๕๘
ฝ่ายลิซุดโพ๊ว เจ้าเมืองฮุนหนำอยู่ข้างทิศเหนือนอกเขตแดนจีน เป็นเมืองเอกราช มีไพร่พลทหารมาก เดิมเป็นไมตรีกับแผ่นดินซ้อง ถ้าเปลี่ยนกษัตริย์ในแผ่นดินซ้องครั้งใดก็เคยมีหนังสือไปแต่งตั้งให้เจ้าเมืองฮุนหนำเป็นที่อ๋องเป็นธรรมเนียมมาช้านานมิได้ขาด ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าซ้องคิมจง พระเจ้าซ้องเกาจงได้ราชสมบัติ ก็มิได้มีหนังสือไปตั้งแต่งให้เป็นอ๋องเหมือนแต่ก่อน ลิซุดโพ๊วเจ้าเมืองฮุนหนำมีความน้อยใจแก่กษัตริย์แผ่นดินซ้องมาช้านานหลายปี คิดจะยกกองทัพมาตีแผ่นดินซ้องก็ยังไม่มีโอกาส ครั้นแจ้งว่ากิมงึดตุดบุตรเจ้าเมืองไตกิมก๊กยกกองทัพมาตีแผ่นดินซ้อง ลิซุดโพ๊วจึงให้ประชุมขุนนางมาปรึกษาว่า กษัตริย์แผ่นดินซ้องดูถูกดูหมิ่นมาถึงสององค์แล้ว บัดนี้เราจะยกกองทัพไปบรรจบกับกิมงึดตุด ตีเอาแผ่นดินซ้องปันกันคนละครึ่ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางเหล่านั้นว่าซึ่งท่านคิดนี้ชอบแล้ว เฮกมันเหลงหลานของท่านก็มีฝีมือเข้มแข็ง ควรจะทำศึกสงครามให้มีชื่อเสียงไว้ ลิซุดโพ๊วได้ฟังขุนนางที่ปรึกษาเห็นด้วยดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้เกณฑ์กองทัพยี่สิบหมื่น จัดเครื่องศาสตราวุธเสบียงอาหารพร้อมแล้ว เฮกมันเหลงผู้หลานเป็นแม่ทัพหน้า ลิซุดโพ๊วเป็นกองหลวง ยกออกจากเมืองฮุนหนำ เดินทางล่วงมาเข้าแผ่นดินซ้องถึงที่จูเซียนติ้น พอแลเห็นค่ายกิมงึดตุด ก็สั่งให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วสั่งให้ทหารไปบอกกับกิมงึดตุดว่า ตัวเราผู้ครองเมืองฮุนหนำยกกองทัพมาช่วยกิมงึดตุดเอาแผ่นดินซ้อง เราจะไปหากิมงึดตุดปรึกษาราชการในเวลาพรุ่งนี้ ทหารก็คำนับลาไปถึงค่ายกิมงึดตุดแจ้งความแก่นายประตู นายประตูเอาความเข้าไปบอกแก่กิมงึดตุดว่าลิซุดโพ๊วเจ้าเมืองฮุนหนำใช้ให้นายทหารมาหาท่าน กิมงึดตุดก็ให้ออกไปรับพาตัวเข้าไป นายทหารลิซุดโพ๊วคำนับแล้วก็บอกความตามซึ่งลิซุดโพ๊วสั่งมาทุกประการ กิมงึดตุดว่าพรุ่งนี้ให้เชิญนายท่านมาปรึกษาราชการกันเถิด นายทหารลิซุดโพ๊วก็คำนับลากลับไป คับมิชีจึงพูดกับกิมงึดตุดว่า ลิซุดโพ๊วจะมาหาท่านเวลาพรุ่งนี้นั้นจงต้อนรับให้ดี ด้วยลิซุดโพ๊วเป็นชาวเมืองบ้านนอกไม่ใคร่จะรู้อย่างธรรมเนียมที่ดี ถ้าคิดเกลี้ยกล่อมเอาไว้ก็คงจะใช้เป็นกำลังได้ ครั้นเวลารุ่งขึ้นเช้าลิซุดโพ๊วกับเฮกมันเหลงก็จัดทหารที่มีฝีมือมาด้วยพอสมควร ครั้นมาถึงค่ายกิมงึดตุด กิมงึดตุดให้นายทหารออกมารับเชิญลิซุดโพ๊วเข้าไปในค่าย ลิซุดโพ๊วจึงคิดว่ากิมงึดตุดนี้ก็เป็นแต่ลูกเจ้าเมืองไตกิมก๊กเราเป็นเจ้าเมืองฮุนหนำมีหัวเมืองขึ้นแว่นแคว้นก็กว้างใหญ่เหมือนกัน ยศศักดิ์เราก็เสมอกับบิดากิมงึดตุด ซึ่งกิมงึดตุดไม่ออกมารับเราเองนี้เป็นความหมิ่นประมาทดูถูกเรานัก คิดดังนั้นแล้วก็สั่งเฮกมันเหลงว่าเราจะเข้าไปหากิมงึดตุด เจ้าจงเตรียมทหารคอยทีไว้ให้พร้อม ลิซุดโพ๊วก็เข้าไปในค่ายเห็นกิมงึดตุดกับนายทหารนั่งอยู่พร้อมกัน จึงร้องถามไปแต่ไกลว่าท่านมาตั้งอยู่ที่นี่มีความสบายอยู่หรือ กิมงึดตุดเห็นลิซุดโพ๊วรูปร่างสูงใหญ่หน้าเขียวผมแดง ท่วงทีเซ่อซ่าเป็นชาวบ้านนอกก็ลุกขึ้นจะไปรับคำนับให้ใกล้ หมายจะเปรียบดูว่าใครจะสูงใหญ่กว่ากัน