบ้านชีนไคว่ แล้วกลับไปให้เตียจุ้นยกกองทัพออกไปรบกับเฮกมันเหลง เฮกมันเหลงถอยทัพเลิกกลับไป โอมังเตียบได้แจ้งดังนั้นก็เสียใจไม่รู้ที่จะไปพูดปรึกษาหารือปรับทุกข์ร้อนแก่ผู้ใด จึงเขียนหนังสือเป็นคำโคลงมีความว่า ชนทั้งหลายในแผ่นดินนับถือว่าเงกเซียงฮ่องเต้เป็นผู้จัดการให้เกิดมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานสรรพสิ่งในแผ่นดิน พระยายมเป็นผู้ดูแลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งจะทำความชั่วและความดี เมื่อผู้ใดทำความชั่วก็ต้องปรับโทษไปตามการ เมื่อผู้ใดทำดีก็ต้องยกย่องให้มีความจำเริญเป็นยุติธรรมเที่ยงทันนัก และการซึ่งมนุษย์มาถือมั่นกันดังนี้เห็นจะไม่จริงเสียดอกกระมัง ถ้ามีท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว คนชั่วที่ไหนจะกำเริบทำร้ายคนดีจนสิ้นโคตรตระกูลได้ดังนี้ เขียนแล้วก็เอากระดาษคำโคลงนั้นเผาไฟเสีย เมื่อขณะนั้นโอมังเตียบยังหารู้ว่าชีนไคว่ตายเสียแล้วไม่ จึงได้ทำโคลงเผาไฟดังนั้น โอมังเตียบเสพสุราเมาซบหน้าหลับอยู่กับโต๊ะสิ้นสติ ลมหายใจก็อ่อนไม่ปรากฏไหวติง คนใช้เห็นดังนั้นก็ตกใจไปบอกกับภรรยาโอมังเตียบ ว่านายเสพสุราเข้าไปซบอยู่กับโต๊ะขาดลมหายใจเสียแล้ว บุตรภรรยาญาติพี่น้องก็ตกใจพากันมาร้องเรียกสั่นปลุก โอมังเตียบก็ไม่ไหวติงแน่นิ่งเหมือนตาย บุตรภรรยาญาติพี่น้องก็ร้องไห้ สำคัญว่าโอมังเตียบเป็นลมจับตายคลำดูที่อกก็ยังอุ่นตัวก็อ่อน จึงช่วยกันอุ้มพยุงไปไว้ในที่นอน ไปซื้อหีบมาไว้สำหรับจะใส่ศพ ญาติพี่น้องก็นั่งเฝ้าผลัดเปลี่ยนคอยระวังดูอยู่ ถ้าศพเย็นแข็งแล้วก็จะเอาใส่หีบไปฝังเสีย ครั้นถึงสามวันโอมังเตียบก็ฟื้นขึ้น เห็นบุตรภรรยาจัดหีบจะใส่คนตายมาวางไว้ข้างตัวก็ถามว่าเจ้าเหล่านี้จะทำอะไร บุตรภรรยาญาติพี่น้องจึงบอกว่าท่านสลบไปถึงสามวัน ข้าพเจ้าคิดว่าตายแล้วก็จะเอาใส่หีบไปฝังเสีย โอมังเตียบว่าการซึ่งเป็นดังนี้ก็เพราะด้วยเราทำคำโคลงติเตียนพระยายมว่าไม่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระยายมจึงได้ใช้ทหารผีมาเอาจิตวิญญาณของเราไป เมื่อทหารผีมาพาเดินไปนั้นเป็นทางป่าชัฏรกเยือกเย็นน่ากลัวนัก ครั้นไปถึงกำแพงเมืองทหารผีก็พาเข้าไปในประตู เห็นมีร้านขายของต่าง ๆ ผู้คนเดินไปมามาก ครั้นเข้าไปถึงกำแพงชั้นสองเห็นมีอักษรเขียนไว้บนซุ้มประตูว่า เองเอียวจือฮู้ แปลว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์มีทหารศีรษะเป็นโคกระบือ เสือ ช้างสัตว์ร้ายต่างๆ ตัวเป็นคนถืออาวุธสามง่ามยืนรักษาประตูอยู่ทั้งสองแถวเราเห็นก็ตกใจ จึงคิดว่าตัวเรานี้เห็นจะตายตกมาเมืองผีแล้ว ทหารพาเข้าไปถึงเก๋งใหญ่พระยายมนั่งอยู่บนโต๊ะที่สูง ทหารยืนอยู่ข้างซ้ายขวาถือกระดานป้ายและสมุดพู่กันคอยเขียนอยู่ทั้งสองข้าง พระยายมถามว่าเราเป็นคนได้เรียนหนังสือรู้ผิดและชอบอยู่ทั้งสิ้น ทำไมจึงได้ทำโคลงหมิ่นประมาทว่าโลกไม่มีผู้ศักดิ์สิทธิ์ดังนี้ผิดนักจริงหรือไม่ เราจึงให้การรับว่าจริง เมื่อขณะนั้นเสพสุราเมาจึงได้คิดโทมนัสน้อยใจด้วยชีนไคว่คิดอุบายฆ่าบูเชียงก๋งผู้มีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อแผ่นดินเสียได้โดยง่ายสมความปรารถนา ตัวชีนไคว่และภรรยาพวกพ้องกังฉินเหล่านั้นก็มีความจำเริญ คนทั้งแผ่นดินก็ต้องเกรงกลัวอยู่ในอำนาจสิ้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถ้ามีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในโลกแล้ว ชีนไคว่ไหนจะทำกับผู้มีคุณแก่ราษฎรได้ดังนี้ พระยายมว่าเจ้าอวดตัวว่ารู้สรรพการดีและชั่วจึงได้ติเตียนประมาทหมิ่นเรา มีความผิดอยู่ เจ้าจงทำคำให้การกล่าวความให้ถูกต้องแก่ความที่รู้เห็น ถ้าดีก็จะยกโทษปล่อยให้กลับไป ถ้าไม่ถูกเป็นแต่โวหารติเตียนเล่นเปล่า ๆ ดังนั้น ก็จะเอาตัวไปทำโทษในนรก พระยายมส่งกระดาษกับพู่กันมาให้เรารับเอามาเขียน คำให้การมีความว่า เดิมตั้งฟ้าและดินแล้วก็บังเกิดเทวดาและมนุษย์ ปิศาจสามพวกและสัตว์ต่าง ๆ แต่เทวดามนุษย์และปิศาจนั้นใจและอาการกิริยาต่าง ๆ กัน ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งแต่เล็กมาได้เรียนรู้การชั่วและดีผิดและชอบแล้ว จึงมาตรึกตรองพิจารณาเห็นว่าสิ่งอันประเสริฐในโลกยิ่งกว่าการทั้งปวง ควรจะประพฤติและนับถือเป็นเที่ยงแท้ได้มีอยู่แต่ความสัตย์สุจริตซื่อตรงเที่ยงทันสิ่งเดียวกว่าสรรพสิงทั้งปวง จึงได้ประพฤติไม่เบียดเบียนและคิดประทุษร้ายแก่ท่านผู้หนึ่งผู้ใด มีความสุจริตเสมอมาจนทุกวันนี้ ครั้นมาได้เห็นชีนไคว่ขุนนางกังฉินกระทำการบูเชียงก๋งซึ่งเป็นคนมีความสัตย์สุจริต เป็นที่นับถือช่วยดับยุคเข็ญให้คนทั้งหลายได้มีความสุขนั้นให้จนถึงความตายด้วยอาญาอันมิได้เป็นยุติธรรม