๖๔
บ่าวไพร่เห็นพากันลงไปช่วยก็ไม่ทัน จึงเอาศพนางงักปันเสียเจียะขึ้นมา นางลีสีฮูหยินมารดาและญาติพี่น้องเหล่านั้นร้องไห้รักกันเป็นอันมาก แล้วไปซื้อหีบมาใส่ศพไว้เป็นห้าศพด้วยกัน นางเนียฮูหยินจึงพูดกับนางลีสีฮูหยินว่าที่เนินเปลือกหอยนี้ไม่ชอบกันเป็นที่ฮวงซุ้ยไม่ได้ คิดอ่านหาที่ฝังศพเสียใหม่เถิด นางลีสีฮูหยินก็ใช้ให้งักอันไปเที่ยวหาดูว่าที่ตำบลใดจะมีบ้าง งักอันก็ลาไปเที่ยวดูพบที่แห่งหนึ่งกว้างขวางควรจะฝังศพทั้งห้าได้ จึงถามเจ้าของว่าจะขายสักเท่าใด เศรษฐีเจ้าของที่นั้นว่าถ้าจะฝังศพบูเชียงก๋งแล้ว เงินทองเราไม่เอาจะยกให้เปล่า ๆ งักอันก็กลับมาแจ้งความกับนางลีสีฮูหยิน นางลีสีฮูหยินนางเนียฮูหยินชวนกันไปดูที่นั้นชื่อแฮเนียเห็นกว้างขวางดี ให้งักอันไปเชิญเศรษฐีเจ้าของมาว่าขอซื้อ เศรษฐีเจ้าของไม่เอาราคา นางลีสีฮูหยินว่าซึ่งท่านจะไม่เอาราคานั้นไม่ชอบ ด้วยศพสามีข้าพเจ้าตายในระหว่างโทษ ถ้าชีนไคว่รู้ท่านก็จะพลอยมัวหมองด้วย จงรับเอาราคาเถิด เศรษฐีเจ้าของขัดไม่ได้ก็ยอมรับเอาราคาแต่เพียงยี่สิบตำลึงแล้วก็ลากลับไป นางลีสีฮูหยินกับนางเนียฮูหยินก็ให้ยกศพทั้งห้าไปแต่งการฝังไว้ในที่นั้น เสร็จแล้วก็พากันกลับมาบ้าน นางเนียฮูหยินจึงบอกกับข้าหลวงซึ่งจะคุมบุตรภรรยาญาติพี่น้องบูเชียงก๋งไปส่งเมืองฮุนหนำนั้นว่าการฝังศพก็เสร็จแล้ว ท่านจะพาไปเมื่อไรก็ตามควรเถิด นางเนียฮูหยินจึงพูดปรึกษากับฮั่นซีตงสามีว่า ชีนไคว่จัดให้ข้าหลวงยี่สิบสี่นายคุมครอบครัวบูเชียงก๋งไปนั้น ข้าพเจ้าคิดวิตกกลัวว่าชีนไคว่จะคิดอุบายทำร้ายเสียกลางทาง ขอท่านจงให้นายทหารของเรากำกับระวังไปส่งให้ถึงเมืองฮุนหนำแล้วจึงให้กลับมา ฮั่นซีตงได้ฟังก็เห็นด้วย จึงจัดนายทหารสี่คนให้ไปส่งนางลีสีฮูหยิน ข้าหลวงยี่สิบสี่นายจัดการเสร็จแล้ว ก็คุมเอาบุตรภรรยาครอบครัวคนใช้ของบูเชียงก๋งสามร้อยแปดสิบคนออกเดินจากเมืองหลวง นายทหารฮั่นซีตงทั้งสี่ก็ตามคอยระวังไปด้วย ฮั่นซีตงกับนางเนียฮูหยินภรรยาเห็นเขาเอาครอบครัวบูเชียงก๋งไปแล้วโศกเศร้าเสียใจ พากันกลับไปบ้านเมืองตามเดิม หาได้เฝ้าพระเจ้าซ้องเกาจงไม่ ฝ่ายชีนไคว่ให้ข้าหลวงคุมบุตรภรรยาบูเชียงก๋งไปเมืองฮุนหนำแล้ว ก็สั่งให้ปังตง ปังเฮาไปริบเอาทรัพย์สิ่งของที่บ้านเรือกสวนไร่นาของบูเชียงก๋งที่ตำบลทึงอิมกุ้ยมาเป็นของหลวงทั้งสิ้น