ลิซุดโพ๊วเห็นกิมงึดตุดแลดูไม่วางตา แล้วลุกเดินเข้ามาใกล้ก็สงสัยว่ากิมงึดตุดจะทำร้าย พอกิมงึดตุดใกล้ชิดเข้ามายังไม่ทันจะคำนับพูดจากัน ลิซุดโพ๊วก็เอามือตบถูกหน้ากิมงึดตุดล้มลง แล้วลิซุดโพ๊วก็วิ่งถอยออกมานอกประตูค่าย พวกทหารฮวนเห็นเจ้าเมืองฮุนหนำตบเอากิมงึดตุดผู้นายดังนั่น ก็พากันชักกระบี่ออกจากฝักไล่จะฆ่าลิซุดโพ๊วกับเฮกมันเหลง ทหารลิซุดโพ๊วก็เข้าสู้รบต้านทาน พาเอาลิซุดโพ๊วกลับมาค่ายได้ กิมงึดตุดถูกตบได้ความอัปยศคิดแค้นลิซุดโพ๊วยิ่งนัก นึกจะยกกองทัพไปรบจับตัวมากระทำให้หายแค้น ก็กลัวว่าลิซุดโพ๊วจะไปเข้าเสียกับบูเชียงก๋ง การศึกก็จะหนักมือขึ้น จึงต้องงดเสียทำใจดีไม่โกรธตอบ
ฝ่ายลิซุดโพ๊วมาถึงค่ายก็พูดกับเฮกมันเหลงว่า เดิมเราคิดมาจะประนีประนอมกับกิมงึดตุดช่วยกันตีเอาแผ่นดินซ้องแบ่งกันคนละครึ่ง ครั้นมาถึงกิมงึดตุด เราดูกิริยาเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัวประมาทหมิ่นดูถูกเรานัก จำจะเลิกทัพกลับไปบ้านเมืองเสียดีกว่าอย่าช่วยเขาเลย เฮกมันเหลงว่าข้าพเจ้าได้ยินข่าวเขาเล่าลือว่า งักฮุนบุตรบูเชียงก๋งแม่ทัพแผ่นดินซ้องนั้นมีสติปัญญาฝีมือเข้มแข็งนัก ข้าพเจ้าอยากจะลองฝีมือรบกับงักฮุนดู ถ้างักฮุนมีฝีมือจริงเหมือนคำสรรเสริญแล้ว เราพากันไปเข้าด้วยบูเชียงก๋งคิดรบกิมงึดตุด ไหน ๆ ก็ได้ยกกองทัพมาถึงนี่แล้ว จะกลับไปเปล่านั้นเป็นที่อัปยศแก่ไพร่บ้านพลเมืองของเรานัก ลิซุดโพ๊วได้ฟังก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ยกกองทัพตรงไปใกล้ค่ายบูเชียงก๋ง เฮกมันเหลงคุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายบูเชียงก๋ง แล้วร้องว่าตัวเราเป็นหลานเจ้าเมืองฮุนหนำ ยกกองทัพมาครั้งนี้อยากจะสู้รบลองฝีมือกับงักฮุนบุตรบูเชียงก๋งแม่ทัพ ทหารซึ่งรักษาอยู่หน้าค่ายก็เอาความเข้าไปแจ้งแก่บูเชียงก๋งตามคำเฮกมันเหลงร้องพูดมาทุกประการ บูเชียงก๋งจึงว่า เจ้าเมืองฮุนหนำยกกองทัพมานี้ก็คงจะมีเหตุได้ความเจ็บแค้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ จึงเรียกงักฮุนผู้บุตรเข้ามาสั่งว่า เฮกมันเหลงหลานเจ้าเมืองฮุนหนำมาท้าชวนรบ เจ้าจงออกไปสู้ดูฝีมือจะดีสักเพียงไร งักฮุนก็คำนับลามาแต่งตัวขี่ม้าถืออาวุธคุมทหารออกไป เห็นนายทหารหนุ่มรูปร่างใหญ่โตหน้าดำยืนอยู่หน้า ข้างหลังอีกคนหนึ่งนั้นรูปก็โตใหญ่หน้าเขียวผมแดงมีอายุมาก เห็นจะเป็นลิซุดโพ๊วเจ้าเมืองฮุนหนำ งักฮุนก็ขับม้าไปใกล้ เฮกมันเหลงก็ร้องถามว่าทหารที่มานี้ชื่อไร งักฮุนตอบว่าเรานี้คือเป็นบุตรใหญ่ของบูเชียงก๋งชื่องักฮุน ท่านทั้งสองยกกองทัพมานี้ด้วยเหตุอะไรมีแซ่และชื่อประการใด เฮกมันเหลงตอบว่าตัวเราเป็นหลานเจ้าเมืองฮุนหนำ ท่านผู้ใหญ่ที่ยืนม้าอยู่ข้างหลังนั้นคือลิซุดโพ๊วเจ้าเมืองฮุนหนำอาของเรา เดิมแผ่นดินซ้องเปลี่ยนกษัตริย์เจ้าแผ่นดินครั้งไรก็เคยมีหนังสือไปตั้งให้เจ้าเมืองฮุนหนำเป็นที่อ๋อง ทางไมตรีจึงได้เจริญกันมาช้านานหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่พระเจ้าซ้องคิมจง พระเจ้าซ้องเกาจง สองกษัตริย์ได้เป็นเจ้าแผ่นดินไม่ได้มีหนังสือไปมาเป็นทางไมตรีกันเหมือนแต่ก่อน อาเราจึงคิดว่าเจ้าแผ่นดินซ้องมีความประมาทหมิ่นดูถูกเรานัก