แล้วมิหนำซ้ำเนรเทศบุตรภรรยาญาติพี่น้องบ่าวไพร่ครอบครัวของบูเชียงก๋งออกไปได้ความทุกข์เวทนาอยู่นอกเขตแดน ตัวชีนไคว่และพวกกังฉินนั้นก็มีความจำเริญคนกลัวเกรงทั้งแผ่นดิน ข้าพเจ้าจึงได้เสียใจว่าผู้สัตย์ซื่อถือความสุจริตมาแพ้ภัยเป็นอันตรายเพราะขุนนางกังฉินทำดังนี้ ชะรอยจะไม่มีท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงทันแลดูความดีและชั่วของมนุษย์ในโลกดอกกระมัง เมื่อครั้งแผ่นดินหงอโตได้ยินคำเล่ากันต่อ ๆ มาว่า ฮั่นคิมโห โคลายก๋ง กังซินเซียง ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามมีสติปัญญาสัตย์ซื่อตั้งอยู่ในยุติธรรมดีนัก ได้ออกปากไว้ว่าถ้าตายไปจะไปเป็นพระยายมดูผิดและชอบของมนุษย์ในโลก ท่านทั้งสามนี้จะไม่ได้มาเป็นพระยายมดอกกระมัง ข้าพเจ้าจึงได้เขียนคำโคลงเผาไฟมา เป็นความสัตย์จริงแต่เท่านี้ แล้วก็ส่งคำให้การให้พระยายมดู พระยายมพูดกับขุนนางที่ยืนอยู่ซ้ายขวาว่า โอมังเตียบนี้เป็นคนมีสติปัญญาว่ากล่าวถูกต้องดี แต่ไม่รู้การในเมืองนรกที่เราได้ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดต่าง ๆ จำจะให้พาไปดูเสียให้เห็นจริงจะได้ไม่หมิ่นประมาทเราต่อไป พระยายมสั่งให้ทหารผีพาเราไปถึงที่แห่งหนึ่ง กำแพงทำด้วยศิลาประตูทำด้วยเหล็ก กว้างขวางใหญ่โต เข้าไปในประตูเห็นมีคุกขังนักโทษตั้งเรียงรายกันไปเป็นอันมากจะนับประมาณไม่ถ้วน เสียงคนโทษเหล่านั้นร้องครางด้วยต้องอาญาต่าง ๆ เป็นที่สังเวชน่ากลัวยิ่งนัก ครั้นเดินไปถึงกำแพงยาวแห่งหนึ่งเห็นคนต้องโทษถูกเอาตะปูตรึงมือเท้าถ่างติดกับกำแพงไว้เป็นแถวไป ทหารผีบอกว่านางเฮงสีภรรยาชีนไคว่ เมกคิหู หลออูจิบ เตียจุ้นนั้นถูกเอาวิญญาณมาตรึงติดกำแพงไว้แล้วแต่ตัวยังไม่ตาย สักหน่อยหนึ่งก็จะตายมาต้องโทษอยู่ในนรก แต่ชีนไคว่นั้นตายแล้ว ยมบาลเอาตัวมาสามวันออกทำโทษครั้งหนึ่งจนครบสามปี จึงจะให้ไปเกิดเป็นสัตว์สำหรับให้เขาฆ่าแล้วก็กลับเอาตัวมาทำโทษอีกไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์เลย สักประเดี๋ยวหนึ่งเห็นทหารผีศีรษะเป็นโคกระบือมือถือแหลนถือหลาวและเหล็กสามง่าม คุมเอาตัวชีนไคว่มากระทำโทษต่าง ๆ เชือดเนื้อเถือหนังแทงด้วยหลาวและเหล็กสามง่ามเลือดไหลโทรมไปทั้งตัว ชีนไคว่ร้องครางกลิ้งเกลือกไปเป็นที่น่ากลัวนัก แล้วทหารผีก็พาเรากลับมา พระยายมถามเราว่าได้เห็นคนโทษทั่วแล้วหรือ เราคุกเข่าลงคำนับกราบไหว้ แล้วว่าท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จริงแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไม่มีความประมาทเลย เราจึงถามพระยายมว่าบูเชียงก๋งเดี๋ยวนี้ไปอยู่ที่ไหน พระยายมบอกว่าบูเชียงก๋งกับบุตรสองคนนั้นไปเป็นขุนนางอยู่บนสวรรค์แล้ว เพราะด้วยความสัตย์กตัญญูของเขา พระยายมพูดว่าเอาตัวเรามาหลายวันแล้ว ร่างกายที่เมืองมนุษย์จะเปื่อยเน่าให้เร่งกลับไปอยู่กับบุตรภรรยาอีกสิบปี จึงจะสิ้นอายุ เราก็คำนับลาพระยายมมากับทหารผี ตามทางเป็นทุ่งเป็นป่าเยือกเย็นนักก็พอตื่นฟื้นขึ้น บุตรภรรยาญาติพี่น้องได้ฟังโอมังเตียบเล่าความก็เป็นที่อัศจรรย์ใจนัก พอคนใช้เข้ามาบอกว่าชีนไคว่ตายเสียได้ห้าวันแล้ว โอมังเตียบว่าเรารู้เราเห็นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาโอมังเตียบก็ถือมั่นในความสัตย์หมั่นคำนับเทพยดาและพระยายมทุกวันทุกเวลามิได้ขาด

ฝ่ายเมืองไตกิมก๊ก ลังจู๊เป็นเจ้าแผ่นดินมีบุตรห้าคน เนียมฮั่นเป็นบุตรผู้ใหญ่ที่ไทจือตายเสียเมื่อครั้งมารบกับบูเชียงก๋ง ครั้นลังจู๊เจ้าเมืองตาย ญาติพี่น้องและขุนนางยกอวนงันเสียบุตรเนียมฮั่น ขึ้นเป็นเจ้าเมืองว่าราชการเป็นที่ลังจู๊แทนปู่

ฝ่ายกิมงึดตุดให้คนมาสืบข่าวในเมืองนิ่มอัน กลับไปแจ้งความว่า ชีนไคว่กับนางเฮงสีคิดฆ่าบูเชียงก๋งกับบุตรสองคนตายเสียแล้ว ทหารพวกพ้องของบูเชียงก๋งก็แตกกระจัดกระจายกันไปสิ้น ในแผ่นดินซ้องไม่มีผู้เข้มแข็งเป็นที่กีดขวางแล้ว กิมงึดตุดได้ฟังก็ยินดี จึงเอาความไปแจ้งกับลังจู๊เจ้าเมืองไตกิมก๊ก ว่าจะขอยกกองทัพไปตีเมืองนิ่มอันอีก ด้วยครั้งนี้บูเชียงก๋งกับบุตรที่มีฝีมือเข้มแข็งก็ตายเสียสิ้นแล้ว คงจะทำการได้ตลอดสมความปรารถนา ลังจู๊ได้ฟังก็ยินดีเห็นชอบด้วย มอบอาญาสิทธิ์สำหรับที่แม่ทัพใหญ่ให้กิมงึดตุดเกณฑ์ทหารแต่บรรดาหัวเมืองขึ้นมาสมทบพร้อมกันแล้ว ให้คับมิชีกับอุดลิหมีเป็นที่ปรึกษาคุมทหารและทหารเลวห้าสิบหมื่นยกไป ครั้นถึงวันฤกษ์ดีกิมงึดตุดก็ยกกองทัพออกจากเมืองไตกิมก๊กเดินมาตามทางตำบลจูเซียนติ้น

ฝ่ายผู้รักษาที่จูเซียนติ้น และหัวเมืองด่านทางทั้งปวงรู้ว่ากิมงึดตุดยกกองทัพมาอีกก็ตกใจ ทำหนังสือบอกข่าวศึกให้ม้าใช้รีบถือเข้าไปเมืองนิ่มอันกราบทูลพระเจ้าซ้องเกาจง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