แล้วให้ปังตง ปังเฮา ไปคอยระวังอยู่ที่ฝังศพบูเชียงก๋ง ถ้ามีผู้ใดมาเซ่นไหว้ก็ให้จับตัวฆ่าเสีย ปังตง ปังเฮา ได้คำสั่งแล้วก็คำนับลาไป ชีนไคว่จึงเขียนหนังสือไปถึงบุตรของชาเลียงอ๋องที่เมืองยือหนำ มีความว่าบูเชียงก๋งเป็นโทษถึงตายแล้ว บุตรภรรยาญาติพี่น้องต้องเนรเทศไปอยู่เมืองฮุนหนำจะเดินมาทางนี้ ให้ท่านคิดฆ่าบุตรภรรยาญาติพี่น้องของบูเชียงก๋งเสียให้สิ้น จะได้แก้แค้นแทนที่บูเชียงก๋งฆ่าชาเลียงอ๋องบิดาท่านเสียนั้น ครั้นเขียนหนังสือแล้วก็มอบให้คนสนิทถือรีบล่วงหน้าไปโดยเร็ว
ฝ่ายฮันคิเหลง ฮันคิหอง กับจงเหลียง งักหลุย งูทอง นั่งพูดพร้อมกันอยู่ พอคนใช้ไปสืบข่าวในเมืองนิ่มอันกลับมาแจ้งความเรื่องบูเชียงก๋งตั้งแต่ต้นมา จนนางลีสีฮูหยินบุตรภรรยาครอบครัวต้องเนรเทศไปอยู่เมืองฮุนหนำให้ฟังทุกประการ งักหลุยแจ้งความแล้วก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกจนแน่นิ่งสงบไป พี่น้องทั้งสี่ช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้นแล้ว งักหลุยพูดรำพันไปว่าบิดาของข้าพเจ้าสัตย์ซื่อกตัญญูต่อแผ่นดิน มีใจรักใคร่ราษฎรทั้งหลายเป็นอันมาก บัดนี้ขุนนางกังฉินคิดอุบายฆ่าบิดาเสียแล้ว มารดาและญาติพี่น้องต้องเนรเทศไปอยู่เมืองฮุนหนำ จะได้ความลำบากตรากตรำประการใดก็ไม่แจ้งเลย การอันนี้ถ้าชีวิตข้าพเจ้ายังอยู่แล้วก็จะคิดแก้แค้นให้ได้วันหนึ่ง ฮันคิเหลงกับพี่น้องเหล่านั้นจึงว่าไหน ๆ การก็เป็นไปแล้ว ท่านจงอุตส่าห์ตั้งความเพียรคิดไปก็คงจะแก้แค้นได้ งักหลุยว่าธรรมเนียมบุตรกับบิดาเมื่อตายแล้วก็ต้องไหว้เซ่นศพทุก ๆ คนสืบมา ตัวข้าพเจ้าเป็นบุตร บิดาตายไม่ได้ไหว้เซ่นศพเป็นที่เสียใจนัก ขอพี่น้องทั้งหลายจงช่วยคิดอ่านให้ได้ไปเซ่นศพบิดาตามธรรมเนียมคนทั้งหลายเสียก่อน ภายหลังจึงจะตามมารดาไปเมืองฮุนหนำ ถ้าเห็นมีที่อยู่เป็นปรกติแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะกลับมาคิดการแก้แค้นชีนไคว่ ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด ฮันคิเหลงพูดว่าคนของเราไปสืบได้ความมาว่า ชีนไคว่ให้คนตรวจตราคอยระวังอยู่ที่ฝังศพบูเชียงก๋ง ถ้าเห็นใครจะเซ่นไหว้ก็ให้จับทำโทษฆ่าเสีย ประการหนึ่งด่านทางหัวเมืองทั้งปวง ชีนไคว่ให้เขียนรูปของท่านไปไว้ทุกแห่ง