จึงได้ยกกองทัพมาหมายจะช่วยกิมงึดตุดตีเอาแผ่นดินซ้อง ครั้นมาได้พบกับกิมงึดตุดแล้ว กิมงึดตุดไม่มีความยำเกรงนับถือกลับคิดจะทำร้ายอาเรา ครั้นเราจะยกทัพกลับไปบ้านเมืองก็เสียดายด้วยจัดการมาพรักพร้อมแล้ว จึงได้ชวนท่านออกรบให้เห็นฝีมือชาวเมืองฮุนหนำไว้ งักฮุนว่าท่านอยากจะสู้รบกับเราก็ขับม้าเข้ามาเถิด นายทหารทั้งสองเข้าสู้รบกันได้ประมาณร้อยเพลงเศษ ฝีมือเข้มแข็งว่องไวด้วยกันทั้งสอง ฝ่ายงักฮุนจึงคิดว่าเฮกมันเหลงนี้มีกำลังเรี่ยวแรงนัก จำเราจะรบล่อไปจะคิดเกลี้ยกล่อมเอาไว้เป็นพวกพ้องดีกว่าฆ่าฟันกันตายเสีย คิดแล้วงักฮุนก็ชักม้าถอยหนีไปร้องพูดว่า ถ้าท่านไม่กลัวกระบองสั้นก็จงไล่ติดตามมาเถิด เฮกมันเหลงว่ากระบองของเราก็มีเหมือนกันแล้วขับม้าไล่ตามไป งักฮุนหนีล่อไปใกล้เขาอองฮวงซัว ไกลผู้คนแล้วก็ชักม้าหยุด ร้องพูดไปกับเฮกมันเหลงว่าเรากับท่านสู้รบกันมาถึงครึ่งวันแล้วก็ยังไม่แพ้ชนะกัน เราจะขอพูดให้สิ้นข้อความก่อน เมื่อท่านอยากรบจงค่อยรบกันใหม่ งักฮุนว่าบิดาเรายกกองทัพมาสู้รบกับกิมงึดตุดครั้งนี้ ทหารเลวก็น้อยกว่ากิมงึดตุด แต่นายทหารนั้นล้วนแต่มีสติปัญญา ฝีมือเข้มแข็งกว่ากิมงึดตุด ออกรบครั้งใดก็ได้ชัยชนะทุกครั้ง แต่ทหารเลวของกิมงึดตุดมากนัก ท่านยกมาสู้รบกับเราครั้งนี้ ถ้าโดยว่าชนะกองทัพฝ่ายเราแล้ว ท่านจะสู้รบกับกิมงึดตุดเขาได้หรือ ถ้าหากว่าท่านแพ้กองทัพฝ่ายเราก็จะมิเป็นที่เสียเกียรติยศพาความอายอัปยศกลับไปบ้านเมืองหรือ ไม่เห็นประโยชน์สิ่งใดเลย เฮกมันเหลงตอบว่า การที่ยกกองทัพมาครั้งนี้ก็เพราะอาเรามีความน้อยใจแก่เจ้าแผ่นดินซ้อง ว่าไม่นับถือเสมอเหมือนแต่ก่อน จึงได้ยกมา หมายว่าจะให้เห็นฝีมือทหารพวกเมืองฮุนหนำว่ารบพุ่งก็เป็นดีเหมือนกับพวกฮวนเมืองไตกิมก๊ก งักฮุนว่าอันความนี้ไม่ควรอาท่านจะมาโทมนัสน้อยใจ ด้วยเมื่อพระเจ้าซ้องคิมจงได้ราชสมบัติขึ้นแล้วนั้น กิมงึดตุดยกมาตีบ้านเมืองจับเอาสองกษัตริย์ไปได้ ครั้นคังอ๋องหนีมาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามพระเจ้าซ้องเกาจงขึ้น การบ้านเมืองก็ยังระส่ำระสายโจรร้ายเกิดชุกชุมทุกหนทุกแห่ง การซึ่งจะมีหนังสือไปเจริญทางไมตรีกันนั้นจึงได้ขาดระยะมาถึงสองแผ่นดินก็เพราะการเป็นดังนี้ ซึ่งอาท่านจะมาถือใจโกรธแค้นแก่บ้านเมืองซึ่งมีความทุกข์ร้อนนั้นควรอยู่แล้วหรือ ถ้าคิดเสียใหม่คงเป็นไมตรีตามเดิมช่วยกำจัดพวกฮวนซึ่งเป็นศัตรูเสียให้ราบคาบ แล้วความนับถือทั้งสองฝ่ายก็คงสนิทยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อน เฮกมันเหลงว่าท่านพูดนี้ชอบอยู่ แต่เราเป็นผู้น้อยต้องเอาความไปปรึกษาอาเสียก่อนจึงจะพูดได้ งักฮุนว่าตัวท่านกับเราก็เป็นหนุ่มอายุก็จะไม่แก่อ่อนกว่ากันนัก ถ้ามากระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องให้สนิทกันไว้เสียก่อน จึงค่อยพูดการบ้านเมืองต่อภายหลังท่านจะยอมเห็นชอบด้วยหรือไม่ เฮกมันเหลงว่าการอันนี้เป็นจำเพาะจุใจของตัวเอง ข้าพเจ้าก็จะยอมได้ พูดกันดังนั้นแล้วต่างคนก็ลงจากม้ามาคำนับเทพยดาแปดครั้งแล้วสาบานเป็นพี่น้องกัน งักฮุนอายุแก่กว่าเฮกมันเหลงอ่อนกว่ายอมเป็นน้อง ทั้งสองนายกำหนดนัดสัญญากันแล้วต่างคนก็กลับไปค่าย งักฮุนไปถึงค่ายเล่าความให้บูเชียงก๋งฟัง บูเชียงก๋งมีความยินดีนักตั้งใจคอยลิซุดโพ๊วเจ้าเมืองฮุนหนำอยู่ เฮกมันเหลงกลับไปถึงค่ายก็เล่าความซึ่งได้พูดโต้ตอบกับงักฮุน งักฮุนอธิบายความให้เข้าใจแจ่มแจ้งนั้นให้ลิซุดโพ๊วผู้อาฟังทุกประการ ลิซุดโพ๊วว่าเราได้ยินคำติเตียนและสรรเสริญคนทั้งปวงพูดเป็นอันมากว่าคังอ๋องซึ่งเป็นพระเจ้าซ้องเกาจงไม่มีปัญญาใจโลเลเชื่อคนง่าย แต่บูเชียงก๋งนั้นสรรเสริญว่าใจคอมั่นคงมีความเมตตาโอบอ้อมอารีดีนัก ซึ่งจะไปเป็นไมตรีกับบูเชียงก๋งนั้นเราก็จะยอม แต่การต่อไปภายหน้านั้นคังอ๋องเจ้าแผ่นดินจะนับถือเราหรือไม่นับถือนั้นสุดแต่การจะเป็นไป พูดกันแล้วครั้นเวลารุ่งเช้าลิซุดโพ๊วกับเฮกมันเหลงพาทหารพอสมควรตรงมาค่ายบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งว่าลิซุดโพ๊วกับเฮกมันเหลงมาก็ออกไปต้อนรับถึงนอกประตูค่าย เชิญเข้ามานั่งในที่ว่าราชการ บูเชียงก๋งแต่งที่ให้ลิซุดโพ๊วนั่งสูงกว่าตัวด้วยเป็นการคารวะนับถือว่าเป็นเจ้าเมืองเอกราชยศศักดิ์ใหญ่ ลิซุดโพ๊วเห็นบูเชียงก๋งอ่อนน้อมนับถือดังนั้นก็ชื่นชมยินดีนัก งักฮุนผู้บุตรบูเชียงก๋งก็คำนับลิซุดโพ๊วดังญาติผู้ใหญ่ เฮกมันเหลงก็คำนับบูเชียงก๋งเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายมีความรักใคร่สนิทสนมกัน บูเชียงก๋งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงลิซุดโพ๊วกับนายทหารซึ่งตามลิซุดโพ๊วมานั้นกินพร้อมกันกับนายทหารของตัว บูเชียงก๋งกับลิซุดโพ๊วก็เข้านั่งกินโต๊ะร่วมกันเป็นที่สบายสนิทสนมหาความรังเกียจมิได้ ลิซุดโพ๊วว่าข้าพเจ้ายกกองทัพมาครั้งนี้ ท่านจะให้ช่วยรบกับกิมงึดตุดอย่างไรก็จะช่วยให้เต็มฝีมือ บูเชียงก๋งว่าการศึกครั้งนี้ไม่สู้เป็นไร แต่กำลังทหารของข้าพเจ้าก็พอจะเอาชัยชนะกิมงึดตุดได้อยู่ เชิญท่านยกกองทัพกลับไปบ้านเมืองเถิด เมื่อการศึกราบคาบเรียบร้อยลงแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลพระเจ้าแผ่นดินให้สืบทางราชไมตรีจำเริญยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อน ตัวข้าพเจ้าถ้าว่างราชการลงแล้วก็จะไปเที่ยวชมบ้านเมืองเยี่ยมเยือนท่านบ้าง ลิซุดโพ๊วได้ฟังก็มีความยินดี หยุดนอนค้างอยู่ที่ค่ายบูเชียงก๋งคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าลิซุดโพ๊วก็ลาบูเชียงก๋งมาค่าย จัดกองทัพเลิกกลับไปเมืองฮุนหนำ งักฮุนตามไปส่งเฮกมันเหลงทางวันหนึ่งแล้วก็กลับมา
ฝ่ายบูเชียงก๋งคิดตรึกตรองว่า กิมงึดตุดขอหยุดรบครั้งนี้หลายวันมาแล้ว คงจะคิดทำค่ายเป็นกลศึกฝึกซ้อมทแกล้วทหารเป็นกระบวนอุบายอย่างไรอย่างหนึ่งเป็นแน่ จำจะไปลอบดูให้รู้การ ครั้นเวลาค่ำเดือนหงายแจ่มกระจ่างก็ชวนเตียเปาขึ้นขี่ม้าคนละตัว ออกจากค่ายตรงไปที่เขาอองฮวงซัวใกล้ค่ายกิมงึดตุด บูเชียงก๋งขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ แลไปดูภูมิค่ายที่กิมงึดตุดตั้งขึ้นไว้ใหม่เป็นกระบวนมังกรสองตัวมีหัวมีหาง เรียกว่าค่ายกลศึกกิมเหลงเกาปวยติ้นมีทหารอยู่รักษาประจำค่ายประมาณหลายหมื่น ครั้นเห็นทั่วแล้วก็ลงจากต้นไม้ใหญ่จวนจะถึงพื้นแผ่นดิน ได้ยินเสียงลูกเกาทัณฑ์ยิงมา บูเชียงก๋งเหลียวดูเห็นหลบไม่ทัน