๒๑
ฝ่ายโต๊ควนเจ้าเมืองฮองคิวคุ้ยซึ่งขึ้นกับเมืองเปียนเหลียงในเวลากลางคืนวันนั้น โต๊ควนนอนหลับนิมิตฝันว่ามีผู้วิเศษมาบอกว่าที่ศาลเจ้าซุยฮูกุนมีกษัตริย์มาพักอาศัยอยู่องค์หนึ่ง ให้โต๊ควนรีบไปรับเข้ามาทำนุบำรุงจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินซ้องสืบวงศ์ต่อไป โต๊ควนตกใจตื่นขึ้น ครั้นเวลารุ่งเช้าโต๊ควนออกที่ว่าราชการเล่าความฝันให้ขุนนางกรมการทั้งปวงฟัง แล้วถามว่าท่านทั้งหลายยังจะรู้แห่งศาลเจ้าซุยฮูกุนนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง ขุนนางกรมการเหล่านั้นก็ไม่มีใครรู้จัก จึงพูดว่าซึ่งท่านฝันดังนี้ก็เพราะท่านเป็นคนมีกตัญญูต่อแผ่นดิน คิดถึงเจ้านายซึ่งไปตกทุกข์ได้ยากอยู่เมืองอื่นจึงเผอิญให้นิมิตฝันไป โต๊ควนได้ฟังขุนนางเหล่านั้นพูดก็ทอดใจใหญ่ คิดถึงพระเจ้าไทเซียงฮองกับพระเจ้าซ้องคิมจงฮ่องเต้มากขึ้นก็ร้องไห้ คนใช้ผู้หนึ่งเอาน้ำชาเข้าไปให้โต๊ควนเห็นโต๊ควนนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ คนใช้กลั้นหัวเราะไม่ได้ก็เอามือปิดปากหัวเราะ โต๊ควนเห็นก็โกรธว่าแกล้งหัวเราะเยาะเย้ย สั่งให้เอาตัวไปตีเสีย คนใช้ผู้นั้นจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านถามขุนนางกรมการถึงศาลเจ้าซุยฮูกุนไม่มีใครรู้จัก ท่านจึงได้มานั่งร้องไห้เพราะเท่านี้หาควรไม่ ศาลเจ้าซุยฮูกุนนั้นอยู่ที่แม่น้ำเหียบกังไกลฝั่งประมาณห้าลี้ ถ้าท่านจะไปข้าพเจ้าจะนำไป โต๊ควนได้ฟังก็มีความยินดี ชวนขุนนางกรมการออกจากเมืองให้คนใช้นำไปถึงศาลเจ้าซุยฮูกุน โต๊ควนจึงให้คนเหล่านั้นพักอยู่นอกศาล โต๊ควนเข้าไปในศาลแต่ผู้เดียว คังอ๋องนอนอยู่ ณ ศาลได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็ตกใจลุกขึ้นถืออาวุธออกมา ถามว่าท่านนี้คือผู้ใดมาแต่ไหน โต๊ควนจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อโต๊ควนเจ้าเมืองฮองคิวคุ้ยจะมารับท่าน ตัวท่านนี้ชื่อไรทำไมจึงมานอนอยู่ในศาลแต่ผู้เดียว คังอ๋องบอกว่าเราชื่อเตียเกาเป็นที่คังอ๋อง พระราชบุตรที่เก้าของพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ แล้วก็เล่าความซึ่งหนีกิมงึดตุดข้ามแม่น้ำเหียบกังมาจนถึงศาลเจ้าให้โต๊ควนฟังทุกประการ โต๊ควนก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับแล้ว เล่าความฝันซึ่งมีผู้วิเศษมาบอกให้คังอ๋องฟัง แล้วเชิญคังอ๋องมาขึ้นม้าเข้าไปในเมืองฮองคิวคุ้ย จัดที่ให้อยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูทุกเวลา คังอ๋องจึงถามโต๊ควนว่า ในเมืองท่านนี้มีทหารอยู่สักเท่าใด