ให้คอยจับตัวส่งขึ้นไปเมืองหลวง การคิดอยู่ดังนี้ทำไฉนจะไปเซ่นศพบิดาท่านได้ งูทองจึงว่าข้อนั้นไม่เป็นไร ถ้าใครจะมาจับข้าพเจ้าจะรับสู้เอง จงเหลียงว่าถ้ากระนั้นเราทั้งห้าคนไปด้วยกัน ถ้าโดยว่าจะมีผู้มาจับสักหมื่นสักพันก็ไม่กลัวพอจะสู้รบได้ คนทั้งห้าปรึกษาพร้อมใจกันแล้ว ฮันคิเหลงก็จัดเงินทองที่จะใช้สอยพร้อมเสร็จ ชวนกันออกจากบ้านซิดโป้วติ้นตรงไปเมืองนิ่มอัน
ฝ่ายจูกัดเองตั้งแต่จากกับบูเชียงก๋งที่แม่น้ำฮั่นเยียงกังกลับไปบ้านแล้วก็คิดวิตกถึงบูเชียงก๋งอยู่เนือง ๆ ไม่สบายใจจนป่วยไข้ลง จูกัดเองก็ตาย มีบุตรชายอยู่คนหนึ่งชื่อจูกัดกิม เวลาคืนวันหนึ่งนอนหลับฝันเห็นว่าบิดามาร้องบอกว่างักหลุยบุตรของบูเชียงก๋งจะไปเซ่นไหว้ศพบิดา ณ เมืองนิ่มอัน เจ้าจงรีบไปช่วยงักหลุยโดยเร็วเถิด ในฝันนั้นว่าจูกัดกิมตอบว่าบิดาทำทีนี้ให้ลูกนี้รำลึกถึง ก็ตรงเข้าไปไหว้คำนับ จูกัดเองผลักให้ล้มลง พอจูกัดกิมตกใจตื่นขึ้นก็มาเล่าความฝันให้มารดาฟังทุกประการ มารดาว่าแต่แรกเราก็คิดอยู่ว่าจะให้เจ้าไปเยี่ยมเยือนนางลีสีฮูหยินที่บ้านทึงอิมกุ้ย บัดนี้บิดามาเข้าฝันเจ้าจงรีบไปให้ทันตามความฝันนั้นเถิด จูกัดกิมก็คำนับลามารดามาจัดเงินทองสิ่งของเป็นเสบียงกลางทาง แล้วก็ออกจากเมืองนำเอี๋ยงตรงไปทางเมืองเชียงจิว เวลาวันหนึ่งจูกัดกิมเดินไปพอจวนค่ำไม่มีโรงเตี๊ยมที่อาศัย พอเห็นศาลเจ้าแห่งหนึ่งหักพังร้างเซ จูกัดกิมก็เข้าไปอาศัยนอนอยู่ในศาลเจ้านั้น หลับไปฝันเห็นว่ามีผู้เฒ่าคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาสะอาด หนวดยาว นุ่งห่มเป็นทีอาจารย์มาร้องเรียกจูกัดกิมว่า หลานเอ๋ย เรามิใช่คนอื่น เป็นปู่ทวดของเจ้าชื่อ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง มาบอกให้เจ้ารู้จงรีบไปช่วยงักหลุยโดยเร็ว ด้วยบูเชียงก๋งและบุตรภรรยาเป็นคนสัตย์ซื่อตรงดีทั้งพวก นานไปข้างหน้าเจ้าจะได้ทำราชการกับงักหลุย มีชื่อเสียงปรากฏในแผ่นดิน ปู่มีตำราพิชัยสงครามอยู่สามเล่ม เจ้าจงเอาไปดูให้ขึ้นใจไว้ก็คงจะรู้การต่าง ๆ ทุกอย่าง ถ้าสำเร็จราชการแล้ว ตำรานี้จงเอาเผาไฟเสียอย่าให้กับผู้ใด สั่งดังนั้นแล้วก็หายสูญไป จูกัดกิมตื่นขึ้นก็รู้ว่าความฝันครั้นรุ่งสว่างแลเห็นห่อผ้าวางอยู่ที่ริมนั้น จึงหยิบเอามาแก้ห่อออกดู เห็นเป็นตำราพิชัยสงครามสามเล่มสมดังฝันก็มีความยินดี