ลูกเกาทัณฑ์ถูกที่ต้นแขนริมรักแร้ได้ความเจ็บปวดแทบจะตกต้นไม้ จึงร้องถามไปว่าผู้ใดยิงเราด้วยข้อพยาบาทอะไร ผู้ที่ยิงนั้นวิ่งหลบหนีไป เตียเปาได้ฟังก็ตกใจวิ่งเข้าไปพยุงรับบูเชียงก๋งลงจากต้นไม้ ชักลูกเกาทัณฑ์ออกเอาผ้าพันแผลพยุงขึ้นม้ากลับมาค่าย เอายาวิเศษที่งูเกาฝนละลายน้ำร้อนกินเข้าไป พิษเกาทัณฑ์ที่ปวดเจ็บนั้นหายเป็นปรกติ บูเชียงก๋งจึงเรียกคนสนิทเข้ามาให้ไปสืบถามผู้รักษาประตูค่ายทุก ๆ ค่ายว่าเมื่อเวลาหัวค่ำใครถืออาวุธ หอก ดาบ หรือเกาทัณฑ์ออกไปนอกค่ายผิดประหลาดบ้าง ทหารคนสนิทไปเที่ยวสืบได้ความกลับมาบอกว่า ที่ค่ายเซกฮวงอยู่นั้นเมื่อเวลาหัวค่ำท่านขึ้นม้าไปกับเตียเปาแล้ว เซกฮวงถือเกาทัณฑ์ออกไปจากค่ายช้านานพึ่งกลับมาเมื่อสักครู่หนึ่ง บูเชียงก๋งก็เข้าใจชัดว่าเซกฮวงยิงเอาเราเป็นแน่ ด้วยผูกพยาบาทเมื่อครั้งรบกับโจรที่ทะเลสาบทองเทงโอ๋ว เซกฮวงทำความผิด เราให้เฆี่ยนเสียยี่สิบทีได้ สักสี่วันห้าวันก็มีผู้ลอบยิงเอาเราทีหนึ่ง เราก็นิ่งเสียไม่ได้ชำระ ครั้งนี้มายิงเอาเราอีกเห็นจะไม่ผิดเซกฮวงแน่แล้ว จึงสั่งให้เตียเปาไปหาตัวเซกฮวงมา เตียเปาไปถึงที่อยู่เซกฮวง ก็บอกว่าบูเชียงก๋งให้หา เซกฮวงได้ฟังก็ตกใจสะดุ้งขึ้นทั้งตัว คิดจะบิดพลิ้วอย่างไรก็ไม่ได้ ครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งจึงพูดว่า คนเราทุกวันนี้มิใช่ต้นไม้และหญ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีความผิดและความชอบเจือปนระคนกันเป็นธรรมดา เมื่อครั้งยกกองทัพไปปราบพวกโจรที่ทะเลสาบทองเทงโอ๋วนั้น เจ้ากระทำความผิดล่วงอาญาศึกโทษถึงตาย เราคิดสงสารไม่ฆ่าเสียให้แต่ตีเพียงยี่สิบทีเท่านั้น เจ้าคิดผูกพยาบาทเอาเกาทัณฑ์ยิงเราคราวนั้นหนหนึ่งแล้ว เราก็นิ่งเสียไม่ชำระ ถ้าชำระก็คงจะได้ตัว ครั้งนี้เจ้าเอาลูกเกาทัณฑ์ใส่ยาพิษยิงเราอีก นี่หากว่าได้ยาวิเศษของงูเกาไว้แก้ได้จึงไม่ตาย ใจเจ้าช่างพยาบาทเรากระไรนักหนา ไม่คิดบ้างเลย เจ้ากระทำผิดเราไม่ฆ่าเสียตามอาญาศึก ทำโทษแล้วก็เลี้ยงไว้เป็นนายทหารอยู่ตามเดิม ตัวเรานี้มีความสุจริตรักใคร่ทแกล้วทหารทั้งปวงเสมอกับบุตร ที่คนดีเขาก็มีกตัญญูสู้ตัดแขนของตัวอาสาไปเป็นไส้ศึกบอกเหตุการณ์ในกองทัพกิมงึดตุดมาให้รู้ เมื่อกิมงึดตุดจะเอาปืนใหญ่ชื่อถิพูถอมายิงนั้นถ้าอวงจอ เล็กบุนเหลงไม่บอกมาให้รู้ พวกเราก็จะพากันตายด้วยอำนาจปืนใหญ่ แต่รู้ความแล้วยักย้ายหลบหลีกรักษาชีวิตคนทั้งหลายไว้ได้ไม่เป็นอันตราย ตัวเราเป็นแม่ทัพใหญ่ได้บังคับบัญชาว่ากล่าวนายทหารทั้งปวง เมื่อผู้ใดกระทำผิดโทษถึงตาย เราก็ลดหย่อนผ่อนเฆี่ยนตีแต่พอให้เข็ดหลาบ ตั้งใจแต่จะรักษาชีวิตคนทั้งหลาย ใจเจ้าช่างกระไรเลยผูกพยาบาทอาฆาตหมายจะเอาชีวิตเราทุกขณะทุกคราไปทีเดียวดังนี้ ถ้าเราตายเสียแล้วจะเอาผู้ใดทำนุบำรุงแผ่นดินซ้องได้ เจ้าไม่คิดสงสารแผ่นดินของเจ้านายบ้างเลยหรือ ครั้นเราจะฆ่าเจ้าเสียตามโทษคนทั้งปวงก็ไม่ครหานินทาได้ แต่เรามาคิดว่าจะมากระทำโทษแก่เขาทำตัวเองดังนี้ไม่ต้องการ เราจะให้หนังสือเจ้าไปทำราชการอยู่กับเฮงจุ้น ณ เมืองนิ่มอันในเวลาค่ำวันนี้ ถ้าอยู่จนรุ่งเช้านายทหารทั้งปวงรู้ความ เขาก็คงจะรุมกันฆ่าเจ้าเสีย พูดแล้วบูเชียงก๋งก็เขียนหนังสือส่งให้เซกฮวงไปในทันใดนั้น