โต๊ควนทูลว่าเมืองฮองคิวคุ้ยนี้เป็นเมืองน้อยมีทหารม้าอยู่สามร้อย ทหารเดินเท้าห้าร้อย คังอ๋องว่าถ้ากิมงึดตุดยกกองทัพมา ทหารเรามีน้อยนักเห็นจะต้านทานรักษาเมืองไว้ไม่ได้ ท่านจะคิดประการใด โต๊ควนว่าขอพระองค์จงทำหนังสือรับสั่งไปถึงหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นกับเมืองเปียนเหลียงว่า พระองค์หนีข้าศึกกลับมาได้ ให้หัวเมืองทั้งปวงรีบยกกองทัพมาช่วย ข้าพเจ้าเห็นว่าหัวเมืองเหล่านั้นยังคิดถึงพระเดชพระคุณพระเจ้าไทเซียงฮอง พระเจ้าซ้องคิมจงฮ่องเต้อยู่ คงจะยกกองทัพมาช่วย คังอ๋องก็เห็นชอบจึงทำหนังสือให้ม้าใช้แยกถือไปทุก ๆ เมือง พอทหารม้าคอยเหตุเข้ามาบอกว่า เฮงเอี๋ยนคุมทหารมาสามพันพักอยู่นอกเมือง คังอ๋องจึงให้ไปหาตัวเฮงเอี๋ยนเข้ามาในเมือง เฮงเอี๋ยนเข้ามาคุกเข่าลงคำนับคังอ๋องแล้วทูลว่า เวลาวันหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันว่ามีผู้วิเศษมาบอกว่า พระองค์มาถึงเมืองฮองคิวคุ้ย ให้ข้าพเจ้าคุมทหารมาช่วยโดยเร็ว ข้าพเจ้าจัดทหารได้สามพันก็รีบมาตามความฝัน คังอ๋องได้ฟังก็มีความยินดี พอม้าใช้เข้ามาแจ้งว่าเตียซอเจ้าเมืองกิมเหลงคุมทหารห้าพันยกมาจะใกล้ถึงเมืองฮองคิวคุ้ยอยู่แล้ว คังอ๋องจึงให้ม้าใช้กลับออกไปเชิญเตียซอเข้ามาในเมือง เตียซอเห็นคังอ๋องก็คุกเข่าลงคำนับแล้วเล่าความฝันให้คังอ๋องฟังเหมือนกับเฮงเอี๋ยน คังอ๋องจึงว่าท่านทั้งสองมีความกตัญญูต่อแผ่นดิน ยกกองทัพมาช่วยเราทันท่วงทีนั้นเรามีความขอบใจยิ่งนัก แต่ยังวิตกอยู่ด้วยเมืองฮองคิวคุ้ยนี้เป็นเมืองเล็กนัก ป้อมกำแพงก็ชำรุดปรักหักพังมาก เราคิดจะซ่อมแซมขึ้นเสียใหม่ให้มั่นคง ท่านทั้งสองจะเห็นประการใด เตียซอจึงทูลว่ากิมงึดตุดยกกองทัพมาครั้งนี้ไพร่พลทหารมากกว่าครั้งก่อน ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าธรรมดาบ้านเมือง ถ้าไม่มีเจ้านายถืออาชญาสิทธิ์สำเร็จราชการแล้ว ก็ไม่เป็นสง่าแก่ข้าศึกศัตรู ขอพระองค์ยกกองทัพไปตีเมืองเปียนเหลียงคืนมาได้ครองราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดินจึงจะเป็นหลักแก่หัวเมืองทั้งปวง เฮงเอี๋ยนจึงทูลว่าซึ่งเตียซอทูลนั้นก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองเปียนเหลียงชะตาตกร่วงโรยมานานแล้วจนถึงเสียแก่ข้าศึก ประการหนึ่งเตียปังเชียงก็เป็นผู้รักษาอยู่ ฉวยว่าตีไม่ได้สมความคิดก็ต้องลำบากด้วยไม่มีที่ยั้งที่อยู่ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเมืองกิมเหลงเป็นเมืองใหญ่ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ขอพระองค์จงไปสร้างพระราชวังอยู่ในเมืองกิมเหลงให้เป็นที่มั่น