เอาหนังสือสามเล่มวางลงแล้วก็คุกเข่าคำนับจูกัดเหลียง ผู้เป็นปู่ชวดโดยความเคารพเป็นอันดี แล้วก็เอาห่อหนังสือนั้นผูกคาดไว้กับตัวออกเดินจากศาลเจ้าไป เวลาค่ำก็หยุดพักนอนตามโรงเตี๊ยมเป็นระยะมา ครั้นใกล้จะถึงเมืองคังโตว จูกัดกิมก็ซื้อเสื้อกางเกงมาใส่ปลอมตัวเป็นหลวงจีนเดินเข้าไปในเมือง จึงคิดว่าปู่และบิดาเราให้ไปช่วยงักหลุยซึ่งจะเซ่นไหว้ศพบูเชียงก๋ง บัดนี้งักหลุยจะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เมืองคังโตวนี้เป็นเมืองใหญ่ผู้คนเดินทางไปมามาก จำจะหยุดพักคอยสืบข่าวอยู่ที่นี่ เมื่อได้ความแล้วจึงค่อยติตตามไป จูกัดกิมก็เข้าอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าเปอ๋องเบี้ยวประพฤติการเป็นหมอดู คนชายหญิงเหล่านั้นก็มาให้หลวงจีนดูทายเคราะห์ร้ายเคราะห์ดีเป็นอันมาก
ฝ่ายงักหลุยกับพี่น้องทั้งสี่เดินทางมาถึงเมืองคังโตวเห็นคนยืนอยู่เป็นหมู่ก็แวะเข้าไปดู เห็นหลวงจีมหมอดูดูเคราะห์ร้ายเคราะห์ดีให้คนเหล่านั้นอยู่ งักหลุยกับพี่น้องทั้งสี่ก็ยืนฟังหลวงจีนทายดีและร้ายให้คนเหล่านั้น ครั้นเห็นผู้คนเบาบางลงแล้ว งักหลุยก็เข้าไปพูดกับหลวงจีนว่า ท่านช่วยดูเคราะห์ให้ข้าพเจ้าสักทีเถิด จูกัดกิมเห็นงักหลุยรูปพรรณคล้ายคลึงกับงักฮุนซึ่งเป็นบุตรบูเชียงก๋ง ได้เคยอยู่ด้วยกันมาแต่ก่อน ก็นึกสำคัญใจว่าคนนี้จะเป็นงักหลุยบุตรที่สองของบูเชียงก๋งแน่แล้ว จึงพูดว่าท่านนี้มิใช่คนเลวเชิญไปดูที่ข้างในเถิด จูกัดกิมหลวงจีนก็เก็บเครื่องหมอดู พางักหลุยเข้าไปในศาลเจ้าคำนับกันแล้ว หลวงจีนจูกัดกิมจึงถามว่าท่านนี้ชื่องักหลุยหรือ งักหลุยได้ฟังก็ตกใจบอกปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าแซ่เตียมิใช่แซ่งัก จูกัดกิมว่าท่านอย่าพรางเลยข้าพเจ้าไม่ใช่คนอื่นดอก บิดาชื่อจูกัดเอง ตัวข้าพเจ้าชื่อจูกัดกิม บิดาข้าพเจ้าตายแล้วมาเข้าฝันให้ข้าพเจ้ารีบมาช่วยท่าน จึงได้เที่ยวติดตามมา บัดนี้ก็ได้พบกันดีแล้ว งักหลุยได้ฟังก็ดีใจจึงพูดว่าข้าพเจ้ากับท่านไม่ได้พบปะกันเลยทำไมจึงได้รู้จัก จูกัดกิมว่าแต่ก่อนเมื่อบูเชียงก๋งทำศึกกับกิมงึดตุดนั้น ข้าพเจ้าได้ไปกับบิดารู้จักชอบพอกันกับงักฮุนพี่ท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นรูปร่างท่านคล้ายคลึงกับงักฮุน