เซกฮวงรับหนังสือคำนับลากลับมาค่าย รวบรวมเงินทองของตัวแล้วก็ขึ้นม้าออกจากค่ายไปในเวลากลางคืนวันนั้นเป็นเวรของงูเกา ออกเดินยามเที่ยวตรวจค่ายแลเห็นคนขี่ม้าผิดประหลาดเดินออกไป งูเกาก็ขับม้าเข้าไปถามว่าผู้ใดดึกดื่นป่านฉะนี้จะไปข้างไหน เซกฮวงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเซกฮวง บูเชียงก๋งแม่ทัพใช้ให้ถือหนังสือไปถึงเฮงจุ้น ณ เมืองนิ่มอัน ถ้าไม่เชื่อก็จงดูหนังสือสำคัญนี้เถิด งูเกาได้ฟังจึงคิดว่าเมื่อหัวค่ำเราเห็นบูเชียงก๋งขี่ม้าไปกับเตียเปา ครั้นเมื่อกลับมาเห็นบูเชียงก๋งหมอบซบมาบนหลังม้า เตียเปาพยุงเข้าไปในค่าย การผิดสังเกตอยู่ เซกฮวงคนนี้ก็เป็นคนช้ำชอกบาดหมางอยู่กับบูเชียงก๋ง ซึ่งบูเชียงก๋งจะให้ถือหนังสือไปถึงเฮงจุ้นนั้น เฮงจุ้นก็เป็นขุนนางกังฉิน ถ้าเซกฮวงกับเฮงจุ้นไปประจบกันเข้าแล้วก็คงจะคิดร้ายแก่บูเชียงก๋งเป็นแน่ งูเกาคิดเห็นความดังนั้นแล้วจึงพูดกับเซกฮวงว่า เวลาค่ำมืดเราไม่ให้ไป ต่อเช้าจึงจะปล่อยให้ไป เซกฮวงตอบว่าบูเชียงก๋งใช้ให้ไปเป็นการร้อน ท่านจะมาหน่วงเหนี่ยวฉุดลากไว้ดังนี้ไม่ควร งูเกาได้ฟังก็โกรธเอากระบองตีเซกฮวงถูกสมองศีรษะแตกตาย งูเกาก็เก็บเอาเงินทองและหนังสือซึ่งเซกฮวงใส่ไถ้ไปนั้นเอาไปให้บูเชียงก๋ง แล้วเล่าความซึ่งฆ่าเซกฮวงตายนั้นให้บูเชียงก๋งฟัง บูเชียงก๋งว่าเวลาวันนี้เป็นเวรของเจ้า เราจำไม่ได้ แล้วเล่าความซึ่งเซกฮวงคิดร้ายเอาเกาทัณฑ์ยิงถึงสองครั้งเราก็ไม่คิดจะฆ่าเสีย จึงทำหนังสือให้เซกฮวงไปอยู่กับเฮงจุ้น ซึ่งเจ้าฆ่าเซกฮวงตายนั้นก็แล้วไปเถิด เป็นธรรมดาคนถึงที่ตายแล้ว ถึงจะคิดแก้ไขปลดเปลื้องอย่างไรก็ไม่รอดอยู่เอง งูเกาแจ้งความแล้วคำนับลากลับไปที่อยู่ ครั้นเวลาเช้านายทัพนายกองทั้งปวงแจ้งว่าบูเชียงก๋งถูกเกาทัณฑ์ก็พากันมาเยี่ยมเยือนถามข่าว บูเชียงก๋งเล่าความซึ่งเซกฮวงคิดทำร้ายให้ฟังทุกประการ พอทหารเข้ามาบอกว่า เมื่อเวลาเช้ามืด เขียนเซียน ฬ่อกังพากันหนีออกจากค่ายไปแล้ว บูเชียงก๋งว่าเขียนเซียน ฬ่อกังสองคนนี้เป็นพวกพ้องของเซกฮวงเห็นจะรู้กัน เมื่อหนีไปแล้วก็ช่างเขาเถิด ครั้นจะไปติดตามเอาตัวมาก็จะต้องฆ่าให้ตายไปตามกันหาต้องการไม่ สั่งให้ทหารเอาศีรษะเซกฮวงไปเสียบไว้ บอกประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้รู้ทั่วกันว่าเซกฮวงคิดประทุษร้าย เอาเกาทัณฑ์ลอบยิงบูเชียงก๋งแม่ทัพถึงสองครั้ง บูเชียงก๋งก็ไม่เอาโทษคิดโกรธที่จะฆ่าฟันเสีย แต่เซกฮวงเป็นคนอกตัญญูถึงที่ตาย เผอิญให้ไปพบงูเกาลาดตระเวนอยู่ งูเกาจึงได้ฆ่าตายเสีย นายทหารเอกและทหารเลวแจ้งความดังนั้นก็พากันโกรธแค้นเซกฮวงทุกตัวคน
ฝ่ายคับมิชีฝึกหัดทหารสำหรับกระบวนค่ายกิมเหลงเกาปวยติ้นได้ชำนิชำนาญแล้ว ก็เข้ามาแจ้งความแก่กิมงึดตุดว่า ขอท่านจงมีหนังสือไปชวนให้บูเชียงก๋งมารบเถิด การซึ่งจัดแจงไว้นั้นก็พรักพร้อมอยู่แล้ว