ตั้งการพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ให้หัวเมืองทั้งปวงรู้ทั่วกันก่อน จึงค่อยคิดไปตีเอาเมืองเปียนเหลียงคืน คังอ๋องได้ฟังก็เห็นชอบด้วย ครั้นได้วันฤกษ์ดีก็ยกออกจากเมืองฮองคิวคุ้ยไปเมืองกิมเหลง ครั้นถึงจึงให้เตียซอสร้างพระราชวังเป็นที่ข้างหน้าข้างใน ซ่อมแซมป้อมกำแพงประตูหอรบที่ชำรุดหักพังให้มั่นคงบริบูรณ์ดีแล้ว เตียซอ เฮงเอี๋ยนก็ยกคังอ๋องขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัติในเมืองกิมเหลง ถวายพระนามว่าพระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ ให้มีหนังสือประกาศไปทั่วทุกหัวเมืองว่า คังอ๋องพระราชบุตรที่เก้าของไทเซียงฮองหนีกลับมาได้จากกองทัพกิมงึดตุด ได้เป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองกิมเหลง เจ้าเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงที่มีกตัญญูระลึกถึงพระเดชพระคุณพระเจ้าไทเซียงฮอง พระเจ้าซ้องคิมจงฮ่องเต้แล้ว ก็ให้จัดทหารเจ้ากระบวนทัพยกมาพร้อมที่เมืองกิมเหลง ช่วยกันปราบปรามข้าศึกฮวนซึ่งยกมาประทุษร้ายต่อแผ่นดินเสียให้สิ้น ครั้นทำหนังสือแล้วก็ให้ม้าใช้รีบถือแยกย้ายไป
ฝ่ายขุนนางทหารพลเรือนในพระเจ้าซ้องคิมจงฮ่องเต้ซึ่งหนีกระจัดพลัดพรายไปซุ่มซ่อนอยู่ตามหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง ได้ทราบว่าคังอ๋องหนีกิมงึดตุดมาได้ ครองราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดินอยู่ ณ เมืองกิมเหลง ก็มีความยินดีพากันมา ณ เมืองกิมเหลง คือ จงเล่าซิว ลีกัง ขุนนางผู้ใหญ่เป็นต้น และขุนนางผู้น้อยเป็นอันมาก เข้ามาเฝ้าพระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ พระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้โปรดตั้งแต่งไปตามพนักงาน
ฝ่ายหัวเมืองใหญ่น้อยได้ทราบหนังสือประกาศก็จัดทหารเข้ากระบวนทัพยกมา ณ เมืองกิมเหลง พระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้เห็นกองทัพหัวเมืองยกมามากก็ตั้งให้เฮงเอี๋ยนขุนนางผู้ใหญ่ ให้เกณฑ์ข้าวเสบียงแก่หัวเมืองซึ่งใกล้เคียงเหล่านั้นมาไว้จะได้เลี้ยงทหารในกองทัพ เฮงเอี๋ยนทำหนังสือเกณฑ์ข้าวเสบียงไปทุกหัวเมือง