ก็นึกสำคัญในใจว่าท่านชื่องักหลุยเป็นน้องงักฮุนแน่แล้ว พี่น้องทั้งสี่เหล่านั้นก็พากันดีใจทุกคน จึงพูดว่าเราได้มาพบท่านอีกคนหนึ่งแล้ว การที่จะไปไหว้ศพบูเชียงก๋งนั้นจะเป็นทุกข์อะไร งูทองจึงพูดขึ้นว่าตัวท่านเป็นโหรหมอดูมีสติปัญญา จงช่วยกันตีหักเอาเมืองนิ่มอันฆ่าชีนไคว่เสีย ยกพี่งักหลุยขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะเป็นขุนนางนายทหารใหญ่ พี่จูกัดกิมเป็นกุนซือที่ปรึกษาว่าราชการบ้านเมืองจะไม่ดีหรือ งักหลุยว่าน้องอย่าพูดอย่างนั้นไม่ดี ถ้าผู้ใดเขาได้ยินเข้าก็จะเกิดความใหญ่ จูกัดกิมจึงถามชื่อและแซ่พี่น้องเหล่านั้น รู้จักกันทุกคนแล้วก็หยุดนอนค้างอยู่ที่ศาลเจ้าคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพี่น้องทั้งหกก็ออกจากศาลเจ้าไปเมืองนิ่มอัน เดินทางมาวันหนึ่งยังค่ำ พอถึงเมืองกุยจิวเข้าหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมซื้อของกินแล้วก็ค้างอยู่ที่นั้นคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าออกเดินจากเมืองกุยจิวไปถึงแม่น้ำ จูกัดกิมจึงพูดว่าเราไปหยุดอยู่ที่ศาลเจ้ากิมเหล็งไตอ๋องเบี้ยวก่อนเถิด ไปเที่ยวหาเรือข้ามฟากได้แล้วจึงค่อยพากันไป งักหลุยว่าข้าพเจ้าจะไปเที่ยวหาเรือเอง พี่น้องทั้งห้าคนคอยอยู่ที่นี่ก่อน งักหลุยก็ไปเที่ยวหาเรือตามริมแม่น้ำเห็นเรือลำหนึ่งจอดอยู่ริมฝั่ง เจ้าของนั่งอยู่ในเรือ งักหลุยก็ตรงเข้าไปถามว่าข้าพเจ้าจะจ้างให้ส่งข้ามฟากจะได้หรือไม่ เจ้าของเรือเห็นงักหลุยรูปพรรณเหมือนกับที่เขียนประกาศไว้ให้จับตัวไปส่งเมืองหลวง จึงคิดว่าคนนี้เห็นจะเป็นงักหลุยบุตรบูเชียงก๋งแน่แล้ว จึงพูดว่าท่านจะจ้างให้ข้ามส่งก็ได้ แต่จะไปเรียกเพื่อนอีกคนหนึ่งมาช่วยแจวเรือ ท่านจงคอยอยู่ที่นี่ก่อน เจ้าของเรือก็ไปบอกกับผู้ตรวจที่จะคอยจับงักหลุยนั้นว่ามีผู้มาจ้างข้ามส่ง ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างหน้าตาเหมือนรูปที่เขียนไว้ เห็นจะเป็นงักหลุยบุตรบูเชียงก๋งแน่แล้ว ผู้ตรวจได้ฟังก็มีความยินดีเรียกเพื่อนอีกคนหนึ่งกับเจ้าชองเรือ ครั้นถึงก็เห็นงักหลุยนั่งคอยท่าอยู่ ผู้ตรวจสองคนนั้นทำเป็นพูดกันว่าเราทั้งสองคนนี้จะไปเมืองนิ่มอัน ด้วยบูเชียงก๋งนั้นมีคุณกับเราเป็นอันมาก