กิมงึดตุดมีความยินดีเขียนหนังสือกำหนดนัดไปถึงบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งรับหนังสือแจ้งความแล้วก็สั่งให้หาขุนนางนายทัพนายกองมาพร้อมกันพูดว่า กิมงึดตุดจัดค่ายกระบวนกิมเหลงเกาปวยติ้น ฝึกหัดทแกล้วทหารชำนิชำนาญพร้อมมูลแล้วจึงได้ให้มาชวนรบ การครั้งนี้สำคัญ จะแพ้ชนะกันก็ในคราวนี้ ท่านทั้งปวงจงมีใจพร้อมมูลกันอาสาแผ่นดินให้เต็มฝีมือ สั่งให้ฮั่นซีตง เล่าขี คุมทหารยี่สิบหมื่นเข้าตีค่ายกิมเหลงเกาปวยติ้น ข้างขวามือให้งักฮุน เงียมเชงฮอง ฮอง่วนเคง อือฮวยเหลง ฬอเอียนเก๋ง เงาเซียงจี้ เล็กบุนเหลง แตฮวย เตียกุย เตียเหียน เตียลิบ เตียหยง สิบสองนายคุมทหารยี่สิบหมื่นตีหักเข้าไปกลางค่าย ตัวบูเชียงก๋งกับเม่งปังเกียดจะตีหักเข้าไปข้างซ้ายมือ ให้เตียเปา เฮงฮวย งูเกา กิดแช ซิฉวน เตียเฮียน เฮงกุ้ย เจ็ดนายคุมทหารเป็นกองหนุน ถ้าเห็นด้านใดรวนเรก็ให้ช่วยตีขนาบเข้าไป นายทหารเหล่านั้นรับคำสั่งแล้วก็คำนับลามาจัดทหารไว้พร้อม ครั้นเวลารุ่งเช้าบูเชียงก๋งก็จุดประทัดสัญญาขึ้น นายทหารทั้งปวงก็ยกกองทัพไปตรงจะเข้าตีค่ายกิมเหลงเกาปวยติ้นทั้งสามด้าน กองหนุนก็ยกติดตามไป
ฝ่ายกิมงึดตุดเห็นบูเชียงก๋งยกกองทัพมาตีค่ายกิมเหลงเกาปวยติ้นก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารพวกฮวนซึ่งจัดไว้เป็นกระบวนมังกรสองตัว ก็แยกย้ายโอบหุ้มล้อมกองทัพบูเชียงก๋งเข้าไว้ได้สู้รบกันเป็นสามารถ ทหารพวกฮวนมากกว่ามาก แต่รบกันอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนก็ยังไม่แพ้ไม่ชนะ
ฝ่ายเต็กหลุยนั้นเมื่อแต่ก่อนยกกองทัพจะมาช่วยพระเจ้าซ้องเกาจงที่เขางูเท่าซัว เดินมาตามทางพบบูเชียงก๋งไล่กิมงึดตุดไป เต็กหลุยไม่รู้จักออกสกัดสู้รบกับบูเชียงก๋งเป็นช้านาน ครั้นรู้ว่าเป็นบูเชียงก๋ง เต็กหลุยก็ตกใจขับม้าหนีไป ตั้งแต่นั้นมาเต็กหลุยกลัวความผิดไม่อาจจะเข้าทำราชการ ครั้นแจ้งว่ากิมงึดตุดยกกองทัพมาสู้รบกับบูเชียงก๋งอยู่ที่จูเซียนติ้น เต็กหลุยก็คิดจะเข้ามาทำราชการอยู่กับบูเชียงก๋งหาความชอบลบล้างความผิด ครั้นเดินมาตามทางพบฮวนเสง กับกวนเหลง เต็กหลุยจึงถามว่าท่านทั้งสองนี้ชื่อไรจะไปข้างไหน ฮวนเสงบอกว่าเราเป็นน้องภรรยาเม่งปังเกียด นายทหารของบูเชียงก๋ง กวนเหลงบอกว่าเราได้สาบานเป็นพี่น้องกับงักฮุนบุตรบูเชียงก๋ง ชื่อกวนเหลง จะไปช่วยบูเชียงก๋งรบกับกิมงึดตุด เต็กหลุยว่าข้าพเจ้าก็จะไปช่วยบูเชียงก๋งเหมือนกัน สามนายพูดแล้วก็ชวนกันมาค่ายบูเชียงก๋ง ครั้นถึงก็แจ้งแก่นายทหารซึ่งรักษาประตูว่า จะขอเข้าไปหาบูเชียงก๋ง ทหารที่รักษาประตูบอกว่า บูเชียงก๋งไปรบกับกิมงึดตุดได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้วยังหากลับมาไม่ สามนายก็พากันขับม้าตามไป เห็นทหารฮวนล้อมกองทัพบูเชียงก๋งเข้าไว้แน่นหนา เสียงโห่ร้องสู้รบกันเอิกเกริกลั่นสนั่นไป จึงปรึกษากันว่าบูเชียงก๋งจะอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รู้ จำจะตีฝ่าเข้าไปดูกำลังทหารพวกฮวน เพื่อจะพบกองทัพบูเชียงก๋งบ้าง สามนายพูดกันแล้วก็ขับม้าฟันฝ่าทหารฮวนเข้าไป ทหารฮวนต้านทานนายทหารทั้งสามไม่ได้ ล้มตายลงเป็นอันมาก ก็เอาความไปแจ้งแก่กิมงึดตุดว่ามีทหารหนุ่ม ๆ มาอีกสามคนมีฝีมือเข้มแข็งนัก ตีหักเข้ามาถึงกลางกองทัพแล้ว กิมงึดตุดได้ฟังก็ส่งธงอาญาสิทธิ์ให้คับมิชีถือรักษาไว้ ขับม้าตรงมาเห็นนายทหารทั้งสามกำลังรบชุลมุนอยู่กับทหารพวกของตัว ก็ร้องถามไปว่า เจ้าเหล่านี้มาแต่ไหนชื่อไร จงสามิภักดิ์กับเราเสียโดยดีเถิดจะชุบเลี้ยงให้มียศฐาศักดิ์ ตัวเราชื่อกิมงึดตุดบุตรเจ้าเมืองไตกิมก๊ก กวนเหลงได้ฟังก็ร้องตอบไปว่า เราชื่อกวนเหลง วันนี้มาพบท่านก็ดีแล้ว จะได้จับเอาตัวไปให้บูเชียงก๋งเป็นบำเหน็จความชอบ กิมงึดตุดได้ฟังก็โกรธขับม้าเข้ารบกับกวนเหลง เต็กหลุย ฮวนเสงนั้นยืนดูกวนเหลงสู้รบกับกิมงึดตุด ครั้นเห็นกวนเหลงอ่อนกำลังลงจะต้านทานกิมงึดตุดไม่ได้ เต็กหลุย ฮวนเสงก็ขับม้าเข้าช่วยกวนเหลงรบกับกิมงึดตุด กิมงึดตุดต้านทานนายทหารทั้งสามไม่ได้เหลือกำลัง ครั้นจะขับม้าหนีเข้าไปในกระบวนก็กลัวทหารของตัวจะรวนเร จึงขับม้าหนีออกนอกกระบวน นายทหารทั้งสามก็ไล่ตามไป บูเชียงก๋งกับนายทหารทั้งปวงเห็นทหารฮวนฝ่ายข้างขวามือซึ่งเต็กหลุยฮวนเสง กวนเหลงรบ กับกิมงึดตุดรวนเรป่วนปั่นเสียกระบวน ก็ขับทหารตีขนาบฆ่าฟันพวกฮวนออกมา กระบวนค่ายกิมเหลงเกาปวยติ้นก็แตก ทหารบูเชียงก๋งเข้าตะลุมบอนรบฆ่าฟันทหารฮวนล้มตายแตกกระจัดกระจายคุมกันไม่ติด
กวนเหลงเห็นงักฮุนไล่ฆ่าฟันทหารฮวนเป็นอลหม่านก็ร้องเรียกว่าพี่งักฮุนน้องมาช่วยด้วยแล้ว งักฮุนเห็นกวนเหลงก็ดีใจพูดว่า ขณะนี้พวกฮวนกำลังแตกตื่น เราช่วยกันไล่ฆ่าฟันไปเสียก่อน แล้วจึงจะพาน้องไปหาบิดา
ฝ่ายฮวนเสงได้พบกับเม่งปังเกียดพี่เขยก็มีความยินดีด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายช่วยกันฆ่าฟันพวกฮวนต่อไป เวลานั้นกองทัพกิมงึดตุดแตกยับเยิน ทหารบูเชียงก๋งไล่ทิ่มแทงฆ่าฟันเหมือนฆ่าโคและฆ่าแพะ ศพเกลื่อนกลาดโลหิตไหลนองเปียกชุ่มแผ่นดินแดงไปทั้งนั้น
ฝ่ายเล่าขีเห็นกองทัพกิมงึดตุดแตกยับเยินแล้วก็เข้าไปพูดกับบูเชียงก๋งว่า ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารล่วงไปสกัดทางอยู่ข้างหน้าคอยจับกิมงึดตุดให้ได้ บูเชียงก๋งว่าดีแล้วสุดแต่ปัญญาท่านเถิด เล่าขีก็คุมทหารลัดทางไปตั้งซุ่มคอยสกัดอยู่ บูเชียงก๋งให้ตีม้าล่อเรียกประชุมนายทัพนายกองมาพร้อมแล้ว งักฮุนพากวนเหลงกับเต็กหลุยเข้ามาหาบูเชียงก๋ง เม่งปังเกียดพาฮวนเสงผู้น้องภรรยาเข้ามาหาบูเชียงก๋งพร้อมกัน เต็กหลุยจึงพูดกับบูเชียงก๋งว่า ตัวข้าพเจ้านี้เมื่อท่านตั้งสู้รบกับกิมงึดตุดที่เขางูเท่าซัวนั้น ท่านไล่กิมงึดตุดไปข้าพเจ้าไม่ทราบออกสกัดสู้กับท่าน มีความผิดติดตัวอยู่ ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกมาหมายจะอาสาท่านรบกับกิมงึดตุดพอมาทันได้ช่วยตีทัพกิมงึดตุด ขอท่านอย่าได้ถือโทษแต่ก่อนเลย บูเชียงก๋งได้ฟังก็ระลึกขึ้นได้แล้วว่า เจ้าทั้งสามมาช่วยตีกระบวนทัพกิมงึดตุดให้ระส่ำระสายเราจึงได้มีชัยชนะ ความชอบของเจ้าทั้งสามคนมีเป็นอันมาก มีคำกลางกล่าวว่ากองทัพกิมงึดตุดแตกครั้งนี้เรียกว่าโป้ยถุยไต้เหนาจูเซียนติ้น แปลว่าค่ายแตกเพราะลูกตุ้มสี่คู่คือ งักฮุนถือคู่หนึ่ง เต็กหลุยถือคู่หนึ่ง กวนเหลงถือคู่หนึ่ง ฮวนเสงถือคู่หนึ่ง ทหารฮวนจึงได้ตายถึงเจ็ดสิบหมื่นเศษเหลือรอดตายไปได้หมื่นหนึ่ง ศพกลิ้งเกลื่อนกลาดไปทั้งแผ่นดินดูเป็นที่น่าสังเวชนัก บูเชียงก๋งสั่งให้ตรวจดูทหารเลวจะเสียหายล้มตายสักกี่มากน้อย นายทหารตรวจดูทุกหมวดทุกกองเสียทหารเลวตายในที่รบสองหมื่นเศษ เจ็บป่วยลำบากหมื่นเศษ บูเชียงก๋งให้เก็บรวบรวมเสื้อเกราะเครื่องศาสตราวุธและม้าของกิมงึดตุดไว้ได้เป็นอันมาก แล้วยกกองทัพตามกิมงึดตุดไป