ฝ่ายซือหยินเจ้าเมืองทึงอิมกุ้ยแจ้งในหนังสือรับสั่งเกณฑ์ข้าวเสบียงมาในปีนั้น ที่เมืองทึงอิมกุ้ยทำนาไม่ได้ผลขัดสนข้าวเสบียงอาหาร ซือหยินคิดกตัญญูต่อแผ่นดิน อุตส่าห์เฉลี่ยเรี่ยไรข้าวจากราษฎรชาวบ้านได้ประมาณพันหาบก็บรรทุกเกวียนคุมเข่ามา ณ เมืองกิมเหลง ครั้นถึงซือหยินจึงไปหาเฮงเอี๋ยนขุนนางผู้ใหญ่ จะให้นำเข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ ไปถึงประตูบ้านบอกนายประตูให้เข้าไปแจ้งความกับเฮงเอี๋ยน นายประตูพูดบิดพลิ้วไม่เข้าไปบอก ซือหยินก็แจ้งในทีว่านายประตูจะเอาสินบนจึงจะไป ซือหยินหยิบเอาเงินที่ในกระเป๋ามีมาหกสลึงให้กับนายประตู นายประตูเห็นเงินน้อยไม่พอปรารถนาก็โยนคืนให้เสีย. ซือหยินเห็นดังนั้นก็โกรธจึงคิดว่าหาควรที่จะพูดกับอ้ายไพร่นายประตูไม่ ก็เดินเข้าไปที่เก๋งตีกลองให้ดังขึ้น เฮงเอี๋ยนได้ยินเสียงกลองก็ให้คนใช้ออกมาดู พบซือหยินถามว่าท่านมีถ้อยความสิ่งใดหรือจึงได้มาตีกลอง ซือหยินบอกว่าเรามาแต่เมืองทึงอิมกุ้ยจะเข้าไปหาเฮงเอี๋ยน คนใช้ก็เอาความเข้าไปแจ้งแก่เฮงเอี๋ยน เฮงเอี๋ยนให้กลับออกมาพาตัวซือหยินเข้าไปคำนับเฮงเอี๋ยนแล้ว ก็พูดว่าข้าพเจ้าได้รับหนังสือรับสั่งว่า จะต้องพระราชประสงค์ข้าวเสบียงเลี้ยงกองทัพที่เมืองทึงอิมกุ้ย ปีนี้ทำนาไม่ได้ผล ข้าพเจ้าก็อุตส่าห์เฉลี่ยเรี่ยไรได้ข้าวเสบียงพันหาบ จะมาให้ท่านนำเข้าไปเฝ้าทูลถวายพระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ เฮงเอี๋ยนว่าการแค่เพียงนี้หาควรจะต้องตีกลองไม่ ซือหยินจึงว่าข้าพเจ้ามาหานายประตูให้พาเข้ามาหาท่าน นายประตูบิดพลิ้วจะเอาเงินสินบน ข้าพเจ้ามีเงินมาหกสลึงให้กับนายประตูก็ไม่เอา เป็นการขัดข้องอยู่ดังนี้จึงได้ตีกลอง ซึ่งข้าพเจ้าตีกลองเหลือเกินกับข้อความนั้น ขออภัยโทษเสียเถิด เฮงเอี๋ยนได้ฟังก็โกรธ จึงให้เอาตัวนายประตูมาซักถาม ก็ได้ความจริงเหมือนซือหยินกล่าวว่า จึงให้เอาตัวนายประตูไปตีเสียสิบที แล้วเฮงเอี๋ยนก็เอาเงินห้าสิบตำลึงไว้กับซือหยินเป็นเบี้ยเลี้ยงซื้อเสบียงอาหารกิน ซือหยินคำนับลาเฮงเอี๋ยนกลับมาขึ้นม้าไป เองเฮี๋ยนนึกความขึ้นได้ข้อหนึ่งจึงให้คนใช้รีบตามไปเรียกซือหยินกลับมา คนใช้ผู้นั้นเป็นเพื่อนรักกันกับนายประตูมีความโกรธแค้นซือหยินอยู่ ครั้นตามมาทันก็บอกซือหยินว่า เฮงเอี๋ยนให้มาเอาตัวท่านกลับไป คนใช้ก็เข้าฉุดลากซือหยินด้วยกำลังโทโสจนเสื้อซือหยินที่ใส่นั้นขาด ครั้นมาถึงซือหยินก็เข้าไปคำนับเฮงเอี๋ยน เฮงเอี๋ยนเห็นตัวซือหยินเปื้อนฝุ่นเสื้อก็ขาด จึงถามว่าทำไมเสื้อที่ท่านใส่นั้นจึงขาด ตัวก็เปื้อนฝุ่นมัวหมองดังนี้ ซือหยินว่าข้าพเจ้าไม่มีโทษผิดสิ่งใดทำไมท่านจึงให้คนใช้ไปเอาตัวฉุดลากข้าพเจ้ามากลางถนนจนเปื้อนฝุ่นเสื้อก็ขาดไป เฮงเอี๋ยนได้ฟังก็โกรธจึงให้เอาตัวคนใช้นั้นมาถามว่าเราให้ไปตามเชิญซือหยินให้กลับมา เหตุใดจึงได้ไปฉุกลากมาดังนี้ คนใช้ว่าซือหยินเดินช้ากลัวจะไม่ทันใจท่านจึงได้ฉุดลากมา เฮงเอี๋ยนได้ฟังก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงสั่งให้ทหารเอาตัวคนใช้นั้นไปฆ่าเสีย ซือหยินขอโทษไว้ไม่ให้ฆ่า เฮงเอี๋ยนกำลังโกรธให้เฆี่ยนคนใช้นั้นสี่สิบที แล้วเฮงเอี๋ยนจึงถามซือหยินว่าเราได้ยินว่างักฮุยไปอยู่ที่เมืองทึงอิมกุ้ยหรือ ซือหยินว่างักฮุยนั้นเมื่อมาช่วยจงเล่าซิวปราบโจร พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ตั้งให้เป็นขุนนางนายร้อย งักฮุยเห็นว่าเป็นที่เล็กน้อยไม่ยอมรับ กลับไปอยู่กับมารดาทำเรือกสวนไร่นาหากินอยู่ที่เมืองทึงอิมกุ้ย เฮงเอี๋ยนได้ฟังว่างักฮุยยังอยู่ที่เมืองทึงอิมกุ้ยก็มีความยินดี จึงชวนซือหยินให้นอนอยู่ที่บ้านด้วยกันคืนหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าเฮงเอี๋ยนก็พาซือหยินเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ กราบทูลว่าซือหยินผู้รักษาเมืองทึงอิมกุ้ยคุมข้าวเสบียงเข้ามาถวายพันหาบ ด้วยปีนี้ที่เมืองทึงอิมกุ้ยฝนแล้งทำนาไม่ได้ผล ซือหยินคิดถึงพระเดชพระคุณอุตส่าห์เฉลี่ยเรี่ยไรจากราษฎรได้ข้าวเสบียงมาแต่เท่านี้ พระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ตรัสว่าเราขอบใจท่านนัก เฮงเอี๋ยนจึงกราบทูลขึ้นว่า งักฮุยคนหนึ่งอยู่ที่เมืองทึงอิมกุ้ยมีฝีมือเข้มแข็งประกอบทั้งสติปัญญากล้าหาญ ขอพระองค์จงรับสั่งให้หาเข้ามาทำราชการอยู่ในเมืองกิมเหลงจะได้เป็นกำลังสู้รบกับข้าศึก พระเจ้าซ้องเกาจงฮ่องเต้ตรัสว่า งักฮุยคนนี้เรารู้จักอยู่แต่ลืมไปเสีย ต่อท่านพูดขึ้นจึงนึกได้ รับสั่งกับซือหยินว่าท่านจงไปหาตัวงักฮุยมาเถิด เราจะชุบเลี้ยงตั้งแต่งให้มียศศักดิ์ แล้วสั่งเจ้าพนักงานให้เอาเสื้อผ้าสิ่งของมอบให้ซือหยินไปพระราชทานให้งักฮุย ซือหยินก็กราบถวายบังคมลากลับมาเมืองทึงอิมกุ้ย
ฝ่ายงักฮุยตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองทึงอิมทุ้ย ที่เมืองทึงอิมทุ้ยเกิดความไข้ บิดาเฮงกุ้ย บิดาทึงฮวยก็ถึงแก่ความตาย ฝนแล้งราษฎรทำนาไม่ได้เต็มภาคภูมิ ข้าวแพงเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น งูเกาซึ่งไปอยู่กับงักฮุยนั้นก็ประพฤติเป็นโจรเที่ยวตีชิงราษฎร มารดางูเกาห้ามปรามก็ไม่ฟังจนมารดาตรอมใจตาย งักฮุยนั้นอุตส่าห์ทำไร่นาเรือกสวนเลี้ยงมารดากับภรรยาอยู่มิให้อดอยาก ครั้นอยู่มาเวลาวันหนึ่งงักฮุยเข้าไปในห้องค้นหนังสือออกมาดูพอจะให้แก้รำคาญ เปิดขึ้นเห็นจดหมายคำซินแสหมอดูทายไว้ว่า อายุงักฮุยได้ยี่สิบสามปีจึงจะมีวาสนา