เราจะไปเซ่นไหว้ศพบูเชียงก๋งฉลองคุณสักครั้งหนึ่ง พูดแล้วก็ถามงักหลุยว่าท่านจะไปข้างไหน งักหลุยได้ฟังดังนั้นน้ำตาก็ไหลสำคัญว่าคนทั้งสองจะไปเซ่นไหว้ศพบิดาจริง ครั้นคนทั้งสองถามก็บอกว่าข้าพเจ้าก็จะไปเมืองนิ่มอัน บูเชียงก๋งนั้นเป็นบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชื่องักหลุยเป็นบุตรที่สองของบูเชียงก๋ง ท่านทั้งสองจะไปก็ดีแล้วจะได้ไปด้วยกัน ผู้ตรวจทั้งสองนั้นได้ฟังก็แจ้งว่างักหลุยแน่แล้ว จึงพูดว่าเราอยู่ที่เมืองกุยจิว ชีนไคว่มีหนังสือมาให้จับตัวท่าน วันนี้พบท่านเข้าก็เป็นบุญของเรา พูดแล้วสองนายก็ตรงเข้าจับงักหลุย งักหลุยก็ไม่สู้รบต้านทาน สองนายนั้นก็เอาตัวงักหลุยไปส่งให้ผู้รักษาเมืองกุยจิว ผู้รักษาเมืองก็มีความยินดีนัก เห็นงักหลุยไม่คุกเข่าคำนับก็โกรธ จึงพูดว่าเจ้านี้เป็นพวกไส้ศึกไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน บัดนี้เขาจับมาได้ยังไม่คุกเข่าลงคำนับหรือ งักหลุยตอบว่าพวกเรานี้มีแต่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ขุนนางกังฉินคิดอุบายกำจัดบิดากับพี่ชายเราเสีย เราจะต้องมาคำนับท่านทำไม ผู้รักษาเมืองได้ฟังก็โกรธสั่งให้เอาตัวงักหลุยไปจำขังตะรางไว้ พรุ่งนี้จะได้เอาตัวส่งเข้าไปเมืองหลวง ผู้คุมก็เอาตัวงักหลุยไป
ฝ่ายจูกัดกิม จงเหลียง งูทอง ฮันคิเหลง ฮันคิหอง ห้าคนนั่งคอยงักหลุยอยู่ที่ศาลเจ้าครึ่งวันไม่เห็นงักหลุยกลับมาก็มีความสงสัย ชวนกันไปตามที่แม่น้ำก็ไม่พบปะ แล้วเที่ยวไปตามแถวแม่น้ำเห็นมีคนนั่งพูดกันอยู่สามคน จูกัดกิมกับพี่น้องสี่คนก็เดินเข้าไปได้ยินชายสามคนพูดว่า ผู้รักษาเมืองกุยจิวคราวนี้เคราะห์ดีคงจะมีความชอบมาก จับงักหลุยบุตรบูเชียงก๋งได้ พรุ่งนี้เข้าจะเอาตัวไปส่ง คนหนึ่งพูดว่าน่าเสียดายบูเชียงก๋งเป็นคนซื่อตรงมาเสียทีให้ชีนไคว่ฆ่าตาย ถ้าครั้งนี้จับตัวงักหลุยไปได้ ภายหน้าเห็นจะไม่มีผู้ใดแก้แค้นแทนบูเชียงก๋ง เรามีความสงสารนัก จูกัดกิมกับพี่น้องสี่คนได้ฟังแจ้งความแล้วก็ชวนกันกลับมาที่ศาลเจ้าปรึกษากันว่าจะทำประการใดดี จงเหลียงว่าเพราะงูทองให้งักหลุยไปเขาจึงจับไปได้ งูทองว่าตกพนักงานข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไปตีเมืองแย่งชิงเอาพี่งักหลุยมาให้ได้ จูกัดกิมว่าไม่ได้อย่าอื้ออึงไป เราจะถามเจ้าดูก่อน จูกัดกิมก็จุดธูปเทียนทอดไม้ถามเจ้าได้ความแล้ว ก็บอกกับพี่น้องสี่คนว่าไม่เป็นไรดอก เวลาค่ำวันนี้จะมีผู้มาช่วยให้ออกได้ เราห้าคนนี้จงไปคอยอยู่นอกกำแพงก็คงจะพบกัน สี่คนได้ฟังก็ยังสงสัยอยู่ นั่งคอยท่าจนเวลาค่ำก็พากันไปคอยอยู่นอกกำแพงเมืองทั้งห้าคน
ฝ่ายงักหลุยเขาเอาตัวไปขังตะรางไว้ก็ร้องไห้บ่นรำพันไปว่า บิดาเรามีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ได้ปราบปรามข้าศึกเป็นหลายครั้ง แล้วได้ช่วยพระเจ้าซ้องเกาจงที่เขางูเท่าซัว บิดาเราไม่มีความผิด พวกกังฉินคิดฆ่าบิดากับพี่เราเสีย มารดากับน้องเราก็ต้องเนรเทศไปอยู่เมืองฮุนหนำแล้ว ยังซ้ำจับเอาตัวเรามาจำขังไว้ให้ได้ความลำบากดังนี้ พวกเราไม่มีความผิดเลย ถ้าแม้นเราออกได้จะฆ่าพวกเหล่านี้เสียให้สิ้น ว่าดังนั้นแล้วก็ร้องไห้
ฝ่ายเอาเอียงซองเสียง ตั้งแต่ส่งเตียเปาข้ามแม่น้ำเข้าไปเมืองหลวงแล้วก็เที่ยวหากินอยู่ที่แม่น้ำนั้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเอาเอียงซองเสียงวิวาทกับพวกทหารที่เมืองกุยจิว ผู้ร้กษาเมืองกุยจิวให้ทหารมาจับตัวเอาเอียงซองเสียงไปได้ ก็เอาตัวไปขังไว้ที่ตะราง ผู้คุมนั้นแจ้งว่าเอาเอียงซองเสียงมีฝีมือเข้มแข็งกลัวจะหักพังตะรางหนีไปก็เอาใจมิให้ขัดเคือง ตะรางนั้นอยู่ใกล้ติดกันกับตะรางที่ขังงักหลุยไว้ เอาเอียงซองเสียงได้ฟังงักหลุยบ่นว่ารำพันต่าง ๆ ก็แจ้งว่าเป็นบุตรที่สองของบูเชียงก๋งชื่องักหลุย เขาจับมาได้ จำเราจะหาอุบายช่วยงักหลุยให้หนีออกไป ถ้าไม่ช่วยไว้งักหลุยตายเสียก็ไม่มีผู้ใดแก้แค้นแทนบูเชียงก๋งได้ คิดแล้วก็ทำเป็นร้องตวาดว่าคนที่มาใหม่ไม่ใช่ชายชาติทหารจึงกลัวความตาย มาร้องไห้บ่นว่าให้ผู้ใดฟัง เรารำคาญนัก จึงร้องเรียกผู้คุมมาบอกว่าคนที่มาใหม่อื้ออึง เรารำคาญไม่สบายใจจะทำประการใดดี ผู้คุมก็อ้อนวอนว่าท่านอย่าโกรธเลยทนเอาคืนหนึ่ง เวลาพรุ่งนี้เขาก็จะเอาตัวส่งไปเมืองหลวงท่านก็คงสบาย เอาเอียงซองเสียงจึงพูดว่า วันนี้เป็นวันแซยิดของเรา มีคนอื้ออึงให้ใจไม่สบาย ท่านจงเอาเงินห้าตำลึงของเรานี้ไปซื้อโต๊ะและสุรามาให้ เราจะกินโต๊ะเสพสุราให้สบายใจสักหน่อย พูดแล้วก็หยิบเงินออกให้ผู้คุมไปซื้อโต๊ะและสุรามาพร้อม เอาเอียงซองเสียงก็ชวนผู้คุมกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน แล้วเอาเอียงซองเสียงเอาโต๊ะและสุรามาให้คนโทษด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อขณะกินโต๊ะอยู่ในตะรางนั้นเวลาก็จวนค่ำ ผู้คุมและคนโทษเหล่านั้นเสพสุราเมาก็พากันนอนหลับไป เอาเอียงซองเสียงเห็นผู้คุมกับคนโทษหลับหมดแล้ว เวลาก็ดึกสองยามเศษ กำลังสงัด เอาเอียงซองเสียงก็งัดตรวนออกเอาเชือกพันเอวปีนข้ามฝาตะรางมาบอกกับงักหลุยว่า ข้าพเจ้าชื่อเอาเอียงซองเสียง ได้ฟังท่านพูดบ่นก็แจ้งว่าเป็นบุตรที่สองของบูเชียงก๋ง เขาจับมาขังไว้พรุ่งนี้จะส่งเข้าไปเมืองหลวง ข้าพเจ้าจึงได้มาช่วยจะให้ท่านหนีออกไปด้วยกัน งักหลุยได้ฟังก็คำนับพูดว่าท่านมาช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้บุญคุณเป็นที่สุด ถึงตายก็ไม่ลืมคุณของท่าน เอาเอียงซองเสียงก็ตัดตรวนให้งักหลุย แล้วก็พาออกมาถึงประตูหักกุญแจเปิดประตูออกมาได้ ขึ้นไปบนกำแพงเอาเชือกผูกเอวงักหลุยหย่อนลงไปนอกกำแพง แล้วเอาเอียงซองเสียงก็โดดกำแพงเมืองลงไป จูกัดกิม จงเหลียง งูทอง ฮันคิเหลง ฮันคิหองนั่งคอยอยู่เห็นงักหลุยก็ยินดี งูทองว่าพี่จูกัดกิมดูแน่นัก แล้วก็ถามงักหลุยว่าที่มาด้วยท่านนั้นผู้ใด งักหลุยก็แจ้งความให้ฟังทุกประการ แล้วบอกว่าชื่อเอาเอียงซองเสียง ห้าคนได้ฟังก็คำนับเอาเอียงซองเสียงแล้วพูดว่า ท่านช่วยงักหลุยพี่น้องข้าพเจ้าได้ดังนี้ บุญคุณนักหนา เอาเอียงซองเสียงถามว่าท่านทั้งห้าแซ่ใดชื่อไร ห้าคนนั้นก็บอกแซ่และชื่อให้ทุกคน เอาเอียงซองเสียงได้ฟังก็ดีใจจึงพูดว่า ข้าพเจ้าจะไปไหว้ศพบูเชียงก๋งด้วย แต่เรารีบไปข้ามแม่น้ำเสียเดี๋ยวนี้อย่าให้ทันสว่างได้ พูดแล้วก็ชวนกันไปถึงแม่น้ำ งักหลุยเห็นเรือลำนั้นยังอยู่ ก็บอกเอาเอียงซองเสียงว่าเรือที่จอดอยู่นั้น เจ้าของเรือไปบอกเขามาจับตัวข้าพเจ้าไปส่ง เอาเอียงซองเสียงได้ฟังก็เดินไปริมฝั่งเรียกว่าเจ้าของเรือจ้างถอยเรือมาเร็ว ๆ เราจะเอาตัวงักหลุยที่จับได้เมื่อเช้าข้ามไปส่งเมืองนิ่มอัน เจ้าของเรือได้ฟังดังนั้นก็ถอยเรือมา เอาเอียงซองเสียงก็ลงไปในเรือแล้วถามงักหลุยว่าเจ้าของเรือคนนี้หรือมิใช่ งักหลุยว่าคนนี้แหละที่ไปบอกเขามาจับข้าพเจ้า เอาเอียงซองเสียงก็เอากระบี่ฟันคอเจ้าของเรือขาดตายก็ผลักลงน้ำลอยไป เจ็ดคนนั้นก็ลงเรือข้ามฟากไปถึงฝั่งพอจวนรุ่ง ชวนกันขึ้นเดินตรงไปเมืองนิ่มอัน