งักฮุยเห็นก็ทอดใจใหญ่ทิ้งหนังสือลงไว้นางลีสีผู้เป็นภรรยาเห็นกิริยาหน้าตางักฮุยไม่สบาย จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงทอดใจใหญ่มีสีหน้าเศร้าหมองดังนี้ งักฮุยจึงบอกว่าเราเห็นหนังสือจดหมายซินแสหมอดูทายเราไว้แต่ก่อนว่าอายุยี่สิบสามปีจะมีวาสนา เดี๋ยวนี้อายุก็ล่วงมาย่างเข้ายี่สิบสี่ปี เราเห็นว่าความที่ซินแสดูไว้นั้นจะผิดเสียแล้วจึงได้มีความโทมนัส นางลีสีว่าธรรมดาเกิดมาเป็นคนแล้วจะมีวาสนาและหาวาสนาไม่ ก็สุดแต่เทพยดาจะอุปถัมภ์บำรุง ถึงจะร้อนรนขวนขวายประการใดเมื่อวาสนาไม่แล้วก็ไม่สมความปรารถนา ซึ่งท่านจะมามีความโทมนัสน้อยใจด้วยเรื่องนี้หาควรไม่ งักฮุยว่าซึ่งเจ้าพูดนี้ชอบแล้ว จึงคิดถึงคำซินแสจิวถองบิดาเลี้ยงสั่งไว้ว่าให้อุตส่าห์ซ้อมหัดเพลงอาวุธไว้ให้ชำนิชำนาญ คงจะได้ดีมีวาสนาก็เพราะการทหาร บัดนี้เราก็ทิ้งละเลยเสียนานแล้ว จะต้องซักซ้อมไว้ตามคำบิดาจึงจะชอบ งักฮุยก็ถือทวนเดินออกไปที่สนามพบงูเกา เฮงกุ้ย ทึงฮวย เตียเฮียน และเพื่อนอีกหลายคนเดินมา งักฮุยจึงถามว่าท่านพี่น้องเหล่านี้จะพากันไปไหน งูเกาจึงว่าพวกข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ จะพากันไปเที่ยวก็เพราะความอดอยากและความหนาว งักฮุยได้ฟังก็รู้อัธยาศัยว่าคนเหล่านี้จะพากันเที่ยวเป็นโจร จึงพูดว่าเกิดมาเป็นชายชาติทหารแล้วจะหากินก็ให้ได้โดยสุจริต ถ้าหาไม่ได้ด้วยความสุจริตแล้วก็อดตายเสียดีกว่า เฮงกุ้ยว่าท่านพูดนี้ก็ชอบอยู่ แต่จะประพฤติเหมือนถ้อยคำท่านในขณะนี้ก็เห็นจะอดตายเสียเปล่า งักฮุยจึงว่าเราห้ามปรามท่านก็เพราะรักกัน เมื่อไม่ฟังคำแล้วก็ตามใจเถิด ต่อไปข้างหน้าจะชั่วดีมีจนประการใดก็อย่าได้มาคบค้าสมาคมกันต่อไป ว่าแล้วก็เอาทวนขีดลงที่แผ่นดินเป็นการขาดไม่คบกันต่อไป คนทั้งปวงก็พากันเดินหลีกไปเสียพ้นงักฮุย งักฮุยเห็นพี่น้องน้ำสบถเหล่านั้นไม่ฟังห้ามแล้วก็เสียใจกลับมาบ้านนั่งเป็นทุกข์เศร้าโศกร้องไห้ นางเอียวสีมารดาเห็นงักฮุยร้องไห้จึงถามว่า เจ้าไปสนามมีเหตุสิ่งใดหรือจึงได้กลับมานั่งร้องไห้อยู่ งักฮุยจึงเล่าความซึ่งงูเกา เฮงกุ้ย ทึงฮวย เตียเฮียน พี่น้องเหล่านั้นคบกันจะไปเป็นโจรห้ามปรามก็ไม่ฟังจนถึงตัดรอนขาดจากเพื่อนฝูงกัน ข้าพเจ้ามีความเสียใจนัก นางเอียวสีว่าเมื่อเจ้าห้ามเขาไม่ฟังแล้วก็ช่างเขาเป็นไร จะมานั่งทุกข์ร้อนถึงเขาไม่ต้องการเลย ขณะนั้นมีคนเข้ามาเคาะประตูบ้าน งักฮุยได้ยินจึงเดินออกไปเปิดประตูเห็นชายผู้หนึ่งสะพายห่อผ้าเข้ามาในบ้านวางห่อผ้าลงถามว่า บ้านนี้บ้านงักฮุยหรือมิใช่ งักฮุยว่าตัวเรานี้แหละชื่องักฮุยท่านมีธุระสิ่งใดหรือ